บทที่ 2 สวมรอย
ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำก้าวเดินไปยังประตูทางออกของสนามบิน โดยข้างหลังมีบอดี้การ์ดสองถึงสามคนคอยอารักขาไม่ห่าง หน้าตาหล่อเหลาของมาเชลโล่ทำให้ผู้คนบริเวณนั้นหันมามองเป็นตาเดียวกัน แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจมากนักเพราะมีสิ่งสำคัญกว่าต้องจัดการ
“บอสครับ เชิญทางนี้” อัคราฟผายมือให้แก่เจ้านายหนุ่มไปยังรถตู้ ก่อนมาเชลโล่จะยกเท้าใหญ่ขึ้นรถทันใด
รถตู้คันหรูเคลื่อนตัวตามท้องถนน ซึ่งภายในรถไร้เสียงสนทนาใด ๆ ชายหนุ่มทอดสายตามองบรรยากาศข้างทางพร้อมครุ่นคิดเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับชีวิตช่วงนี้ จู่ ๆ เสียงลูกน้องคนสนิทดังขึ้นจึงทำลายความเงียบ
“บอสครับ เราต้องเดินทางข้ามเกาะต่อนะครับ เดี๋ยวคนขับรถจะไปส่งที่ท่าเรือ”
“หมายความว่าไง” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำน้องชายเพียงคนเดียวอาศัยที่ไหน เพราะเป็นห่วงโทมัสโซ่มากก็เลยรีบมา
“คุณโนเอลรักษาตัวบนเกาะส่วนตัวครับ เพราะยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ กลัวไม่ปลอดภัยหากรักษาตัวที่โรงพยาบาล”
“แล้วมีใครรู้เรื่องนี้ไหม”
“ไม่ครับ”
“คุณน้าก็ไม่รู้เหรอว่าโนเอลถูกยิง”
“ครับ”
มาเชลโล่ไม่ได้ชวนอัคราฟคุยต่อ เขาเงียบลงทันทีพร้อมเอนกายพิงเบาะรถ นัยน์ตาคมกริบปรายตามองข้างทางอีกครั้ง
‘แปลก’
เขารู้สึกบางอย่างในเรื่องนี้อาจมีเงื่อนงำแน่นอน และรู้สึกถึงสิ่งไม่ชอบมาพากล
เมื่อมาถึงท่าเรือ มาเชลโล่และอัคราฟรวมถึงลูกน้องคนอื่น ๆ ก็นั่งเรือต่อไปยังบ้านพักของโทมัสโซ่บนเกาะส่วนตัว เพียงไม่ถึงชั่วโมงพวกเขาก็มาถึง
“สวัสดีครับคุณลีโอ เชิญเข้าข้างในกันเถอะ” อุดมลูกน้องคนสนิทของโทมัสโซ่กล่าวทักทายพี่ชายของเจ้านายตนเอง ก่อนเดินนำหน้า
มาเชลโล่มองคนบนเตียงเต็มด้วยสายระโยงระยางโดยไม่พูดอะไรสักคำ ใบหน้าหล่อเหลาพันด้วยผ้าสีขาวเว้นแค่ดวงตา ริมฝีปาก และจมูกเท่านั้น ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียงขนาดคิงไซซ์กวาดสายตามองน้องชายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แต่ต้องชะงักกับมือข้างซ้ายที่กำบางอย่างแน่น
เขาแกะมือโทมัสโซ่ออกก่อนพบล็อกเก็ตรูปหัวใจ ไม่รอช้าหยิบขึ้นมาดู
“ผู้หญิงคนนี้คือใคร” เขามองภาพถ่ายโทมัสโซ่กับสาวไทยคนหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขอคำตอบจากอุดม
“คนรักของบอสครับ บอสเป็นคนสั่งให้ผมนำล็อกเก็ตอันนั้นใส่ไว้ในมือบอสเองครับ”
“อืม” มาเชลโล่เข้าใจทันทีและไม่ได้ซักไซ้อะไรยืดยาว จากนั้นนำของดังกล่าวคืนไว้ที่เดิม เข้าใจแล้วน้องชายคงพบคนในดวงใจสักทีหลังตามหามาเนิ่นนาน
“โนเอลโดนทำร้ายได้ยังไง” เขาปรับสีหน้าให้ขรึมกว่าเดิมและเข้าสู่โหมดจริงจัง
“บอสถูกลอบทำร้าย ระหว่างทางกลับตอนไปพบลูกค้าครับ”
“แล้วตอนนั้นพวกนายไปไหน ไม่ได้ตามไปดูแลเหรอ” เอ่ยถามเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย
“เอ่อ คือตอนนั้นบอสบอกว่าจะไปพบลูกค้าแค่คนเดียวครับ ไม่ให้ผมตามไปเพราะใกล้บริษัท” กล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ก้มหน้างุดมองพื้นหลบแววตาคู่คมของมาเชลโล่ ทราบดีท่าทางของคนตรงหน้าน่ากลัวขนาดไหนถ้าโมโห
“ไม่ได้เรื่องสักคน” สบถอย่างหัวเสีย
“คุณลีโอครับ ผมผิดไปแล้วจะให้ผมทำอะไรก็ได้ผมยอมทุกอย่าง แต่อย่าไล่ผมออกเลยนะครับ” อุดมทรุดกายลงคาพื้น เงยหน้าอ้อนวอนมาเชลโล่
“ช่างเถอะลุกขึ้นมาก่อน” ไล่ออกไปก็ไร้ประโยชน์ไม่ใช่ทางออกที่ดีมากนัก ถึงอย่างไรอุดมก็เป็นคนฝีมือดีคนหนึ่งและดูแลโทมัสโซ่มานาน เขาจะยอมให้อภัยสักครั้ง
“ขอบคุณครับ” ยกมือไหว้คนตรงหน้าพลางเผยยิ้มอ่อน
“ช่วยเล่าให้ฉันฟังได้ไหม ทำไมถึงพาโนเอลมารักษาตัวที่นี่แทนที่จะเป็นโรงพยาบาล และอีกอย่างที่ฉันสงสัยทำไมคุณน้าถึงไม่รู้เรื่องโนเอลโดนยิง”
“เพื่อความปลอดภัยของบอสครับ ส่วนเรื่องที่คุณเกริกวิทย์ไม่ทราบเพราะบอสไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นจนกว่าจะพบตัวคนร้าย”
“อืม”
เสียงไอของคนบนเตียงดังขึ้น ตามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าพยายามจะกล่าวกับมาเชลโล่
“ลีโอ ใช่พี่หรือเปล่า” ฝ่ามือใหญ่พยายามยกขึ้นหมายจะสัมผัสมือหนาของพี่ชาย
“อืม ฉันเอง” พยักหน้าเล็กน้อย
“ผมดีใจที่พี่มานะ” กล่าวเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน
“นายเป็นไงบ้าง ยังเจ็บตรงไหนอีกไหม”
“พี่ลีโอ ผมมีเรื่องให้พี่ช่วยหน่อย” โทมัสโซ่ไม่ได้ตอบคำถามมาเชลโล่ แต่เอ่ยถึงเรื่องที่เขาอยากรบกวนพี่ชายมากกว่า
“เรื่องอะไร” คิ้วเข้มเลิกขึ้น
“ผมอยากให้พี่สวมรอยเป็นผมได้ไหม ช่วยตามสืบคนร้ายแทนผมหน่อย ถือว่าผมขอร้อง”
“ตกลง” ตอบรับแสนง่ายดาย เพราะเป็นความตั้งใจแรกอยู่แล้วตั้งแต่เห็นสภาพน้องชาย เขาอยากรู้ยิ่งนักใครกันทำร้ายโทมัสโซ่ถึงขั้นนี้ จงใจทำให้ตายชัด ๆ
“ขอบใจนะพี่ลีโอ แล้วผมจะให้อุดมเป็นคนชี้แจงรายละเอียด”
“อืม”
นับจากวันนั้นที่มธุรินเห็นภัคธิมาเสียใจเรื่องแฟนหนุ่มซึ่งผ่านมาแล้วเกือบสองสัปดาห์ ท่าทางของเพื่อนรักเหมือนเดิม มิหนำซ้ำอาจหนักกว่าเพราะเคยเห็นภัคธิมาร้องไห้บ่อยครั้ง แม้เพื่อนจะพยายามทำตัวเข้มแข็งต่อหน้าเธอก็ตาม
มธุรินกอดอกมองเพื่อนร้องไห้ในห้องครัวครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเข้าไป
“รสา”
ภัคธิมารีบหันหลังพลางยกมือเรียวเช็ดน้ำตาลวก ๆ จากนั้นหมุนตัวมาส่งยิ้มแก่มธุริน เพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้เพื่อนรักล่วงรู้ตนเองเพิ่งผ่านการร้องไห้
“ว่าไงเหรอแคลร์”
“ไม่ต้องมาทำตัวเข้มแข็งหรอกรสา ฉันรู้ว่าแกร้องไห้” ไม่พูดเปล่าเอื้อมมือแตะแก้มนุ่มของเพื่อนรักพร้อมเช็ดคราบน้ำตา และนำมาโชว์ให้ภัคธิมาเห็น “นี่ไง”
“แค่ฝุ่นมันเข้าตานะแคลร์ ไม่มีอะไรหรอก” ฝืนส่งยิ้มอ่อนแก่คนตรงหน้า
“อย่าตลกรสา แกคิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าแกร้องไห้เพราะผู้ชายเลวแบบนั้น”
“แกอย่าว่าพี่โนเอลนะ เขาไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย” ภัคธิมายื่นมือไปกุมมือของมธุริน ส่งสายตาอ้อนวอนไม่อยากให้เพื่อนต่อว่าคนรักด้วยถ้อยคำรุนแรง
“แกฟังฉันนะรสา ผู้ชายที่ไหนจะปล่อยให้ผู้หญิงที่ตัวเองรัก ร้องไห้เสียใจขนาดนี้” เธอไม่รู้จะพูดอย่างไรกับเพื่อนดีให้เข้าใจ บทจะดื้อก็ดื้อจนไม่ฟังใครเลย แม้กระทั่งเพื่อนรักอย่างเธอ
“พี่โนเอลเขาอาจจะงานยุ่ง” พยายามแก้ตัวแทนแฟนหนุ่ม
“ยุ่งเหรอ สงสัยจะติดผู้หญิงคนอื่นมากกว่า”
“แคลร์” เอ่ยเสียงเบาพร้อมปล่อยมือมธุรินเป็นอิสระ หน้างดงามก้มมองพื้น ถึงเธอจะเชื่อมั่นในตัวแฟนหนุ่มแต่อดหวั่นใจไม่ได้เลย ก็ก่อนโทมัสโซ่จะคบหากับเธอ เขาเคยควงผู้หญิงไปทั่วจนว่าเล่นและเธอกลัวเขาจะกลับไปทำแบบเดิม
“รสา ฉันขอโทษ” มธุรินดึงร่างเพื่อนรักมากอด มือนิ่มยกขึ้นลูบหลังเล็กอย่างอ่อนโยน บ่งบอกให้รับรู้เธอไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายจิตใจเพื่อน เธอรักและหวังดีต่อภัคธิมาเสมอเพราะภัคธิมาเปรียบเสมือนคนในครอบครัว
“ช่างเถอะ ดึกมากแล้วไปนอนเถอะ” ภัคธิมาผละออกจากอ้อมกอดเพื่อนรักและเดินออกจากห้องครัว ไม่เหลียวหลังมองมธุรินสักนิด
“เฮ้อ ฉันจะช่วยแกยังไงดีรสา” ถอนหายใจด้วยความหนักใจ และมองตามหลังเพื่อนจนลับหายในที่สุด
มธุรินกลับเข้าห้องนอนตัวเอง กอดอกแน่นและเดินวนไปมา พยายามหาวิธีช่วยเหลือภัคธิมาให้หลุดพ้นกับผู้ชายเลวคนนั้น
“ทำยังไงนะ คิด ๆ สิยายแคลร์” หญิงสาวพึมพำกับตนเอง จู่ ๆ ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมอง “คิดออกแล้ว”
เธอเดินพรวดไปที่โต๊ะทำงานและรีบเปิดโน๊ตบุ๊ค จากนั้นนิ้วเรียวกดลงบนแป้นพิมพ์เพื่อพิมพ์ชื่อโทมัสโซ่และกดค้นหา เพียงไม่นานข้อมูลของโทมัสโซ่ปรากฏเต็มหน้าจอ เธอเลือกกดเข้าไปในบทสัมภาษณ์หนึ่งของเขา กวาดสายตาไล่อ่านทุกตัวอักษรแทบไม่ตกหล่นสักนิด ต่อด้วยค้นหาข้อมูลเขาเพิ่มเติม กระทั่งมาหยุดยังเว็บหางานของบริษัท
“รับสมัครงานตำแหน่งเลขานุการประธานบริษัทเหรอ”
มธุรินยิ้มร้ายมุมปาก เธอรู้แล้วนับจากนี้จะจัดการผู้ชายคนนั้นอย่างไรดี เมื่อโอกาสเป็นใจขนาดนี้
“คอยดูเถอะฉันนี่แหละจะกระชากหน้ากากคุณเอง รสาจะได้เห็นธาตุแท้ของคุณสักที คนเลว”
หญิงสาวจัดการปิดโน๊ตบุ๊คและย่างกรายไปยังเตียงนอนก่อนจะเอนกายล้มลงบนเตียงอย่างสบายใจ พร้อมกับใบหน้างามเผยยิ้มกรุ้มกริ่ม
ร่างอ้อนแอ้นหันข้าง คว้าหมอนข้างมากอดแนบลำตัว
“ดีใจที่สุดเลย” สิ้นคำพูดเธอค่อย ๆ ปิดตาลงสนิทและเข้าสู่ห้วงนิทราทันใด
