บทที่ 4 สืบข้อมูล
หนึ่งเดือนผ่านไปกับการทำงานตำแหน่งเลขาของมธุริน ตอนนี้หญิงสาวเริ่มทำงานคล่องกว่าเมื่อก่อน ส่วนนาราเมื่อครบกำหนดก็จากไปทันที และนั่นเป็นโอกาสทำให้เธอใกล้ชิดกับมาเชลโล่มากขึ้น
“บอสคะ เอกสารที่ต้องเซ็นค่ะ ดิฉันวางไว้ตรงนี้นะคะ” เธอวางแฟ้มเอกสารบนโต๊ะทำงานเจ้านายหนุ่มพลางเหลือบมองเขาเล็กน้อย จู่ ๆ สายตาหวานเผลอมองริมฝีปากหยักได้รูป และเกิดอาการใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะก่อนรีบหมุนตัว
‘บ้าที่สุดเลย หยุดเต้นสิ’ มือนุ่มนิ่มกุมหน้าอกข้างซ้าย พยายามสั่งให้มันหยุด เธอรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะทะลุออกนอกอกแทบแย่และกลัวเขาจะได้ยิน
“เป็นอะไรหรือคุณมธุริน ไม่สบายเหรอ”
“ปละ เปล่าค่ะ ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ” กล่าวเพียงเท่านั้น มธุรินรีบก้าวเท้าเดินด้วยความรวดเร็ว และไม่ทันระวังเผลอชนชายวัยกลางคนขณะเปิดประตูเข้ามาพอดี จนเธอล้มกระทบพื้น
“โอ๊ย!!”
“หนูเป็นอะไรมากไหม” เกริกวิทย์เอ่ยถามมธุรินพร้อมจะช่วยพยุงหญิงสาวให้ลุกขึ้น แต่ช้าไปกว่ามาเชลโล่ที่ไม่รู้เดินมาตอนไหนและเข้ามาประคองเลขาสาว
“ขอบคุณค่ะบอส”
“คุณน้ามาได้ยังไงครับ” ชายหนุ่มไม่ได้มองมธุริน แต่หันไปคุยกับบุคคลมาใหม่แทน
เกริกวิทย์มองไปยังมธุรินทำราวกับอึดอัด ก่อนหญิงสาวจะขอตัวและปล่อยให้คนทั้งสองอยู่ด้วยกัน
มธุรินกลับมายังโต๊ะทำงาน แหงนหน้ามองคนทั้งสองในห้องที่เพิ่งออกมาด้วยความสงสัย และอดแปลกใจกับท่าทีของเกริกวิทย์ไม่ได้เลย หน้าตาดูเป็นมิตรและเป็นคนใจดี ทว่าไม่รู้ทำไมลึก ๆ ในใจรู้สึกเหมือนชายวัยกลางคนน่ากลัวยิ่งนัก
“คุณน้ามาหาผมมีธุระอะไรเหรอครับ” มาเชลโล่เอ่ยถามขึ้นหลังจากเชิญให้ชายวัยกลางคนนั่งตรงโซฟารับรองแขก
“ไม่มีอะไรมากหรอก พอดีน้าเพิ่งกลับจากต่างประเทศแล้วได้ยินข่าวว่าแกไม่สบายก็เลยมาเยี่ยม” พูดพลางใช้สายตาสำรวจคนตรงหน้า เพื่อดูบริเวณไหนผิดปกติบ้าง
“ใครบอกคุณน้าเหรอว่าผมป่วย” เลิกคิ้วเข้มมองเกริกวิทย์
“เปล่าหรอก แค่ถามดูเฉย ๆ น้าไปต่างประเทศตั้งหนึ่งเดือนไม่ได้เจอแก นึกว่าป่วยก็เลยมาเยี่ยม”
ประโยคคำพูดของเกริกวิทย์ถึงจะฟังดูทะแม่ง แต่มาเชลโล่ไม่ได้เคลือบแคลงมากนัก เพราะคิดว่าอย่างไรเกริกวิทย์เป็นน้าคงเป็นห่วงตามปกติ แต่อีกใจหนึ่งไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นเพื่อความปลอดภัยโทมัสโซ่
“ผมสบายดีครับคุณน้า ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ส่งยิ้มอ่อนแก่น้าชาย
“ว่าง ๆ ก็กลับบ้านบ้างนะ คุณตาบ่นถึงโนเอลใหญ่เลย”
“ช่วงนี้ผมงานยุ่งครับคุณน้า คุณนาราเพิ่งลาออกไป ผมไม่กล้าโยนงานให้เลขาใหม่เยอะ” มาเชลโล่ยกเหตุผลเช่นนี้ขึ้นมาอ้างกับชายวัยกลางคน ทั้งที่ความเป็นจริงมธุรินทำงานเก่งและไม่ค่อยผิดพลาด แต่ที่ต้องพูดอย่างนั้นเพราะเขากำลังตามสืบตัวคนร้ายที่ลอบฆ่าน้องชายมากกว่า
“เลขาใหม่ของโนเอลสวยดี” เกริกวิทย์ตบลงบนบ่าแกร่งมาเชลโล่เบา ๆ ราวกับต้องการสื่อความหมายบางอย่าง
“เอ่อ ครับ”
“งั้นน้าไปก่อนนะโนเอล”
“ครับ”
สายตาคมมองตามแผ่นหลังผู้เป็นน้าจนลับหาย จากนั้นชำเลืองมองมธุรินผ่านผนังกระจกครู่หนึ่งอย่างพิจารณา ก่อนจะสลัดความคิดในศีรษะทิ้งและกลับไปทำงานเหมือนเดิม
ผ่านไปครึ่งวันกับการทำงานแสนน่าเบื่อของมธุริน เธอไม่ชอบทำงานบริษัทเอาเสียเลย ไม่สนุกเหมือนทำงานอิสระสักนิด หากไม่ต้องสืบข้อมูลเกี่ยวกับแฟนหนุ่มของภัคธิมา จ้างให้เธอไม่มาทำงานนี้หรอก
“เฮ้อ ฉันทำงานที่นี่หนึ่งเดือนแล้วนะ ไม่เห็นจะมีอะไรคืบหน้าเลย เซ็งชะมัด” หญิงสาวพ่นลมหายใจอย่างเบื่อหน่าย หน้างดงามเริ่มบึ้งตึง เธอไม่รู้เลยว่าขณะนี้เจ้านายหนุ่มเปิดประตูออกมาพอดีและเห็นเธอทำหน้าไม่สบอารมณ์
“ไอ้คนเลวเห็นแก่ตัวที่สุดเลย คุณทำให้เพื่อนฉันเสียใจ” เสียงหวานกล่าวออกมาแผ่วเบาแต่ก็ดังพอให้มาเชลโล่ได้ยิน
“ว่าใครเหรอคุณมธุริน”
“บอส” หันขวับมองตามเสียง ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง ไม่รู้เขาได้ยินอะไรบ้างที่เธอพูดเมื่อสักครู่ บัดนี้เริ่มหวั่นใจเล็กน้อย แต่เธอก็ยังพยายามคิดในทางที่ดีบางทีเขาอาจไม่ทันฟัง
“เอ่อ บอสมีอะไรจะสั่งดิฉันหรือเปล่า” เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ จากนั้นทำใจดีสู้เสือเอ่ยถามคนตรงหน้า
“เที่ยงแล้วคุณไม่พักเหรอ” พูดพลางยกแขนขึ้นดูนาฬิกาข้อมือ
“แคลร์ เฮ้ยดิฉันกำลังจะไปค่ะ” เมื่อรู้ตัวเผลอแทนชื่อตนเองเป็นชื่อเล่นก็รีบเปลี่ยนทันที
“แคลร์เหรอ” เสียงทุ้มพูดเบาจนไม่ได้ยิน เขาชอบชื่อเล่นเธอยิ่งนัก อยากเอ่ยเรียกเช่นนั้นแต่เกรงว่าจะไม่เหมาะสม
“คุณมีนัดกับใครไหม ไปทานข้าวเที่ยงเป็นเพื่อนผมหน่อย”
“ทานข้าวกับบอสเหรอคะ”
“อืม”
หญิงสาวไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลงเจ้านายหนุ่ม ถึงแปลกที่จู่ ๆ เขาชวนไปรับประทานอาหารด้วยกัน แต่เมื่อลองคิดดูดี ๆ อีกครั้ง มันก็ไม่แปลกเท่าไรที่ผู้ชายเจ้าชู้อย่างเขาจะชวนพนักงานสาวสวยไปร้านอาหารด้วยกัน เผลอ ๆ ในบริษัทนี้อาจมีอีหนูของเขาที่เลี้ยงไว้ก็ได้ อย่างว่าแหละผู้ชายเจ้าชู้ไม่มีทางหยุดที่ผู้หญิงคนเดียว
มาเชลโล่พามธุรินมายังร้านอาหารไม่ไกลจากบริษัทมากนัก บรรยากาศค่อนข้างรื่นรมย์ แถมผู้คนไม่เยอะจนเกินไปและอาหารก็อร่อย
“คุณสั่งเต็มที่เลย มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”
“ขอบคุณค่ะบอส” เธอเหลือบมองเจ้านายหนุ่มเล็กน้อยระหว่างเปิดดูเมนูทีละหน้า
หลังจากทั้งคู่สั่งเสร็จก็ยื่นเมนูคืนพนักงาน ขณะนั้นมธุรินกวาดสายตามองรอบบรรยากาศและบังเอิญเห็นร่างแสนคุ้นเคยของภัคธิมา
“รสา” เอ่ยเพียงแผ่วเบาพลางหันกลับมามองเจ้านายหนุ่มกำลังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ “บอสคะ ดิฉันขอตัวไปห้องน้ำแป๊บหนึ่งนะคะ” ไม่รอฟังคำตอบจากเจ้านายหนุ่ม เด้งตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความรวดเร็ว
“รสา” มธุรินคว้าข้อมือเล็กเพื่อนรักไปยังมุมที่คิดว่าน่าจะรอดพ้นสายตามาเชลโล่
“แคลร์”
“มาทำอะไรแถวนี้เหรอ” พูดพลางหันหลังมองเจ้านายหนุ่ม
“ฉันมาส่งขนมให้ลูกค้าแถวนี้ ว่าแต่แกเถอะมาทำอะไรแถวนี้ ไม่ใช่ว่าทำงานหรอกเหรอ”
“เอ่อ ฉันมากินข้าวไง” พูดตะกุกตะกัก
“ดีเลยแคลร์ ฉันก็หิวไปกินด้วยกันนะ” ภัคธิมากำลังจะก้าวเดินไปที่ประตูร้าน ไม่ทันไรถูกมือเล็กของมธุรินคว้าไว้อีกครั้ง
“ทำไมเหรอแคลร์” ชำเลืองมองมือเพื่อนรักแล้วช้อนตามองหน้างดงามของมธุริน
“ก็ฉันกินแล้วไง เห็นไหมว่าอิ่มมากเลยตอนนี้” มือเล็กลูบหน้าท้องแบนราบ
“เหรอ”
“ใช่สิรสา แกคิดว่าฉันโกหกเหรอ”
“งั้นไม่เป็นไร ฉันไปกินคนเดียวก็ได้”
“ไม่ได้นะรสา” เอ่ยตอบเสียงแข็ง
“ทำไมล่ะแคลร์ ฉันหิว” ภัคธิมากล่าวเสียงอ่อน ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย กว่าจะส่งขนมให้ลูกค้าเสร็จปาไปเที่ยงพอดี
“ก็ร้านนั่นนะสิ ลูกค้าเยอะมาก ฉันคิดว่าแกคงทนหิวไม่ไหวหรอก กลับไปกินที่ร้านเถอะรสา” มธุรินพยายามสรรหาเหตุผลมาอ้างกับภัคธิมา แอบหวังให้เพื่อนยอมคล้อยตามแต่ดูเหมือนภัคธิมาไม่ปักใจเชื่อสักนิด
“แต่ฉันไม่เห็นคนจะเยอะเลย” พูดพลางทำท่ามองคนในร้าน “เอ๊ะนั่น คุ้น ๆ จังเลย”
‘แย่แล้ว’ มธุรินกล่าวในใจ หันหลังไปมองเจ้านายหนุ่มครู่หนึ่ง จากนั้นดึงภัคธิมาเข้าสู่อ้อมกอด
“รสา ฉันปวดหัวมากเหมือนจะเป็นลมเลย” พูดพลางทำท่าทาง
“งั้นไปพักในรถก่อนนะแคลร์”
“อืม” พยักหน้าหงึก ๆ ยอมให้เพื่อนประคองร่างไปลานจอดรถ
มาเชลโล่เห็นการกระทำทุกอย่างของมธุรินและภัคธิมาตั้งแต่ต้นจนจบ เขาจำภัคธิมาได้เพราะเคยเห็นภาพถ่ายในล็อกเก็ตของโทมัสโซ่และรู้ด้วยว่าหญิงสาวเป็นคนรักของน้องชาย แต่ที่น่าแปลกใจคือมธุรินรู้จักกับภัคธิมาได้อย่างไร นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก เขาเชื่อว่าต้องมีเงื่อนงำบางอย่างซ่อนอยู่แน่นอน
คนอย่างมาเชลโล่ไม่ปล่อยให้เรื่องราวค้างคาใจนาน เขาหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะอาหาร กดข้อความหนึ่งส่งถึงลูกน้องคนสนิท
มาเชลโล่ : ฉันอยากได้ประวัติของมธุริน เลขาคนล่าสุด
อัคราฟ : ได้ครับ ผมจะจัดการให้ไม่เกินวันนี้
“บอสคะ รอนานไหม พอดีในห้องน้ำคนเยอะ ขอโทษนะคะ”
ชายหนุ่มช้อนตามองหญิงสาวแวบหนึ่งพร้อมวางโทรศัพท์ไว้ดั้งเดิม
“ทานข้าวเถอะ”
“ค่ะ”
เธอส่งยิ้มอ่อนแก่เขาพลางนั่งลง กว่าจะหลอกล่อภัคธิมาสำเร็จกินเวลาหลายนาที ไม่รู้เขาจะระแคะระคายอะไรบ้างหรือเปล่า แต่เท่าที่สังเกตดูไม่เห็นสิ่งผิดปกติใด เธอจึงวางใจและรับประทานอาหารต่อ กระทั่งเสร็จสิ้นจึงพากันกลับบริษัท
