บทที่ 4 หน้าที่ของบอดี้การ์ดสาว
เช้าวันต่อมา
บอดี้การ์ดสาวหน้านิ่งลุกขึ้นแต่งตัวเตรียมพร้อมสำหรับเริ่มงานใหม่ตั้งแต่หกโมงครึ่ง มือเล็กเอื้อมหยิบเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวมาสวมใส่เช่นทุกวัน ก่อนจะเลือกกางเกงสแล็กสีดำขายาวเข้ารูปดูทะมัดทะแมงขึ้นมาสวม
ท่อนขาเพรียวก้าวไปยืนหน้ากระจกเงา จัดการผูกเนกไทสีดำเป็นสิ่งสุดท้าย
ดวงตาไร้ชีวิตชีวาไล่สำรวจการแต่งกายตนเองจากเงาสะท้อน ก้มมองนาฬิกาบนข้อมือก็พบว่าใกล้จะแปดโมงแล้ว จึงได้หยิบข้าวของส่วนตัวออกจากห้องพักแล้วไปยืนรอรับคำสั่งจากเจ้านายคนใหม่ที่หน้าคฤหาสน์
รถสปอร์ตสีส้มแปร๊ดไม่ต่างจากสีผมของเขามันถูกเลื่อนมาจอดรอด้านหน้า ประตูสวิงเปิดออกพร้อมร่างกำยำของปกป้องก้าวลงมาจากตำแหน่งคนขับ
บอดี้การ์ดคู่ใจของมาร์ตินเหลือบมองหน้าไอซ์อย่างงุนงงเมื่อเห็นเธอยืนอยู่ อดเอ่ยถามอีกฝ่ายไม่ได้
“ไอซ์? มาทำอะไรเหรอ”
“คุณมาร์ตินดึงตัวฉันมาทำงานให้เขา” สาวน้ำแข็งตอบกลับนิ่ง ๆ แม้ภายในจะหงุดหงิดไม่น้อยกับเจ้านายคนใหม่
ปกป้องพยักหน้าเข้าใจเบา ๆ ก่อนจะเดินแยกไปอีกทางปล่อยให้ไอซ์ยืนรอลูกชายคนรองของบ้านตามลำพัง
ร่างบางก้มมองนาฬิกาบอกเวลาเป็นครั้งที่ห้า จากเวลาแปดโมงตรงตอนนี้กลายเป็นแปดโมงสี่สิบห้าแล้ว สันกรามขบเข้าหากันพร้อมระดับความขุ่นเคืองที่มากขึ้น
เพราะมาร์ตินเรียนอยู่มหา’ลัยเดียวกับมีอา ทำให้ไอซ์พอจะทราบว่าคาบเรียนในช่วงเช้าจะเริ่มขึ้นตอนเก้าโมง แต่ใกล้ถึงเวลาเริ่มเรียนขนาดนี้ ไอ้เด็กหัวส้มก็ยังไม่มีวี่แววจะออกมาสักที
ในขณะที่เธอกำลังก่นด่าอีกฝ่ายในใจ เด็กหนุ่มตัวแสบของบ้านก็เดินผิวปากสบายอารมณ์ออกมาพอดี
ดวงตาเย็นยะเยือกเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งเรียบ แม้จะโคตรหงุดหงิดที่ต้องมาเสียเวลายืนรอเขาเกือบชั่วโมง แต่สุดท้ายไอซ์ก็เก็บซ่อนสีหน้าให้กลับมาเรียบเฉยดังเดิม
ดวงตาวิบวับสีน้ำตาลอ่อนดูเจ้าเล่ห์ ไล่สำรวจใบหน้าบูดบึ้งของบอดี้การ์ดคนใหม่ ก่อนจะไล่ลงไปตามส่วนโค้งส่วนเว้าน่าค้นหาอย่างจาบจ้วง กระตุ้นความเดือดดาลในใจคนถูกมองให้ปะทุขึ้นทีละน้อย
“ขึ้นรถสิ”
มาร์ตินพูดแค่นั้น แล้วเดินอ้อมมานั่งประจำที่คนขับทันที ทิ้งให้บอดี้การ์ดคนใหม่ยืนนิ่งอยู่ข้างตัวรถมองการกระทำของเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ฮัลโหล ~ ได้ยินที่ผมพูดไหมเนี่ย บอกให้ขึ้นรถไง” หนุ่มผมส้มกดกระจกชะโงกหน้าออกมาสั่งอีกครั้ง
“ฉันควรจะต้องเป็นคนขับให้ไม่ใช่เหรอคะ”
“หน้าที่ของพี่คือทำตามคำสั่งผม! ขึ้นมาได้แล้ว”
ฝ่ามือเล็กบีบเข้าและคลายออกซ้ำสะกดข่มความหงุดหงิด สุดท้ายไอซ์ก็สูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ แล้วเดินอ้อมรถขึ้นมานั่งบนเบาะข้างคนขับอย่างไม่มีทางเลือก
มุมปากหยักของคนขับยกขึ้น พึงพอใจไม่น้อยที่เห็นพี่สาวน้ำแข็งต้องยอมทำตามคำสั่ง ดวงตาวาววับกวาดไล่มองใบหน้าสวยจัดไร้อารมณ์ของสาวข้างกาย ก่อนจะกดเหยียบคันเร่งพารถสปอร์ตสีส้มทะยานพ้นรั้วคฤหาสน์
ร่างน้อยยังคงเงียบสนิท ไม่คิดจะหันมาพูดคุยกับคนขับแม้แต่คำเดียว ในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด ทั้งที่เขาก็มีบอดี้การ์ดส่วนตัวอย่างปกป้องอยู่แล้ว แต่ก็ยังดึงตัวเธอมาทำงานอีก แถมสุดท้ายเขาก็ทำทุกอย่างเอง ทำให้ตอนนี้ไอซ์รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่ตุ๊กตาหน้ารถให้เด็กโรคจิตเล่นแก้เบื่อ
สายตาเหนื่อยหน่ายเหลือบออกไปมองนอกหน้าต่าง ภายในรถมีเพียงเสียงเพลงเปิดคลอเบา ๆ แก้เหงากับเสียงเครื่องยนต์คำรามลั่นเท่านั้น
ไม่นานหัวคิ้วบางก็ขมวดเข้าหากันเป็นปม เมื่อเด็กหนุ่มหักเลี้ยวไปยังเส้นทางอื่นที่ไม่ใช่ทางไปมหา’ลัย
บอดี้การ์ดสาวปรับเปลี่ยนอิริยาบถมานั่งตัวตรง เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เธอไม่ได้เอ่ยถามอะไรพยายามจดจำเส้นทาง พร้อมคาดการณ์ไปต่าง ๆ นานาถึงจุดหมายปลายทาง
และหากมาร์ตินทำท่าจะลวนลามเธอเมื่อไร มีดพกข้างรองเท้าก็พร้อมชักออกมาป้องกันตัวทันที
รถสปอร์ตสีส้มพุ่งผ่านบรรดารถบนท้องถนน ก่อนมาร์ตินจะหักเลี้ยวเข้าไปยังโรงแรมแห่งหนึ่ง ความกังวลในใจของไอซ์เปลี่ยนเป็นงุนงง หลังจากเห็นว่านี่คือโรงแรมแกรนด์ เดอ ลาส คาสิโนแห่งใหญ่ของครอบครัวแอซตันว่าที่พี่เขยของมาร์ติน
“ลงมาสิ” หลังจากจอดรถมาร์ตินก็หันมาบอกบอดี้การ์ดสาว ก่อนที่เขาจะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วก้าวลงเป็นคนแรก
เธอมีคำถามเต็มหัวแต่ก็ยอมลงมาจากรถโดยดี เดินตามหลังเจ้านายผมส้มเข้าสู่โรงแรมหรู
เหล่าการ์ดเหลือบมองคนมาใหม่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เข้ามาขัดขวางปล่อยให้ทั้งคู่เดินผ่านไปง่ายดาย
คนตัวสูงล้วงคีย์การ์ดสีทองออกจากกระเป๋ากางเกง แตะลงบนแผงวงจรหน้าลิฟต์ก่อนจะกดเรียกลิฟต์ลงมารับ โดยมีสายตาสงสัยของหญิงสาวมองตามโดยตลอด
เขาไม่ได้อธิบายใด ๆ ล้วงกระเป๋ารอสบายอารมณ์ ประตูเหล็กหนาของลิฟต์เปิดออก เขาก็เดินนำเข้าไป แล้วกดเลือกยังชั้นบนสุดของอาคาร
ไอซ์ยังมีท่าทีระมัดระวังตัวทุกฝีก้าว โดยเฉพาะต้องมาอยู่ตามลำพังกับเด็กโรคจิตอย่างมาร์ติน ก็ไม่มีสิ่งใดปลอดภัยทั้งนั้น
ประตูลิฟต์เปิดออกยังชั้นแปด มุมปากของมาร์ตินยกขึ้นเล็กน้อยกับท่าทางเคร่งเครียดของบอดี้การ์ดสาว เขาหัวเราะขบขันในลำคอก่อนจะก้าวเดินนำออกไปตามทางเดินยาว
ชั้นนี้ไม่มีห้องอื่น ๆ เลย มีเพียงทางเดินยาวปูด้วยพรมสีแดง ตามกำแพงมีแสงไฟสีส้มอ่อนให้ความสว่างไสว ไอซ์ไม่มัวเสียเวลากับการชื่นชมความงาม ใบหน้าสวยเริ่มฉายแวววิตกเล็กน้อยเมื่อเห็นบานประตูสีขาวที่สุดทางเดิน ร่างกายเกร็งเครียดขึ้นมาอัตโนมัติ คาดเดาไม่ได้เลยว่าเด็กโรคจิตจะทำอะไรเธอ
หลังมือหนายกเคาะประตูห้องเบา ๆ สองสามครั้ง ก่อนจะได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของสุนัขเห่าลอดออกมา พร้อมเสียงกึกกักที่ด้านหลังประตูบานใหญ่ ไม่นานเจ้าของห้องก็เดินมาเปิดต้อนรับคนมาใหม่
คิ้วบางขมวดเข้าหากันแน่นขึ้นที่เห็นมาร์ตินและแอซตันทักทายกันอย่างสนิทสนม ตอนนี้เธองุนงงจริง ๆ ว่าสรุปแล้วมาร์ตินลากเธอมาที่นี่ทำไมกันแน่
ก่อนจะได้มีเวลาครุ่นคิด หญิงสาวก็สะดุ้งเบา ๆ กับสัมผัสที่หน้าแข้ง พอก้มมองก็พบชิวาวาตัวน้อย สัตว์เลี้ยงสุดรักสุดหวงของมีอากำลังเกาะขาเธอ พลางกระดิกหางดุ๊กดิ๊กอย่างตื่นเต้น
ดวงตาคู่สวยกะพริบปริบ ๆ มองเจ้าหมาน้อยสลับกับเจ้านายเธอ ตอนนี้ชายหนุ่มทั้งคู่ก้าวเข้าไปคุยกันในห้องแล้ว ทิ้งให้บอดี้การ์ดสาวอยู่กับหมากระเป๋าตามลำพัง
ท่อนขาเล็กพยายามจะเดินเลี่ยงเจ้าหมาจิ๋ว แต่มันก็เอาแต่คอยเดินตามพันแข้งพันขาเธอไม่เลิก พร้อมเห่าเสียงเล็กใส่เพื่อเรียกร้องความสนใจ
“บราวนี่! มานี่!” เสียงเข้มของแอซตันดังขึ้น เขาต้องเอ่ยซ้ำอีกหลายรอบกว่าเจ้าหมาน้อยจะยอมวิ่งกลับไปหาเจ้าของ พร้อมกระโดดขึ้นนั่งตักแกร่งชูคอมองแขกที่มาเยือนราวกับตัวเองเป็นเจ้าบ้าน
ไอซ์พ่นลมหายใจเบา ๆ ขยับกายมายืนอยู่ข้างโซฟากลางห้อง สองมือไพล่หลังอย่างมาดมั่น
“ไม่ชอบหมา?” มาร์ตินที่นั่งบนโซฟาหันมาถาม
“ไม่เชิงค่ะ”
“นั่นบราวนี่ ลูกรักมีอาเลยนะ ไม่เล่นกับมันหน่อยล่ะ”
“ทราบค่ะ แต่ฉันไม่ถนัดเล่นกับสัตว์เล็กเท่าไร” หญิงสาวตอบกลับนิ่ง ๆ โดยไม่หันไปมองหน้าคนคุยด้วยซ้ำ ท่าทางนิ่งเฉยของเธอกระตุ้นสัญชาตญาณอยากเอาชนะในกายเด็กหนุ่มให้ตื่นขึ้น
มุมปากหยักยกขึ้นท่าทางเจ้าเล่ห์ โน้มกายกระซิบให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“งั้นถนัดเล่นกับสัตว์ใหญ่ไหมล่ะ...ที่ห้องผมมีอนาคอนด้าอยู่ตัวหนึ่ง”
“...”
ไอซ์กัดกรามกรอดตวัดสายตาเย็นเฉียบใส่เจ้านายโรคจิตไปที ก่อนจะเบือนหน้าหนีเพื่อปิดจบบทสนทนาลามก
มาร์ตินแค่นหัวเราะเบา ๆ อารมณ์ดีสุด ๆ ที่ได้แหย่ ได้กวนให้บอดี้การ์ดน้ำแข็งหงุดหงิด ก่อนเขาจะกลับมาคุยกับแอซตันด้วยท่าทางเป็นการเป็นงานขึ้น
“คุยกับพ่อมึงยัง” มาร์ตินเอ่ยถามแอซตันด้วยสรรพนามสนิทสนม
“คุยแล้ว พ่อกูยังไงก็ได้ มึงนั่นแหละเคลียร์กับพ่อมึงยัง” แอซตันตอบกลับ พลางใช้มือลูบหัวเล็ก ๆ ของชิวาวาบนตักด้วยความรักใคร่ ภาพหนุ่มมาดเพลย์บอยในโหมดมุ้งมิ้งเช่นนี้มันช่างขัดหูขัดตาคนมองเสียเหลือเกิน
“ก็มีเปรย ๆ ไว้แล้ว ถึงพ่อกูจะไม่เห็นด้วยก็เถอะ”
“จะไม่มีปัญหาทีหลังใช่ไหม” แอซตันย้ำถามอีกครั้ง เขาเองก็ไม่อยากทำให้ว่าที่พ่อตาเกลียดขี้หน้าไปมากกว่านี้
“ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวกูเคลียร์เรื่องนั้นเอง”
“ก็ดี! พ่อกูบอกว่าถ้ามึงอยากจะมาเรียนรู้ระบบภายใน เขาก็ไม่ได้ติดอะไร แต่คงอีกหลายปีกว่าพ่อกูจะวางมือจริง ๆ จัง ๆ แต่ระหว่างนี้จะแบ่งหุ้นให้มึงก่อน จะได้มีอำนาจตัดสินใจ ปรับเปลี่ยนระบบ คงจะค่อย ๆ ให้โอนทุกอย่างให้มึงทีหลัง”
“หึ ขอบใจมากที่ช่วยคุย”
มาร์ตินแสยะยิ้มร้ายส่งผลให้ใบหน้าหล่อเหลาดูเจ้าเล่ห์ขึ้นไปอีกหลายระดับ
“เดี๋ยวกูพาเดินดูที่นี่ก่อน แล้วเอาไว้ว่าง ๆ ค่อยนัดกันไปดูคาสิโนที่ภูเก็ต”
“อืม ได้”
สองหนุ่มหยัดกายลุกขึ้น เดินพูดคุยออกจากห้องโดยแอซตันยังคงอุ้มเจ้าบราวนี่ไปด้วย ราวกับมันเป็นลูกแท้ ๆ ที่เขาคลอดออกมาเอง
ไอซ์เองก็เดินตามทั้งคู่เช่นกัน พอจะคาดเดาได้จากบทสนทนาของสองหนุ่มว่ามาร์ตินจะมารับช่วงกิจการคาสิโนแทนแอซตันที่ต้องไปดูแลกิจการขาวสะอาดของพ่อบุญธรรม นี่เป็นข้อแม้ที่ไคโรยื่นให้ว่าที่ลูกเขยแลกกับการยอมให้เขาคบหาดูใจกับมีอาลูกสาวสุดที่รัก
แต่สุดท้ายลูกชายคนรองของบ้านก็ยังหาทางยื่นมือมายุ่งกับธุรกิจสีเทาเช่นนี้จนได้ แค่ไอซ์คิดตามก็ปวดหัวแทนนายใหญ่แล้วกับความดื้อรั้นเจ้าเล่ห์ของมาร์ติน