บทที่ 1 เหตุการณ์เลวร้าย
ณ ประเทศอิตาลี มีนักเลงกลุ่มหนึ่งที่แพ้พนันกำลังทำลายข้าวของมากมายภายในกาสิโนจนเสียหาย และทำให้ลูกค้าคนอื่น ๆ ต่างพากันแตกตื่น วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนด้วยความหวาดกลัว เพราะเกรงจะโดนลูกหลงไปด้วย
“ไอ้ลีโออยู่ไหนวะ” เสียงของชายคนหนึ่งในกลุ่มอันธพาลตะโกนเรียกหาเจ้าของกาสิโน
ไร้เสียงตอบกลับของผู้คนมีเพียงเสียงปืนที่ดังตามมา ก่อนชายคนดังกล่าวจะทรุดลงคาพื้น พร้อมกับขาข้างซ้ายที่มีเลือดสีแดงสดไหลนองเต็มขา
“มึงอยากเจอกูเหรอ” ร่างสูงใหญ่ปรากฏต่อหน้าชายคนเดิม ก่อนนำปืนจ่อศีรษะ เขาจ้องมองคนตรงหน้าด้วยแววตาเกรี้ยวกราด
มาเชลโล่หรือลีโอ หนุ่มลูกครึ่งไทย – อิตาลีวัย 32 ปี ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วดกดำ จมูกโด่งคมสัน ริมฝีปากหยักได้รูป เจ้าของกาสิโนหรูและมีธุรกิจสีเทาอีกมากมาย ผู้คนขนานนามเขาว่ามาเฟียเลือดเย็น
“บอสครับ” อัคราฟลูกน้องคนสนิทกระซิบข้างหูมาเชลโล่ เพื่อเตือนสติเจ้านายหนุ่มให้รู้ตน เนื่องจากกำลังถูกทุกสายตาจับจ้องและอาจจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงหากทำอะไรบุ่มบ่าม
“เอาพวกมันไปขังห้องใต้ดิน” กล่าวเพียงเท่านั้น มาเชลโล่นำปืนแนบเอวสอบและหมุนตัวย่างกรายไปข้างหน้า โดยไม่เหลียวหลังมองผู้คนเหล่านั้นสักนิด ปล่อยให้อัคราฟเป็นคนจัดการต่อ
ความสัมพันธ์ระหว่างมาเชลโล่กับอัคราฟเปรียบเสมือนดั่งพี่น้อง ชายหนุ่มไม่เคยมองอัคราฟเป็นคนอื่นเลย เพราะทั้งคู่เติบโตมาด้วยกันจึงรักและไว้ใจแทบทุกเรื่อง
ภายในห้องทำงานขนาดใหญ่โทนดำ เฟอร์นิเจอร์ราคาไม่ต่ำกว่าหลักแสน การตกแต่งบ่งบอกถึงรสนิยมเจ้าของห้องเป็นอย่างดี ชายหนุ่มจดจ่อกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อดูภาพเคลื่อนไหวผ่านกล้องวงจรปิดในห้องใต้ดิน ที่เขาเพิ่งสั่งลูกน้องนำตัวพวกอันธพาลไปเมื่อสักครู่
“ขออนุญาตครับบอส”
มาเชลโล่ละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ เงยหน้ามองลูกน้องคนสนิทอย่างฉงน ท่าทางรีบร้อนและสีหน้าตึงเครียด สร้างความเคลือบแคลงใจแก่เขายิ่งนัก
“เกิดอะไรขึ้น” เอ่ยถามเสียงเรียบตามสไตล์
“เรื่องด่วนครับ คุณโนเอลถูกลอบสังหารครับ”
“อะไรนะ!!” เขาเด้งตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างไว เพราะชื่อของคนดังกล่าวคือน้องชายฝาแฝด ที่แยกจากกันตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เนื่องจากบุพการีหย่าร้างกัน น้องชายอยู่กับมารดายังประเทศไทย ส่วนเขาย้ายกลับมาอยู่อิตาลีกับบิดา ก่อนบิดาจะเสียชีวิตเมื่อห้าปีที่แล้ว และสองปีถัดมามารดาก็เสียชีวิตเช่นกันด้วยอุบัติเหตุทางรถ ตอนเดินทางไปสัมมนาต่างจังหวัด
แม้มาเชลโล่และโทมัสโซ่แยกกันอยู่ ทว่าคนทั้งสองมักจะติดต่อกันเสมอจึงรู้การเคลื่อนไหวของกันและกัน
“คุณโนเอลถูกลอบสังหารครับ ตอนนี้อาการสาหัส” อัคราฟรายงานผู้เป็นนายอีกครั้ง
“แล้วจับคนร้ายได้ไหม”
“ไม่ได้ครับ” ส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อย
“รีบจองตั๋วเครื่องบินที่เร็วที่สุด ฉันจะไปหาโนเอล” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเข้ม มือหนากำหมัดแน่นด้วยความโกรธเคือง ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นใครเขาต้องลากตัวคนร้ายมารับกรรมให้ได้
“ครับบอส ผมจะรีบจัดการให้เดี๋ยวนี้” อัคราฟรับคำสั่งจากเจ้านายหนุ่มก่อนหันหลังก้าวเท้าเดินจากไป
พ้นร่างสูงโปร่งลูกน้องคนสนิท มาเชลโล่ก้าวเท้าไปยังริมหน้าต่างกระจก ปรายตามองบรรยากาศยามค่ำคืนด้วยความว่างเปล่าและว้าเหว่ นานแค่ไหนที่ไม่ได้เดินทางกลับประเทศไทยเลย ก็ตั้งแต่มารดาเสียชีวิตประมาณสองปี ถึงที่นั่นจะมีน้องชายและญาติฝั่งมารดา แต่เขาไม่เคยคิดจะกลับเลย เพราะผู้คนต่างรังเกียจบิดาที่เป็นมาเฟีย และรวมถึงเขาที่เดินตามรอยบิดาเช่นกัน
การหย่าร้างระหว่างบิดาและมารดา เขาทราบดีคนทั้งสองรักกัน แต่ต้องทำแบบนั้นสืบเนื่องมาจากชัชวาลย์ ตาของเขาเกลียดชังบิดา
“หวังว่านายจะไม่เป็นอะไรมากนะโนเอล”
ร้านขนมไทยแห่งหนึ่งย่านเมืองกรุง มีเจ้าของร้านหน้าหวานอย่างภัคธิมาและหุ้นส่วนแสนสวยอย่างมธุริน ทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่สมัยเด็ก และมักจะช่วยเหลือพึ่งพากันและกันเสมอ
มธุรินหรือแคลร์ สาววัย 24 ปี หน้าตาสะสวย กำพร้าบุพการีตั้งแต่เล็กอาศัยอยู่กับยายกระทั่งยายเสียชีวิต เธอก็ได้รับการช่วยเหลือจากกะรัตมารดาของภัคธิมา ดูแลในเรื่องต่าง ๆ ทั้งให้ที่พักและทุนการศึกษา เธอจึงสำนึกในบุญคุณของกะรัตเสมอ
ดวงตากลมโตปรายตามองเพื่อนรักระหว่างเก็บร้าน เธอเห็นภัคธิมานั่งหงอยเกือบชั่วโมงแล้ว สีหน้าและท่าทางไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ดื่มน้ำหน่อยรสา” แก้วน้ำเปล่าถูกวางลงตรงหน้าภัคธิมา ก่อนมธุรินจะเดินอ้อมไปนั่งตรงข้ามเพื่อนรัก
“ขอบใจมาก” ส่งยิ้มอ่อนแก่คนตรงหน้า มือเรียวจับแก้วน้ำแล้วนำมาดื่มเกือบหมด พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกภายในใจที่เจ็บปวดขณะนี้ไม่ให้มธุรินล่วงรู้ ทว่าไม่อาจรอดพ้นสายตาเพื่อนรักอยู่ดี
“มีอะไรเล่ามาเลย” มธุรินเอนกายพิงเก้าอี้พลางยกแขนขาวเนียนกอดอก นัยน์ตาคู่งามจับจ้องร่างอ้อนแอ้นอย่างเค้นคำตอบ เป็นเพื่อนรักกันมาเกือบครึ่งค่อนชีวิต เรื่องแค่นี้ทำไมเธอจะดูไม่ออกเพื่อนกำลังเสียใจและหากเดาไม่ผิดก็น่าจะเกี่ยวข้องกับแฟนหนุ่มแน่นอน
“แกรู้เหรอแคลร์” ภัคธิมาชะงัก เงยหน้ามองเพื่อนรัก
ถึงคนทั้งสองจะเป็นเพื่อนรักกัน ทว่านิสัยต่างกันสุดขั้ว ภัคธิมาถูกเลี้ยงดูดั่งไข่ในหินเป็นคนเรียบร้อย อ่อนโยน น่ารักและน่าทะนุถนอม ส่วนมธุรินจะแก่นแก้ว ไม่ยอมใครง่าย ๆ ร้ายมาก็ร้ายกลับ แต่ทว่าเป็นคนจิตใจดี เลยทำให้ทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกันได้
“เราเป็นเพื่อนกันมานานแล้วนะรสา ทำไมเรื่องแค่นี้ฉันจะไม่รู้ว่าแกเป็นอะไร ใช่เรื่องผู้ชายคนนั้นใช่ไหม”
“อืม” ตอบรับสั้น ๆ ในลำคอและพยักหน้ายืนยันคำตอบ
“เฮ้อ ฉันไม่รู้จะพูดยังไงกับแกดี ฉันบอกแกแล้วใช่ไหม ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนดี ท่าทางก็เจ้าชู้” เธอถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วส่ายศีรษะอย่างเอือมระอา
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะแคลร์ ฉันแค่ติดต่อพี่โนเอลไม่ได้ เขายังไม่ได้ทำอะไรฉันเลย” ฝ่ามือเรียวเอื้อมไปกุมมือของมธุริน ไม่อยากให้เพื่อนรักเข้าใจแฟนหนุ่มผิด
“แต่ผู้ชายคนนั้นเขาไม่ใช่คนดีนะรสา แกก็รู้ว่าเขามีข่าวไม่ดีกับพวกนางแบบบ่อย เลิกกับเขาเถอะฉันไม่อยากให้แกเสียใจอีกแล้ว”
“ฮึก ฉันรักเขา ฉันเลิกกับเขาไม่ได้” ภัคธิมากล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น หยาดน้ำตาไหลรินข้างแก้มนุ่มไม่ขาดสาย
“เฮ้ย อย่าร้องไห้สิรสา ฉันแค่เตือนแกด้วยความหวังดี” มธุรินเด้งตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ เท้าเล็กย่างกรายไปหยุดข้างภัคธิมาก่อนจะดึงเพื่อนรักแนบเอวคอดกิ่ว ฝ่ามือนิ่มลูบไล้เส้นผมยาวสลวยแผ่วเบาราวกับต้องการปลอบประโลม “หยุดร้องเถอะรสา ฉันเห็นแกเป็นแบบนี้แล้วใจคอไม่ดีเลย”
“ฮึก ฮือ แกก็พูดได้สิ เพราะแกไม่เคยรักใครไง แกถึงไม่รู้ว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน ” ภัคธิมากอดกระชับเพื่อนรักแน่น ข่มตาอย่างเชื่องช้าพลางนึกถึงใบหน้าคมคายของแฟนหนุ่ม ถึงเขาจะเคยมีข่าวเสียหายกับผู้หญิงบ่อย ทว่าตั้งแต่คบกันเขาก็เลิกนิสัยเจ้าชู้จนหมด และให้คำมั่นสัญญาจะมีเธอเพียงคนเดียว
มธุรินขบเม้มริมฝีปากเกือบเป็นเส้นตรง ค่อย ๆ ก้มหน้ามองเพื่อนรักในอ้อมแขนตนเอง โดยไม่พูดประโยคใดออกมาสักคำ
“แคลร์ ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น” ภัคธิมาผละออกจากอ้อมกอดเพื่อนรัก หลังมือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาบนหน้างดงามลวก ๆ เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าเผลอพูดรุนแรงกับมธุริน
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้โกรธแกเลยก็แค่เป็นห่วง กลัวจะถูกผู้ชายคนนั้นหลอก”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงยังไงฉันกับพี่โนเอล เราก็เหมือนคนคนเดียวกัน”
“แกพูดแบบนี้หมายความว่าไงรสา” คำพูดที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากเพื่อนรัก ทำเอาชะงักทีเดียว
“อุ๊บ” ภัคธิมายกมือปิดปากแทบไม่ทัน เผลอพูดประโยคดังกล่าวให้มธุรินฟังซะแล้ว
“พูดมารสา ไม่อย่างนั้นฉันจะฟ้องป้ากะรัตจริงด้วย” มือบางยกขึ้นเท้าสะเอว สายตาคู่งามจ้องเขม็งเพื่อนตรงหน้าแบบเค้นคำตอบ
“อย่าฟ้องคุณแม่นะแคลร์” หน้างามเริ่มสลดลง
“รีบพูดมารสา”
“เอ่อ คือฉันกับพี่โนเอลเรามีอะไรกันแล้ว และเขาบอกว่าจะแต่งงานกับฉัน” ภัคธิมากล่าวเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน
สิ้นเสียงเพื่อนรัก มธุรินเอื้อมมือฟาดไหล่กลมกลึงภัคธิมาอย่างจัง
“แกเพิ่งจะคบเขาแค่หกเดือนเองนะไอ้รสา ทำไมถึงปล่อยตัวขนาดนี้” นี่เป็นครั้งแรกมธุรินเรียกภัคธิมาเช่นนี้
“ก็ฉันรักเขา” เอ่ยตอบเสียงสั่น
“เฮ้อ…ช่างเถอะถึงยังไงมันก็ผ่านมาแล้ว เอ่อ แล้วป้องกันทุกครั้งไหมที่มีอะไรกับเขา”
“อืม” หยักหน้าหงึก ๆ “แกไม่ต้องห่วงนะแคลร์ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาพี่โนเอลไม่มีทางทิ้งฉันเด็ดขาด”
“ฉันจะลองเชื่อในความรักของพวกแกสักครั้ง แต่ถ้าผู้ชายคนนั้นทำให้แกเสียใจอีก รับรองฉันไม่เอาไว้แน่”
“ขอบใจนะแคลร์” เผยยิ้มอ่อนแก่เพื่อนรัก
