2. กระต่ายกับสิงโต
มันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย...
ฉันยืนใจสั่นอยู่หน้าห้องเรียนของคิเรย์อย่างไม่มีทางเลือก หวนนึกถึงเรื่องเมื่อวานทีไรใจก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาทุกที!
เก็นริวจับตัวแม่ของเมฆเอาไว้เป็นตัวประกัน และจะไม่ปล่อยจนกว่าฉันจะทำให้คิเรย์เจ็บปวดหรือไม่ก็จนกว่าเมฆจะหาเงินมาใช้หนี้ได้
มันไม่ใช่ธุระอะไรของฉันเลย ถึงแม้ว่าการเมินเฉยต่อปัญหาของคนอื่นมันอาจจะดูโหดร้ายไปบ้างแต่มันก็เป็นสิทธิ์ของฉันไม่ใช่เหรอ แต่ด้วยสายตาและท่าทางของเก็นริวเมื่อคืนหมอนั่นไม่ได้ให้โอกาสฉันได้เลือกเลย!
ที่สำคัญไปกว่านั้น...
ถึงฉันจะไม่ใช่ลูกสาวในสมรสของผู้นำตระกูลธาราพิลักษณ์แต่ว่าเมฆก็มีศักดิ์เป็นพี่ชายฉันคนหนึ่ง เพราะฉันเองก็มีเลือดธาราพิลักษณ์อยู่ในตัวเหมือนกันแม้ว่าฉันจะไม่อยากนึกถึงมันก็ตาม!
แต่นั่นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน....
หลังจากที่ตกลงกันได้ ไม่สิ! หลังจากที่เก็นริวบังคับให้ฉันตกปากรับคำเสร็จมันก็ปล่อยฉันกับเมฆออกมา เราทั้งคู่นั่งแท็กซี่กลับบ้านมาด้วยกันเงียบๆ ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรกันเลย
จนกระทั่งถึงบ้าน เมฆก็ยังคงรักษาระยะห่างระหว่างเราเอาไว้ แม้ว่าฉันมีคำถามมากมายที่อยากจะถามออกไปแต่เพราะท่าทีนิ่งขรึมของเขาก็ทำให้ฉันต้องหุบปากเงียบด้วยความเกรงใจ
เมฆเปิดประตูเล็กเข้าบ้านไปก่อน ฉันกำลังจะก้าวไปเงียบๆ และจังหวะที่หันกลับมาล็อกประตู รถยนต์คันหนึ่งก็วิ่งปราดเข้ามาจอดหน้าบ้าน ฉันเหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจ ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับร่างบางของบลายธ์ที่ก้าวออกมาจากรถ
“ขอบคุณนะที่มาส่ง”
ประตูรถฝั่งคนขับถูกเปิดออก ไม่นานร่างสูงก็ก้าวออกมายืนมองบลายธ์ที่กำลังจะเดินเข้าบ้านด้วยแววตาผิดหวังเสียดาย
นั่นมัน!... ฉันยืนมองอย่างตะลึง!!
“นี่... อุตสาห์พามาส่งถึงที่จะไม่เชิญเข้าบ้านหน่อยเหรอ?”
“นายรบเร้าจะพาฉันกลับบ้านเองไม่ใช่เหรอ”
“หึ! ใจร้ายจังเลยนะ”
“ไม่อยากให้ตัวอันตรายอย่างนายมาว่าหรอก!” บลายธ์เดินสะบัดหน้ามาที่ประตูเล็ก ฉันรีบหลบเข้าไปยืนชิดกับกำแพงอีกด้านหนึ่งทันที เพราะความมืดทำให้ยัยนั่นไม่ทันสังเกตว่าฉันยืนอยู่ตรงนี้ คล้อยหลังบลายธ์ไปฉันชะโงกหน้าออกไปดูที่นอกรั้วอย่างมึนงง
คิเรย์ยังคงมองตรงเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ด้วยแววตาเป็นประกายครู่หนึ่งก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากแล้วก้าวขึ้นรถขับออกไปอย่างเงียบกริบ
วินาทีนั้นฉันงงไปหมด! ทำไมบลายธ์ถึงมากับคิเรย์ได้ สองคนนั้นรู้จักกันด้วยเหรอ!? ไม่สิ... ไม่มีทางที่พวกเขาจะรู้จักกันมาก่อนโดยที่ฉันไม่รู้ มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นที่งานเลี้ยงระหว่างที่ฉันไม่อยู่แน่ๆ
ตั้งแต่นั้นมาภายในใจของฉันก็หยุดคิดเรื่องนั้นไม่ได้เลย!
“อะแฮ่ม!”
เสียงกระแอมไอที่ดังขึ้นข้างหลังทำฉันรู้สึกตัวและสะดุ้งเบาๆ ฉันหันกลับไปมองก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ ออกมาเมื่อสบสายตาเข้ากับอาจารย์ที่กำลังจะเดินเข้าไปสอน
“ขอโทษค่ะ” แล้วฉันก็รีบจรลีจากมาทันทีโดยมีสายตาคมๆ ของอาจารย์คนเดิมมองตามจิกไปจนลับสายตา
เฮ้อ! ไม่เห็นคิเรย์ในห้องเรียนเลยแฮะ... แล้วแบบนี้ฉันจะมีวิธีไหนทำให้หมอนั่นกระอักเลือดได้บ้างเนี่ย ยิ่งคิดก็ยิ่งตัน! ลองโทรไปปรึกษาเรื่องนี้กับเมฆดูดีไหมหว่า? แต่ท่าทางเมฆจะไม่อยากให้ฉันเข้ามาวุ่นวายเรื่องของเขาสักเท่าไหร่เนี่ยสิ! ...นั่นมันก็ดีหรอก ใช่ว่าฉันอยากจะยุ่งด้วยซะเมื่อไหร่ล่ะ แต่ถ้าขืนไม่ทำอะไรเลยมีหวังโดนเก็นริวเฉือนแน่!! หมอนั่นท่าทางเอาจริงซะด้วยสิ งือ!~
ระหว่างเดินกลัดกลุ้มไปตามระเบียงห้องเรียนฉันก็เหล่มองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือไปพลาง เพิ่งจะเก้าโมงเองแฮะ หรือว่าคิเรย์จะชอบเข้าเรียนคาบแรกสาย... คิดไปก็ปวดหัวไป ฉันต้องทำยังไงให้คิเรย์เจ็บปวดได้นะ ฉันนอนคิดหาวิธีกลั่นแกล้งหมอนั่นต่างๆ นานา แต่การแกล้งแบบหน่อมแน้มคงทำอะไรหมอนั่นไม่ได้แน่ๆ ถ้าอย่างนั้นแล้วอะไรล่ะ ตอนนั้นเก็นริวหมายความว่ายังไงกันแน่นะ...
ทำยังไงถึงจะทำให้คิเรย์กระอักเลือดได้ จ้างคนมาซ้อม!? ไม่สิ! มันดูผิวเผินเกินไป... อย่างคิเรย์คงไม่มีทางยอมให้ตัวเองถูกต่อยได้ง่ายๆ
ผลัวะ!!
“โอ๊ย!”
เมื่อกี้นี้มัน...
ฉันก้าวถอยหลังกลับมาดู หันไปมองยังทิศที่คิดว่าได้ยินเสียงเมื่อครู่นี้อย่างสงสัย ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นคิเรย์พิงอยู่กับราวบันไดพร้อมกับยกมือขึ้นปาดมุมปากที่ยังคงกัดไม้จิ้มฟันอยู่ด้วยท่าทางหัวเสีย
หมอนั่นโดนต่อย... อีกแล้ว!?
แถมคนที่ต่อยยังเป็นเลเอสเพื่อนในแก๊งยากูซ่าเดียวกันเหมือนเดิมด้วย...
“เลเอส! หน้ากูจะช้ำก็เพราะอารมณ์มึงเนี่ยแหละ” คิเรย์เหลือบมองหน้าเลเอสด้วยสายตาหงุดหงิด
“หึ!” อีกคนแสยะยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อน
น่ากลัวแฮะ!
“มันเป็นสิ่งที่มึงต้องชดใช้ อย่าบ่น!”
“คิดว่ากูยอมให้ต่อยฟรีมากี่วันแล้วห๊ะ!”
“แล้วไง!? มันเทียบไม่ได้กับที่มึงทำให้แฟนกูตกใจเลยสักนิด!”
“เฮ้! เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วนะ จะเจ้าคิดเจ้าแค้นไปถึงไหน ก็ขอโทษไปแล้วไง แล้วยัยนั่นก็ไม่ได้คิดจะเอาเรื่องกูด้วยซ้ำ”
“นั่นก็เพราะว่าซีซี่เกรงใจมึงยังไงล่ะ!” เลเอสตวาดกลับเสียงฉุน
คิเรย์ทำเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ ก่อนจะเดินย่ำเท้าขึ้นบันไดมาด้วยท่าทางหงุดหงิด
พรึบ!
หมอนั่นตวัดสายตาขึ้นมาและสบสายตาเข้ากับฉันโดยบังเอิญ ร่างกายฉันแข็งทื่ออย่างไม่มีเหตุผล รีบตวัดสายตาหลบคิเรย์ด้วยอาการหวาดหวั่น แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วรีบสาวเท้าเดินออกมาให้เร็วที่สุด
“ยัยนั่นเป็นใครกัน?” เสียงเลเอสดังไล่หลังมา
“ไม่รู้” คิเรย์กระชากเสียงตอบอย่างรำคาญ หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเพราะระยะทางที่ห่างขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งมาถึงห้องเรียนตัวเองฉันถึงกับระบายลมหายใจออกมายาวยืด! รู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกมานอกอกเลยแฮะ แค่มองตาหมอนั่นก็รู้สึกขนลุกขนพองจะแย่อยู่แล้ว ไม่ตลกเลยสักนิด ถ้าเทียบกันแล้วฉันเหมือนกระต่ายตัวน้อยที่ไม่มีทางจะสร้างบาดแผลให้กับราชสีอย่างคิเรย์ได้เลย!
...หรือบางทีกระต่ายอาจจะทำร้ายสิงโตจากภายในได้!? แล้วฉันต้องทำยังไงดีล่ะ!
