2(2). กระต่ายกับสิงโต
Ding Dong!~
ออดเลิกเรียนดังขึ้น นักเรียนต่างทยอยกลับบ้านอย่างไม่มีใครลังเล ยกเว้นคนที่ต้องอยู่ทำกิจกรรมชมรมหลังเลิกเรียน และฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น
ฉันสังกัดชมรมดนตรีเช่นเดียวกับบลายธ์ แต่อยู่คนละแผนก เครื่องดนตรีที่ฉันเล่นไม่ใช่เปียโนเพราะฉันไม่อยากโดนเปรียบเทียบเวลาอยู่บ้าน เพราะงั้นฉันจึงเลือกเล่นดนตรีไทยแทน ถึงจะเป็นชมรมดนตรีเหมือนกันแต่เราก็ซ้อมกันคนละห้อง
เสียงเปียโนแว่วมาตามสายลมระหว่างที่ฉันกำลังจะเดินไปห้องซ้อม พลางนึกสงสัยว่าอะไรกันนะที่ทำให้บลายธ์หลงใหลในเปียโนมากขนาดนี้ แต่ฉันก็ไม่เคยคิดจะเอ่ยปากถามเธออย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลยสักครั้ง...
ฟึ่บ!
ฉันชะงักกึก! เมื่อเดินอยู่ดีๆ ก็มีมือใครบางคนยื่นมือออกมาขวางทางข้างหน้า...
“เมฆ!” ฉันเรียกชื่อหมอนั่นออกมาอย่างตกใจ ทำไมเขามาอยู่นี่ได้ล่ะ วันนี้ไม่ได้มีธุระสำคัญอะไรสักหน่อย
ปกติเมฆจะเป็นคนขับรถมาส่งบลายธ์ที่โรงเรียน ส่วนตอนกลับฉันกับบลายธ์จะนั่งแท็กซี่กลับด้วยกันเพราะต้องอยู่ซ้อมดนตรีเวลากลับบ้านเลยไม่แน่นอน หมอนี่จะมารับก็เฉพาะวันที่มีธุระสำคัญอย่างเมื่อวานเท่านั้น
“เธอดูสบายใจจังเลยนะ” หมอนั่นจ้องหน้าฉันนิ่ง
ฉันขมวดคิ้วมุ่น! รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“อยากจะพูดอะไรกันแน่ แล้วมาเนี่ยมีธุระอะไร”
“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ได้บอกใครหรือเปล่า?”
“เปล่า” ฉันตอบเสียงปัดๆ พลางเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างรำคาญ
“ก็ดี! เพราะฉันไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนั้น”
ฉันหันขวับกลับมามองหน้าเมฆทันที
“หมายถึงเรื่องไหนล่ะ เรื่องที่นายเป็นลูกอีกคนของ...”
ฉันชะงักรู้สึกอัดอัดที่จะพูดมันออกมาก่อนจะข้ามไปพูดอีกประโยคหนึ่งที่ยังค้างในใจ
“...หรือเรื่องที่แม่นายติดหนี้พวกยากูซ่ากันล่ะ!?”
เมฆหน้าตึงขึ้นมาทันที แววตาที่ดูเย็นชาอยู่แล้วยิ่งเย็นชาเข้าไปใหญ่
“ช็อกมากเหรอที่รู้ว่าฉันเป็นพี่”
“เปล่า... ไม่ใช่แบบนั้น” ฉันพูดออกมาด้วยความรู้สึกอ่อนใจ
“หึ! ฉันแค่จะมาบอกว่ามันไม่คุ้มหรอกที่จะไปเล่นตามเกมของยากูซ่า เธออย่าทำอะไรเลยจะดีกว่า เพราะเท่าที่ได้ยินมาคิเรย์น่ะร้ายกาจกว่าเก็นริวเป็นร้อยเท่า! ส่วนเรื่องเงินฉันจะรีบหาทางรวบรวมไปคืนมันเอง”
“เป็นห่วงฉันเหรอ?”
เมฆชะงัก... หมอนั่นมองฉันด้วยสายตาราบเรียบ “ใช่! เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอฉันเองก็จะเดือดร้อนไปด้วย!”
“...” ที่แท้ก็ห่วงตัวเอง เหอะ!
“เข้าใจใช่ไหม!? ถ้าไม่อยากถูกเผาก็อย่าไปเล่นกับไฟ!”
“แล้วถ้าไฟมันวิ่งเข้ามาหาเราเองล่ะ นายจะทำยังไง!?” ฉันนึกถึงฉากที่คิเรย์ไปส่งบลายธ์ที่บ้านเมื่อวานแล้วรู้สึกแปลกๆ ฉันไม่ไว้ใจคิเรย์ และไม่ชอบที่ตัวอันตรายอย่างหมอนั่นมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ บลายธ์ด้วย
“หมายความว่ายังไง!?”
“ดูเหมือนว่าคิเรย์จะถูกใจบลายธ์เข้าแล้วน่ะสิ” ไม่ผิดแน่... สายตาที่หมอนั่นมองบลายธ์เมื่อคืน ฉันมั่นใจว่าเขาต้องคิดอะไรแน่นอน
“บ้าเอ๊ย!” เมฆสบถอย่างไม่สบายใจ เขารู้ว่าฉันไม่ใช่คนที่ชอบพูดอะไรพล่อยๆ ถ้าไม่มั่นใจจริงๆ ฉันก็คงไม่พูดมันออกมาและส่วนใหญ่เรื่องที่ฉันสงสัยก็มักจะเป็นจริงทั้งหมดด้วยสิ!!
“ฉันว่าถ้าเก็นริวรู้เข้าหมอนั่นคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ๆ และตอนนั้นบางทีคนที่จะเดือดร้อนจริงๆ อาจไม่ใช่แค่ฉันกับนายแต่มันจะรวมถึงบลายธ์ด้วย! ฉันว่านายคงไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นหรอกใช่ไหม?”
“แล้วจะทำยังไง?” เมฆเหลือบมองหน้าฉันด้วยแววตาร้อนใจ
“ฉันจะทำให้หมอนั่นมาสนใจฉันแทนบลายธ์เอง!”
“...”
ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่าอะไรคือการสร้างจุดอ่อนที่เก็นริวพูดถึง... ถ้าหมอนั่นยังไม่มีผู้หญิงที่ชอบ ก็ทำให้เขาชอบฉันซะก็จบเรื่อง จากนั้นก็ค่อยทรมานเขาให้เจ็บปวดด้วยความรัก เป็นวิธีดัดหลังที่แยบยลและโหดร้ายยิ่งกว่าอะไรซะอีก!
ฉันที่คิดเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาเฉยชักเริ่มกลัวตัวเองซะแล้วสิ!
ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ! แต่ฉันยังไม่รู้วิธีเข้าหาคิเรย์เลย
เวลาแบบนี้หมอนั่นจะยังอยู่ที่โรงเรียนหรือเปล่านะ หรือว่าจะม้วนหางกลับบ้านไปตั้งแต่ออดเลิกเรียนดังแล้ว หึ! ช่างมันก่อนเถอะ ฉันควรรีบไปที่ห้องชมรมก่อนจะสายไปมากกว่านี้
“มานา เพิ่งมาเหรอ?” เสียงจิลเพื่อนในชมรมเอ่ยทักขึ้นมาทันทีที่ฉันย่างเท้าเข้ามาข้างใน
“อืม... อ้าวแล้วนี่ทุกคนไปไหนหมด?” ฉันเหลือบมองรอบๆ ห้องที่ไร้เงาของสมาชิกคนอื่นๆ อย่างสงสัย
“คงไม่มีใครมาแล้วล่ะ”
“อ้าวทำไมล่ะ!?”
“ไม่ได้ยินข่าวเหรอ” จิลมองหน้าฉันนิ่ง
“ข่าวไร?”
“ก็เรื่องที่ดนตรีไทยกำลังจะถูกนำไปบริจาคให้กับโรงเรียนอื่นไง”
“ไหงงั้นล่ะ?”
“เธอนี่จริงๆ เลย ไม่รู้อะไรสักนิดหรือไง” จิลส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
“ไม่อะ... แล้วถ้าเอาเครื่องดนตรีไปบริจาคพวกเราจะเล่นอะไรล่ะ?”
“ก็ไม่มีไง”
“อ้าว!”