1(2).ข้อแลกเปลี่ยน
ฉันสะดุ้งโหยงเมื่อมีเสียงกระซิบทุ้มต่ำข้างๆ หู พอหันกลับไปมองก็สบสายตาเข้ากับผู้ชายที่มีเส้นผมสีน้ำตาลเข้ม และนัยน์ตาเจ้าเล่ห์
หมับ!
ยังไม่ทันได้ตั้งตัวฉันก็ถูกเขาจับข้อมือเอาไว้แน่น ฉันเบิกตากว้าง หัวใจสั่นระรัวด้วยความกลัว
“ปะ... ปล่อย ว้าย!!”
หมอนั่นไม่ฟังที่ฉันพูดเขากระตุกแขนฉันให้เดินตามเข้ามาในห้องทันทีโดยไม่บอกไม่กล่าวใครทั้งนั้น
“เฮ้! นั่นมันอะไร?” ผู้ชายที่ข่มขู่เมฆก่อนหน้านี้เอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับตวัดสายตาคมกริบเหมือนเหยี่ยวมามองฉันเขม็ง
“...!!!” เมฆมีสีหน้าตกใจที่เห็นฉัน เราสบตากันแวบหนึ่งและเขาก็ไม่พูดอะไรออกมา หมอนั่นคงคิดว่าน่าจะดีกว่าถ้าเราไม่รู้จักกันที่นี่
น่าแปลกฉันเองก็รู้สึกเห็นด้วยที่เราจะทำเหมือนคนไม่รู้จักกัน บางทีถ้ารู้ว่าฉันไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยพวกนั้นอาจจะปล่อยฉันไปก็ได้... ให้ตายสิ! นี่ฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ทำไมถึงได้คิดเอาตัวรอดคนเดียวนะ เกลียดตัวเองชะมัด!!
“ไม่รู้สิ พอกลับเข้ามาก็เจอแม่สาวนี่ยืนด้อมๆ มองๆ อยู่ที่หน้าประตูน่ะ” คนที่จับฉันเข้ามาปล่อยข้อมือฉันแล้วเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเก่าๆ ตัวเดียวกับที่แม่ของเมฆถูกจับมัดอยู่
“แล้วเรื่องที่กูให้มึงไปทำล่ะว่าไง!?”
“หืม?”
หมอนั่นยกมือขึ้นทัดท้ายทอยก่อนจะปรือตาขึ้นมองเจ้าของคำถามด้วยดวงตาข้างหนึ่ง
“คิเรย์น่ะเหรอ... ก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติม หมอนั่นมันไม่เคยเผยจุดอ่อนให้ใครรู้เลย”
“มึงสืบมาดีแล้วเหรอ?”
“อืม ทั้งครอบครัว ทั้งเพื่อน ไม่มีคนไหนที่ใช้เล่นงานมันได้เลย”
พวกนั้นกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่น่ะ... แล้วคิเรย์ที่ว่าใช่คิเรย์คนเดียวกับที่อยู่โรงเรียนฉันหรือเปล่า? ใช่สิ! หมอนั่นเองก็เป็นยากูซ่าเหมือนกันจะมีศัตรูเยอะก็คงไม่แปลก
“แล้วผู้หญิงของมันล่ะ?”
“ไม่มี”
“อย่ามาล้อเล่น! คนอย่างหมอนั่นจะไม่มีผู้หญิงได้ยังไง”
“ถ้าหมายถึงผู้หญิงที่มันควงเล่นๆ ได้แล้วทิ้ง มีนับไม่ถ้วนเลยล่ะ แต่ถ้าผู้หญิงที่มันผูกพันจนเรียกว่าแฟนน่ะยังไม่มี!”
“คิดว่ากูจะโง่เชื่อที่มึงบอกเหรอ ไปสืบมาใหม่!”
“เฮ้! นี่ก็รอบที่สิบแล้วนะเก็นริว! กูว่าถอดใจเถอะ ไม่มีประโยชน์ที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับหมอนั่นสักนิด!”
หมับ!!
เก็นริวกระโจนเข้ากระชากคอเสื้อหมอนั่นแน่น!!
“...!!!”
“ไหนลองพูดอีกครั้งสิ! ลืมไปแล้วเหรอไงว่าใครที่ทำให้กูต้องอับอายน่ะห๊ะ!! อาร์ตี้!”
คนที่ลากฉันเข้ามาในห้องนี้ชื่ออาร์ตี้งั้นเหรอ... ส่วนอีกคนที่น่าจะเป็นหัวหน้าก็คือเก็นริวสินะ!
“เออ! ความผิดกูเองแหละ” อาร์ตี้ขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
“หึ! รู้ตัวก็ดี... จำเอาไว้ด้วยจนกว่ากูจะได้เห็นคิเรย์มันเจ็บปวดจนสาสมกับที่มันทำกับลูกน้องที่น่ารักของกู กูจะไม่มีวันปล่อยมือเด็ดขาด! และมึงต้องหาจุดอ่อนของมันให้เจอห้ามบ่นจำเอาไว้!!” เก็นริวจ้องหน้าอาร์ตี้ด้วยแววตาเลือดเย็นก่อนจะผลักอกหมอนั่นออกอย่างไม่สบอารมณ์
“เหอะ!!” อาร์ตี้ทำเสียงฮึดฮัดขัดใจในลำคอ แต่พอเก็นริวตวัดสายตาฉุนกึกไปมองหมอนั่นก็ทำทีเป็นหลบสายตาและเงียบเสียงลงทันใด
พรึบ!
“...!!!” ฉันผวาเฮือกกับสายตาของเก็นริวที่ตวัดมามอง
“แล้วเธอเป็นใคร!? มาป้วนเปี้ยนอะไรในถิ่นของคนอื่น”
“ฉะฉัน... หลงทาง” ฉันตอบเสียงอ้อมแอ้ม ใจสั่นตุบๆ ด้วยความกลัว
เก็นริวหรี่ตาลง เหลือบมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะแสยะริมฝีปาก
“หลงทาง? เข้าใจพูดหนิ แถวนี้ไม่มีงานเลี้ยงด้วยสิ”
ฉันเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกเสียวท้องวูบ! หมอนั่นต้องกำลังสงสัยเรื่องชุดราตรีสวยๆ ที่ฉันสวมอยู่นี่แน่เลย แถมตอนนี้เมฆก็ยังสวมชุดสูทสุภาพอีกด้วย ดูๆ ไปแล้วเราสองคนมันแต่งตัวแพทเทิร์นเดียวกันเลยนี่นา... มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าต้องมาจากที่เดียวกัน บ้าเอ๊ย!!
“เฮ้! แล้วเรื่องหนี้น่ะตกลงจะเอายังไง!?” เมฆเอ่ยขึ้นทำให้เก็นริวที่กำลังจะสอบสวนฉันหยุดชะงักแล้วหันไปมองหน้าเมฆอย่างไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ
“เอาไงงั้นเหรอ!?” เก็นริวแสยะยิ้มเลือดเย็นกว่าทุกครั้ง “ก็เอาแบบนี้ไง!!”
ผลัวะ!!
หมอนั่นสวนหมัดเข้าที่ท้องของเมฆอย่างรวดเร็ว
อั๊ก!!
“จำเอาไว้! ถ้ากูกำลังพูดอยู่อย่าสะเออะเข้ามาสอด!”
เมฆถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมกับกระอัก ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
“เฮ้นี่ไม่เห็นต้องทำรุนแรงกันเลยนี่” ฉันถลาเข้าไปประครองร่างของเมฆอย่างไม่รู้ตัว
เก็นริวจ้องมองเราทั้งคู่นัยน์ตาคมปลาบ! ฉันว่าฉันพลาดแล้วล่ะที่เข้ามาช่วยเมฆแบบนี้
หมับ!
“ว้าย!” ฉันร้องเสียงหลงเมื่อถูกเก็นริวกระชากแขนเข้าไปหา
“เฮ้! ยัยนั่นไม่เกี่ยว” เมฆหลุดปากออกมา ยิ่งหมอนั่นแสดงท่าทางเป็นห่วงฉันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าทางเก็นริวมากเท่านั้น เดี๋ยวนะ! เมฆห่วงฉันงั้นเหรอ?
“หึ! เกี่ยวไม่เกี่ยวเดี๋ยวก็รู้เอง” เก็นริวกระตุกยิ้มเลือดเย็นเขาบีบต้นแขนฉันแน่นขึ้นก่อนจะตะเบ็งเสียงแข็งๆ ถามออกมา
“เธอรู้จักมันใช่ไหม!?”
“...” ฉันเม้มริมฝีปากแน่น หัวใจสั่นตุบๆ
“ว่าไง!? หรืออยากให้ฉันเค้นจากปากของเธอโดยตรง หืมมม” เก็นริวบีบคางฉันให้หันไปมองหน้าเขาตรงๆ แล้วโน้มหน้าลงมาใกล้ เขาเหลือบสายตาลงมองริมฝีปากของฉันอย่างจงใจ ลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดลงบนผิวหน้ายิ่งกระตุกให้ฉันสั่นกลัว ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที และก่อนที่ริมฝีปากน่ากลัวคู่นั้นจะบดขยี้ริมฝีปากของฉันอย่างไม่มีชิ้นดี ฉันก็เผลอโพล่งปากออกไปโดยไม่ทันคิด!
“ฉันก็แค่ตามเมฆมาจากงานเลี้ยงด้วยความสงสัยเท่านั้น”
“แล้วยังไงอีก?” เก็นริวยังไม่ถอยห่างออกไป เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนริมฝีปากของเราจะแตะกันอยู่แล้ว ฉันหลับตาแน่น กลั้นใจพูดออกไปอย่างช่วยไม่ได้
“ฉันอยู่ในบ้านที่เมฆทำงานอยู่”
“หืม?”
“นี่หรือเธอคือเด็กคนนั้น!?” จู่ๆ แม่ของเมฆก็แทรกเสียงขึ้นมาทันที ท่าทางตื่นตัวของเธอทำเอาเก็นริวหันไปมองอย่างสงสัย
“มีอะไรน่าตื่นเต้นนักหรือไง?”
ฉันรู้สึกนับถือเก็นริวอยู่อย่างหนึ่งตรงที่เขาไม่ทรมานลูกหนี้เหมือนอย่างยากูซ่าที่เคยดูในหนัง หมอนั่นแค่จับแม่ของเมฆมาแล้วมัดเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้เท่านั้นเอง แต่ถ้านับความป่าเถื่อนแล้วหมอนี่ก็คงไม่แพ้ใครแน่ๆ
แต่ดูเหมือนแม่ของเมฆจะไม่ได้ยินที่เก็นริวพูดเลย เธอยังคงตั้งหน้าตั้งตาพูดกับฉันต่อไปราวกับว่าได้ค้นพบแสงสว่างแห่งทางรอด!
“นี่สาวน้อย! ช่วยไปพูดกับพ่อของเธอให้หน่อยสิ ขอเงินพ่อเธอมาสักหน่อยนะแล้วเอามาใช้หนี้ให้น้าหน่อย ถ้าหนูที่เป็นลูกสาวในทะเบียนสมรมล่ะก็พ่อของหนูต้องใจอ่อนแน่ๆ”
เดี๋ยวนะ! เธอกำลังเข้าใจผิดคิดว่าฉันเป็นบลายธ์ลูกสาวคนสำคัญของผู้นำตระกูลงั้นเหรอ แล้วมันเรื่องอะไรที่ผู้นำตระกูลจะต้องเอาเงินมาช่วยแม่ของเมฆด้วยล่ะ!
“เฮ้!” เมฆตวาดเสียงดังลั่น แต่ก็หยุดคำพูดของแม่ตัวเองไม่ได้
“ถ้าไม่เห็นแก่น้าก็ถือว่าเห็นแก่พี่ชายของหนูด้วยเถอะ เมื่อกี้ก็ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอว่าเจ้าหนี้จะไม่ปล่อยเราไปจนกว่าจะได้เงินครบทุกบาท”
“เดี๋ยว! พี่ชาย!? หมายความว่ายังไง...” ฉันเริ่มจะปะติดปะต่อเรื่องราวที่ออกมาจากปากของเธอได้บ้าง เหลือบมองหน้าสองแม่ลูกสลับกันอย่างต้องการคำอธิบายเพื่อยืนยันความจริง!
ถึงจะเคยสงสัยว่าเมฆอาจจะเป็นลูกอีกคนของผู้นำตระกูลแต่พอมันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันกลับไม่อยากยอมรับมัน!
“หยุดพูดได้แล้ว!” เมฆตะคอกเสียงใส่แม่ตัวเองด้วยใบหน้ากราดเกรี้ยว!
“นี่อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้ว่าเขาเป็นพี่ชายของเธอ!”
“ไม่...” ฉันส่ายหน้า “เขาเป็นแค่คนขับรถภายในบ้านหลังนั้น ใครๆ ก็คิดแบบนั้น” ฉันพึมพำ จะมีสักกี่คนที่รู้ความลับนี้กัน หรือว่าที่จริงแล้วมีแค่ฉันคนเดียวที่ไม่รู้ล่ะ... ไม่นะ ไม่น่าเป็นไปได้ ฉันครุ่นคิดอย่างสับสน ตอนนี้เก็นริวผละออกห่างจากฉันแล้ว ทำให้ฉันไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเขาและตกอยู่ในวังน้ำวนของปัญหาความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนภายในครอบครัวอย่างเต็มที่
“ว่ายังไงนะ!? นี่แกไม่เคยเรียกร้องสิทธิ์ของความเป็นลูกเลยเหรอไง! ที่ฉันฝากให้แกเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นก็เพราะหวังว่าแกจะได้อยู่สุขสบายและหาเงินมาให้ฉันใช้ได้ง่ายๆ ฮึ่ย! มันน่าโมโหพ่อแกจริงๆ”
แม่ของเมฆบ่นอย่างหัวเสีย ในขณะที่ฉันยังคงช็อกอยู่! ...มันไม่จริงใช่ไหม?
“โฮ้! ในที่สุดก็ได้ยินเรื่องดีๆ เข้า แปลว่าหมอนี่เป็นพี่ชายของเธอสินะ! คราวนี้จะทำยังไงล่ะคุณหนู...” เก็นริวกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ จ้องมองฉันด้วยสายตาพึงพอใจ
“ฉันไม่ใช่คุณหนู!” ฉันโพล่งออกไปเสียงแข็ง
“หา!?” เก็นริวเลิกคิ้วงุนงง
“ขอโทษนะคะแต่ฉันไม่ใช่ลูกสาวคนที่คุณน้าพูดถึงหรอก” ฉันหันไปพูดกับแม่ของเมฆ ก่อนจะหันมาสบตากับเก็นริว
“ฉันไม่มีเงินให้นายหรอกนะ แต่ถึงจะมีฉันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องให้เงินกับนายอยู่ดี!”
เก็นริวหรี่ตาลง นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้นมาทันที
“จะบอกว่าหมอนี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลยงั้นเหรอ?”
ฉันหัวใจกระตุกวูบ! รู้สึกวูบโหวงที่ช่องท้องอย่างประหลาด... เหลือบมองใบหน้าแข็งกระด้างของเมฆแววตาสั่นไหว ปฏิเสธคำถามของเก็นริวไม่ลง!
“ฮ้าว!~”
ในขณะนั้นเองอาร์ตี้ที่นั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟาคอยมองดูพวกเรามาตลอดก็อ้าปากหาวขึ้นมากลางคัน เขาเหลือบมองหน้าฉันวูบหนึ่งด้วยแววตาที่ทำเอารู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุก่อนที่หมอนั่นจะหันไปพูดกับเก็นริว
“มึงยึดติดกับเงินมากเกินไปหรือเปล่าเก็นริว”
“อยากพูดอะไรอาร์ตี้!?”
“เอางี้สิ! ถ้าคิเรย์มันไม่มีจุดอ่อนเลยทำไมเราไม่สร้างจุดอ่อนให้มันเองล่ะ!!” อาร์ตี้กระตุกยิ้มมุมปากแล้วตวัดสายตามามองหน้าฉันราวกับจะบอกใบ้บางอย่างกับเก็นริว
“งั้นเหรอ! หึ... น่าสนุกดีนี่!!”
หัวใจฉันเต้นไม่เป็นส่ำ เหลือบมองใบหน้าตาเจ้าเล่ห์ของสองคนนั่นอย่างสงสัยระคนกังวล
เก็นริวก้าวเข้ามาจับคางฉันขึ้นแล้วบีบแน่น ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงแหบต่ำเจือบังคับ
“ว่ายังไง!? เธอทำได้หรือเปล่า”
“ทำ!? ทำอะไร” ฉันจ้องหน้าเก็นริวนัยน์ตาสั่น
เก็นริวกระตุกยิ้มเหี้ยมเกรียม “ก็ทำให้คิเรย์มันกระอักเลือดยังไงล่ะ!”
บอกตามตรงตอนนั้นฉันไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเก็นริวหมายความว่ายังไง
“ถ้าเธอทำได้ฉันจะยกหนี้ครั้งนี้ให้!”
“...”
