5.ป๋าพร้อมเปย์
*** ทักทายคร้า ***
วงแขนแกร่งกอดรัดร่างนุ่มหยุ่นแนบแน่น แผงอกกว้างก็แกล้งเคลื่อนไหวบดเบียดเสียดสีกับทรวงอกอวบจนยอดอกแข็งชันขึ้นรูป
“ยังไงคุณก็ต้องยอมเพื่อรักษาผลประโยชน์ของทีแท็ค”
กำปั้นเล็กทุบลงบนบ่ากว้าง น้ำใส ๆ ที่คลออยู่ในดวงตาไหลรินออกมา
“ฉันจะไม่ยอมขายศักดิ์ศรีเพื่อธุรกิจเด็ดขาด จำไว้” เธอบอกอย่างจริงจัง ความเปียกชื้นที่ได้สัมผัสทำให้จิมมี่ถอนใบหน้าออกห่าง ดวงตาคมกริบจ้องมองดวงหน้าที่เปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา เห็นผู้หญิงร้องไห้มาก็มาก แต่ไม่เคยมีใครทำให้เขาใจอ่อนยวบได้ขนาดนี้มาก่อน
“ผมจะรอดูว่าสิ่งที่คุณพูดเป็นแผนการเพื่อปูทางธุรกิจหรือเปล่า” เขายิ้มแต่มณีจันทร์เห็นแววตาเหยียดหยันฉายชัดออกมา ปลายนิ้วแข็งแรงเช็ดน้ำตาออกจากแก้มนวล ก่อนจะจูบปลอบขวัญที่ขมับบางเบา ๆ
“อย่ารอเลยค่ะ เพราะคุณจะเสียเวลาเปล่า ทีแท็คไม่ได้สำคัญขนาดทำให้ฉันยอมเป็นนางบำเรอคุณเพื่อแลกกับสัญญาทางธุรกิจ” เธอจับมือเขาออกจากปลายคาง จิมมี่ก็ยอมตามใจ เมื่อได้อิสระร่างงามก็ขยับตัวออกห่างไปชิดประตู
“อันนั้นต้องไปถามพี่ชายคุณน่าจะดีกว่า”
ไม่ต้องถามเธอก็รู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าพี่ชายต่างมารดาเธอต้องการอะไร หากเธอพูดโน้มน้าวให้เขาใจอ่อนยอมเซ็นสัญญาได้โดยไม่ต้องเอาตัวเข้าแลกก็ถือว่าวิน-วินกันทั้งสองฝ่าย ยังไงเธอต้องหาทางออกเรื่องนี้ให้ได้
“ทำไมคุณไม่มองผลประโยชน์ที่เป็นเม็ดเงินมากกว่าเรื่อง เอ่อ บนเตียง” ประโยคท้ายเธอเอ่ยไม่เต็มเสียงนัก จิมมี่หัวเราะในลำคอ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มสบตากลมโตอย่างล้อเลียน
“การทำธุรกิจก็ต้องมีการลงทุน ผลตอบแทนอาจจะเป็นตัวเงินหรือพันธมิตรทางธุรกิจก็ได้”
“แต่กับทีแท็คคุณน่าจะมองเม็ดเงินมากกว่าตัวฉัน เพราะฉันไม่สวยไม่เซ็กซี่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่น ๆ ของคุณแน่นอน”
เขากวาดตามองเธอตั้งแต่ศีรษะไล่ไปตามเรียวขาขาวจนคนถูกมองประหม่าขยับเท้าเข้าหาตัว...ใครว่าล่ะแม่คุณ แค่จูบแรกเขาก็ร้อนไปทั้งตัวแล้ว
เมื่อรถวิ่งไปจอดหน้าโรงพยาบาล การสนทนาของจิมมี่และมณีจันทร์เป็นอันต้องยุติ มือบางเตรียมจะเปิดประตูรถ แต่เขาก็เอื้อมมือไปวางทาบทับจนเธอไม่กล้าขยับ เพราะเขาเข้ามาใกล้แถมจูบแก้มเธออีกต่างหาก
“พรุ่งนี้คุณไปทำงานกี่โมง”
“ไม่แน่นอนหรอกค่ะ บางทีก็แปดหรือเก้าโมงเช้า” เธอพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น
“เก้าโมงผมจะมารับไปที่บริษัทพร้อมกัน” เขาบอกพลางขยับตัวออกห่าง หญิงสาวเป่าลมออกจากปากเบา ๆ อย่างโล่งอกที่เขาไม่รุ่มร่ามอย่างที่กลัว
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ฉันไปเองได้ แล้วฉันก็หวังว่าคุณคงเก็บเอาคำพูดของฉันไปพิจารณา” เธอหันไปมองเขาทั้งตัว
“เรื่องอะไร ผมจำไม่ได้ด้วยสิ”
เธอหน้าตึงขยับจะอธิบายต่อ แต่สุดท้ายก็ต้องเงียบเมื่อเห็นแววตายั่วยวนกวนประสาทของอีกฝ่าย
“พรุ่งนี้ผมจะมารับเพื่อทบทวนความจำกันอีกครั้ง”
เธอไม่ตอบ แต่ก้าวลงจากรถเดินตรงไปที่ลิฟต์โดยไม่หันกลับไปมองด้านหลัง เมื่อหญิงสาวหายเข้าไปในลิฟต์ อังเดรก็เปิดประตูเข้าไปนั่งข้างคนขับ
“ทุกอย่างเรียบร้อยครับ”
อังเดรรายงานพลางยื่นซองเอกสารเกี่ยวกับอาการของแม่ของคนที่เพิ่งลงจากรถให้เจ้านายหนุ่ม
“แม่คุณมณีจันทร์เป็นมะเร็งระยะสองครับ ต้องผ่าตัดเท่านั้นถึงจะมีโอกาสหาย” อังเดรรายงานสั้น ๆ
จิมมี่อ่านเอกสารในมือด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ในใจคิดแผนการต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว
มณีจันทร์เปิดประตูเข้าไปในห้องพักฟื้น สายตากลมโตมองร่างบอบบางที่นอนหลับอยู่บนเตียง เท้าเรียวก้าวไปยืนข้างเตียง มือจับมือยับย่นสอดเข้าไปใต้ผ้าห่ม คนที่คิดว่าหลับลืมตาขึ้นช้า ๆ ก่อนจะมองหน้าเนียนสวยอย่างสงสาร
“งานเลี้ยงเสร็จแล้วเหรอจันทร์”
หญิงสาวยิ้มให้มารดาแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง
“ค่ะแม่ จันทร์คิดว่าแม่หลับเสียอีก”
“แม่หลับไปแล้ว เพิ่งตื่นตอนที่เราเข้ามานี่แหละ แล้ววันนี้เจรจาสำเร็จมั้ย”
หญิงสาวหลบสายตาช่างสังเกตของมารดา
“ไม่สำเร็จหรือไง”
“เขาขอเข้าไปดูสินค้าที่จะขนส่งพรุ่งนี้ก่อนถึงจะให้คำตอบค่ะ”
“ช่วยพี่เขาให้เต็มที่นะจันทร์ เพื่อคุณพ่อ” นางอุไรบอกพลางบีบมือบางของบุตรสาวอย่างให้กำลังใจ มณีจันทร์ยกมือนั้นมาแนบแก้ม
“เมื่อไหร่บุญคุณถึงจะทดแทนหมดคะแม่”
นางอุไรมองลูกอย่างเห็นใจ เพราะนางรู้ดีว่าทายาทคนโตของสามีไม่เคยดูดำดูดีนางกับลูกอย่างที่พินัยกรรมระบุไว้ด้วยซ้ำ
“บุญคุณของพ่อแม่ทดแทนยังไงก็ไม่หมดหรอกนะจันทร์ ถึงพ่อเขาจะตายไปแล้ว แต่เขาก็รักจันทร์เท่ากับลูกคนอื่น ๆ ยังไงก็ทำเพื่อพ่อสักครั้งนะ”
“จันทร์จะทำให้ดีที่สุดก็แล้วกันนะคะแม่ วันมะรืนหมอเขาจะตรวจแม่ก่อนผ่าตัดครั้งสุดท้าย แม่พร้อมแล้วใช่มั้ยคะ” เธอเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อให้มารดาสบายใจ
“แม่ไม่อยากผ่าตัดเลยลูก มันใช้เงินเยอะมากเหลือเกิน”
“เยอะแค่ไหนจันทร์ก็จะหาเงินมารักษาแม่ให้ได้ค่ะ ถึงจะเหนื่อยแค่ไหนจันทร์ก็จะทำ ขอแค่แม่อยู่กับจันทร์ตลอดไปก็พอ”
มณีจันทร์บอกมารดาเสียงเครือ อุไรมองบุตรสาวอย่างสงสารจับใจ
“ชีวิตคนเราเอาแน่เอานอนไม่ได้หรอกนะจันทร์ ความตายอยู่ใกล้เราแค่ปลายจมูกเท่านั้นเอง ถ้าแม่ต้องตายแม่ก็ตายตาหลับ เพราะจันทร์เก่งและแกร่งพอที่จะดูแลตัวเองได้ ถึงจะไม่มีสมบัติของพ่อก็ตาม”
“จันทร์ไม่หวังสมบัติพวกนั้นแล้วล่ะค่ะแม่ ถ้าเงินพวกนั้นทำให้พี่คณิตพยุงบริษัทไว้ได้จันทร์ก็ยินดียกให้ ถ้าแม่หายแล้วเราจะไปอยู่บ้านสวนของเรากันนะคะ”
นางอุไรพยักหน้าน้ำตาคลออย่างสงสารลูก ถ้าคุณความดีที่เธอทำไว้ทำให้เธอหายป่วย เธอก็จะทำตามความตั้งใจของลูกทันทีที่ออกจากโรงพยาบาล เพราะเธอก็อยากให้ลูกออกจากปีกของทีแท็คกรุ๊ปเหมือนกัน
***
