บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 อดีตของไอซ์

19 ปีก่อนหน้า

เด็กสาววัยเจ็ดขวบผมสีดำขลับถูกถักเป็นเปียสองข้างโดยมีโบสีขาวประดับเอาไว้ เดินจูงมือมารดาลงจากรถ เธอส่งยิ้มกว้าง ทำให้เห็นช่องว่างระหว่างฟันน้ำนมที่เพิ่งหลุดไป ภาพน่ารักใสซื่อของลูกสาว เรียกรอยยิ้มมารดาให้ยกกว้างกว่าเดิมด้วยความเอ็นดู

ทั้งคู่จูงมือเดินเข้าบ้าน ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพฯ แม้ตัวบ้านสองชั้นจะมีขนาดไม่ใหญ่นักแต่ก็ตั้งอยู่ในทำเลทอง ซึ่งนับวันราคาก็ยิ่งสูงขึ้น

ครอบครัวของไอซ์ประกอบกิจการเล็ก ๆ เป็นโรงงานผลิตขึ้นรูปกระป๋องส่งให้กับบริษัทต่าง ๆ ตั้งอยู่บริเวณเขตชานเมือง แม้จะมีพนักงานเพียงแค่สามสิบคน แต่กิจการนั้นก็สร้างรายได้ให้แก่ครอบครัว ได้เป็นกอบเป็นกำ เด็กหญิงอารียา จึงเติบโตมาอย่างมีความสุข ไม่เคยขาดเหลือตกหล่นสิ่งใด

ปานวาดแม่ของไอซ์ผลักบานประตูเข้ามาในบ้าน เสียงเด็กน้อยเจื้อยแจ้ว เล่าเรื่องราวที่โรงเรียนให้คุณแม่ฟัง

“คุณครูพยายามบอกให้พลอยลองลงสระว่ายน้ำดู แต่ไม่ว่ายังไงพลอยก็ไม่ยอมท่าเดียว สุดท้ายเธอก็ร้องไห้ เล่นเอาครูจิ๊บต้องรีบไปปลอบเลยค่ะ” เด็กน้อยโชว์ฟันที่หายขณะเล่าเรื่องของเพื่อนในชั้นเรียนให้แม่ฟัง

“จริงเหรอจ๊ะ แล้วสุดท้ายพลอยยอมว่ายน้ำไหม”

“ไม่ค่ะ ครูจิ๊บก็เลยให้พลอยนั่งรอดูทุกคนเรียนว่ายน้ำแทน” เธอตอบฉะฉาน

“คิก แล้ววันนี้ลูกสาวแม่ว่ายน้ำเป็นไงบ้าง”

“ไอซ์ถึงอีกฝั่งได้ที่สามด้วยค่ะ” เด็กน้อยยืดอกภูมิใจ ขณะอวดความสามารถตัวเองให้มารดาฟัง

“ลูกแม่เก่งที่สุดเลย”

ปานวาดก้มหน้าเอ่ยชมลูกรัก พากัน จูงมือเข้าสู่ห้องนั่งเล่น ก่อนจะพบผู้เป็นสามีนั่งหน้าเครียดอยู่ภายในนั้น

“คุณคะ” ปานวาดเอ่ยเรียกสามี ด้วยความเป็นห่วง นั่นจึงทำให้ชัยภัทร รู้สึกตัวและรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าซ่อนความเครียด ก่อนเขาจะฉีกยิ้มกว้างพร้อมผายมือรับร่างเล็กของลูกสาวเข้าสู่อ้อมกอด

“ไงครับลูก ไปโรงเรียนวันนี้สนุกไหม” เขาเอ่ยถามลูกสาวเสียงนุ่ม

“สนุกค่ะ วันนี้คุณพ่อกลับบ้านเร็วจัง”

“พ่ออยากรีบกลับมาอยู่กับไอซ์ไงครับ” เขาตอบอย่างเอาใจ จึงได้รับจุมพิตหวาน ๆ จากลูกสาวลงบนแก้มเป็นรางวัล

“ไอซ์ก็อยากอยู่กับคุณพ่อเหมือนกัน วันนี้คุณพ่อมาเล่นตุ๊กตากับไอซ์นะคะ” เด็กน้อยคลี่ยิ้มหวาน พร้อมส่งสายตาออดอ้อน จนอีกฝ่ายเอื้อมมือมาลูบศีรษะเธอด้วยความเอ็นดู

“ได้สิ หนูไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อน แล้วค่อยเล่นกันนะครับ” ชัยภัทรพูดต่อ

“ค่ะ!”

เด็กน้อยฟันหลอรับคำด้วยความยินดี ฉีกยิ้มกว้างให้บิดาอีกครั้งก่อนจะวิ่งดุ๊กดิ๊กออกจากห้องนั่งเล่นไป ทำให้คู่สามีภรรยาได้อยู่กันตามลำพัง

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” ปานวาดถามสามี เธอยังคงติดใจสีหน้ากลัดกลุ้มเมื่อครู่ของเขา

“เรื่องที่โรงงานนิดหน่อยน่ะ ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวผมจัดการทุกอย่างเอง”

ชัยภัทรฝืนส่งยิ้ม ให้ภรรยาเพื่อให้เธอสบายใจ แม้ปัญหาที่เขากำลังเผชิญจะค่อนข้างหนักหนามากก็ตาม

เด็กน้อยอารียาลืมเรื่องราวในวันนั้นไป เธอยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหมือนทุกวันโดยไม่รับรู้เลยว่าธุรกิจของบิดาเริ่มย่ำแย่ลง เธอมักจะเห็นท่านนั่งหน้าเครียด บางครั้งก็แอบเห็น ทั้งคู่โต้เถียงกันก่อนที่ ปานวาดจะร้องไห้ออกมา

เด็กน้อยวัยเจ็ดขวบเกาะขอบประตูห้องนอนพ่อแม่แอบมองเข้าไปด้านใน ขอบตาทั้งสองข้างแดงก่ำ แม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกเขากำลังคุยกัน แต่ภาพที่มารดาร้องไห้มันช่างบาดใจเธอเหลือเกิน

“นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้วคะ!” ปานวาดสะอื้นพลางตัดพ้อสามี

“ผมขอโทษ ผมจะรีบจัดการเรื่องนี้เอง”

“ปานรู้นะว่าเขาเป็นน้องชายคุณ แต่เขาเอาแต่สร้างเรื่องลำบากมาให้พวกเรา เมื่อไหร่คุณจะเด็ดขาดสักที” เธอยังคงสะอื้นอยู่แบบนั้นจนสามีคว้าร่างสั่นเทิ้มของภรรยาเข้ามาสวมกอด พร้อมปลอบโยนเบา ๆ

“ผมจะรีบเคลียร์เรื่องนี้ คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“ขอให้มันเป็นครั้งสุดท้ายนะคะ ครั้งหน้าคุณห้ามช่วยอะไรเขาอีกเด็ดขาด”

“รู้แล้ว ๆ ผมขอโทษนะ”

ชัยภัทรกอดร่างภรรยาแน่น ขอบตาทั้งสองข้างร้อนผ่าว พร้อมความเจ็บปวดกลางอก ที่ถูกน้องชายหักหลัง หลอกให้เขาเซ็นโอนโฉนดที่ดินเป็นชื่อของชัยพล โดยมีข้ออ้างต่าง ๆ นานา แถมสุดท้ายเขายังต้องมารับผิดชอบ หนี้สินที่น้องชายก่อไว้อีกจึงทำให้การเงินภายในโรงงานฝืดเคือง

ทั้งคู่ยืนกอดกันอยู่ภายในห้อง แม้การโต้เถียงจะไม่ได้ลุกลามใหญ่โต แต่เด็กน้อยที่แอบมองเหตุการณ์ทั้งหมดก็สัมผัสได้ถึงความตึงเครียดภายในครอบครัวอันแสนอบอุ่นของเธอ

หนึ่งเดือนต่อมา

ชัยภัทรพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อกอบกู้ธุรกิจให้กลับมาราบรื่นเช่นเดิม แต่อะไรหลาย ๆ อย่าง ก็ทำให้หัวหน้าครอบครัวเครียดจัด เงินทุนสำรองหายไปอย่างเป็นปริศนา ทำให้ไม่สามารถซื้อเหล็กมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้มากเท่าที่ลูกค้าสั่ง จึงเกิดเป็นการผิดใจและมีลูกค้าหลายรายยกเลิกออร์เดอร์ นั่นยิ่งทำให้ธุรกิจของเขาย่ำแย่ แถมยังต้องหาเงินมาชดใช้หนี้ที่ชัยพลก่อและมีเขาเซ็นเป็นผู้ค้ำประกัน

บรรยากาศภายในบ้านนิอินทร ตึงเครียดจนถึงขีดสุด เด็กน้อยแทบจะไม่เห็นรอยยิ้มของบิดามารดา แม้พวกท่านจะพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หลายคืน ที่ไอซ์ต้องนอนร้องไห้ได้ยินเสียงพวกเขาทั้งคู่ทะเลาะกัน

คืนหนึ่งในหน้าร้อนเด็กน้อยตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความกระหายน้ำ เท้าเล็ก ๆ ก้าวลงจากเตียง ผลักบานประตูห้องนอนส่วนตัวออกช้า ๆ

ดวงตาสีดำขลับ ไร้เดียงสามองฝ่าความมืดออกไป ใช้ความคุ้นชินก้าวลงไปตามบันไดเพื่อไปยังห้องครัว

ไม่รู้ทำไมคืนนี้ไอซ์ถึงรู้สึกไม่สบายตัวนัก มือเล็กเปิดตู้เย็นคว้าขวดน้ำมารินใส่แก้วเพื่อดื่มดับกระหาย นั่นค่อยทำให้จิตใจของเด็กน้อยสงบลงบ้าง

เธอยืนดื่มน้ำอยู่ในห้องครัวตามลำพัง ก่อนจะแวะไปเข้าห้องน้ำที่ชั้นล่างของบ้าน

เด็กน้อยเดินออกมาเตรียมจะกลับขึ้นไปนอน แล้วร่างของเธอก็ถูกใครบางคนชนเข้าจนเกือบล้ม ลงไปกองกับพื้น

หัวใจดวงเล็กเต้นรัวด้วยความตกใจ พยายามมองฝ่าความมืด แล้วก็ค่อยโล่งใจเมื่อเห็นหน้าคนคุ้นเคย

“คุณอา” เธอเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ในใจเต็มไปด้วยคำถาม “มาทำอะไรที่นี่ดึก ๆ คะ”

ชัยพลที่เพิ่งลงจากชั้นบนก็ตกใจไม่น้อยที่พบหลานสาวเข้า เขามีท่าทางลุกลี้ลุกลน ตอบกลับเสียงติดขัด

“อะ...อา...ลืมของไว้น่ะ”

“ลืมอะไรเหรอคะ” เธอถามกลับอย่างใสซื่อ

“คะ...คือ... ไม่มีอะไรหรอก” เพราะถูกถามกะทันหัน ชัยพลจึงคิดคำแก้ต่างไม่ออก

“เอ๋?” เด็กน้อยเอียงคอสงสัยกับคำตอบ จนชัยพลต้องรีบแก้ตัวต่อรวดเร็ว

“อาลืมปากกาไว้น่ะ ตอนนี้หาเจอแล้ว ไอซ์ก็รีบกลับไปนอนซะนะ” เขาย่อกายลงให้เท่าเด็กน้อย พร้อมเอื้อมมือลูบศีรษะเด็กสาว พยายามสูดหายใจเข้าออกเรียกสติให้ตัวเองใจเย็นลง

“อ๋อค่ะ”

ด้วยความเป็นเด็กทำให้เธอไม่ได้สงสัยในคำตอบแสนมีพิรุธนั้น พยักหน้ารับ ก่อนที่ชัยพลจะหยัดกายผอมขึ้นเต็มความสูง แล้วรีบจ้ำอ้าวเดินออกจากบ้านอย่างเร่งรีบราวกับกำลังหนีอะไรบางอย่าง

เด็กหญิงแปลกใจเล็กน้อยที่พบอาชัยพลในบ้านกลางดึกเช่นนี้ แม้อีกฝ่ายจะเคยมาหาบิดาเธอบ่อยครั้ง แต่นั่นก็เป็นช่วงกลางวันเสมอ

สุดท้ายไอซ์ เลิกใส่ใจความผิดปกตินั้น ก้าวเท้าเล็ก ๆ กลับขึ้นห้องนอนส่วนตัวยังชั้นสองเพื่อนอนต่อ

ไอซ์ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไรแล้ว กระทั่งเสียงกรีดร้องของมารดาปลุกให้ตื่น หัวใจดวงน้อยบีบหนักหน่วง ใบหน้าซีดเผือด ใจหล่นตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม กระวีกระวาดลงจากเตียง ผลักประตูห้องนอนวิ่งไปตามเสียงโหยหวน เจ็บปวดหวาดกลัวของปานวาดไม่คิดชีวิต

ประตูห้องทำงานของบิดาที่สุดทางเดินถูกเปิดอ้า พร้อมเสียงกรีดร้องอย่างเสียสติของมารดาดังออกมาจากด้านในไม่หยุด

ปานวาดกรี๊ดลั่นราวกับพบเจอเรื่องน่ากลัวบางอย่าง

เท้าน้อย ๆ วิ่งฝ่าความมืดไปตามทางเดิน แม้จะรับรู้ถึงอันตรายที่รออยู่แต่ด้วยความเป็นเด็ก เธอจึงอยากเจอพ่อและแม่ในเวลานี้ ให้มั่นใจว่าทุกอย่างยังเป็นปกติ

“แม่คะ! พ่อคะ!” เธอร้องตะโกนออกไปสุดเสียง พลางวิ่งไปยังห้องทำงาน แม้ระยะทางจากห้องนอนเธอกับห้องทำงานพ่อจะไม่ไกลกันเลย แต่ในความรู้สึกของไอซ์ขณะนี้เหมือนวิ่งเท่าไรก็ไม่ถึงเสียที

ไร้เสียงขานตอบจากทั้งคู่ มีเพียงเสียงร้องไห้กรีดร้องปานจะขาดใจของปานวาดที่ยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุดเท่านั้น บาดใจเด็กน้อยที่ได้ยินเหลือเกิน หวาดกลัวไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ของเธอ

ในที่สุดเด็กน้อยก็วิ่งมาถึงห้องทำงานของคุณพ่อ หัวใจดวงเล็กแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ กับภาพตรงหน้า ร่างของเธอชาวาบ หัวสมองขาวโพลนไปหมด คิดสิ่งใดไม่ออกอีกต่อไป เมื่อเห็นบิดาอันเป็นที่รักห้อยตัวอยู่กลางอากาศโดยมีเชือกเส้นหนาเส้นหนึ่งพันรอบคอผูกไว้กับคานด้านบน

“กรี๊ดดดดดดด คุณ! ทำไม! กรี๊ดดดดด”

ปานวาดดิ้นพล่านอยู่บนพื้นดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ พยายามกระเสือกกระสนกายไปทางร่างอันไร้วิญญาณของสามีที่เหนือพื้น ออกแรงเขย่าเท้าให้สามีรู้สึกตัวตื่น ไม่อยากจะเชื่อว่าชัยภัทรจะคิดสั้น หนีปัญหาไปแบบนี้

เม็ดน้ำตาร้อนไหลอาบสองแก้ม ปานวาดกรีดร้องอย่างเสียสติ ใจแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ พยายามเรียกชื่อสามีอันเป็นที่รัก โดยมีลูกสาวยืนแข็งค้าง ตกตะลึงกับภาพที่เห็น

“คุณ! กรี๊ดดดดดดด! ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ! อย่าทิ้งฉันกับลูกไป กรี๊ดดดดด คุณภัทร ฮือออออออ”

“ทำไมทำแบบนี้ ฮืออออ ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ กรี๊ดดดดดดดด”

คุณแม่แสนดีบัดนี้ไม่ต่างจากคนบ้าเสียสติ เธอกรีดร้อง จิกทึ้งเส้นผมตนเองสลับกับกอดขาของสามีที่ลอยโคลงเหนือพื้นแน่น เป็นภาพที่น่าหดหู่เกินจะบรรยาย

เด็กน้อยยืนค้างอยู่หน้าห้องทำงานบิดาเช่นเดิม แต่จิตใจแตกสลายไม่มีชิ้นดี เรี่ยวแรงจะเอ่ยเรียกชื่อบิดายังไม่มี หยาดน้ำตาใสไหลออกจากดวงตากลมสวยทั้งสองข้าง ช็อกมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น ได้แต่ยืนสะอื้นไร้เสียงมองเหตุการณ์ทั้งหมด สติสัมปชัญญะของเด็กน้อยค่อย ๆ ลดน้อยลง ภาพและเสียงของมารดาเริ่มพร่าเลือนมากขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายเด็กน้อยก็รับกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญไม่ไหว ทรุดกายหมดสติลงทันที นั่นจึงทำให้ปาดวาดยิ่งสติแตก กรีดร้อง ร่ำไห้ ลากร่างลูกน้อยบนพื้นมาสวมกอด ช้อนดวงตาแดงก่ำมองร่างของผู้เป็นสามีอย่างทำอะไรไม่ถูก

เสียงของปานวาดปลุกเพื่อนบ้านให้ตื่นขึ้น และโทรแจ้งตำรวจ คาดว่าคงเกิดเหตุไม่ดีแน่ เหล่าชาวบ้านลุกออกจากที่นอนมายืนออหน้าบ้านของครอบครัวนิอินทร ลังเลว่าจะเข้าไปด้านในดีไหม ไม่นานเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เดินทางมาถึง และได้ช่วยกันนำร่างอันไร้ลมหายใจของชัยภัทรลงมา โดยมีปาดวาดนั่งร้องไห้แทบขาดใจพลางกอดลูกสาวที่ยังสลบไม่ได้สติ เฝ้ามองทุกอย่างอยู่ ความสูญเสียของบุคคลอันเป็นที่รักกะทันหันฉีกคร่าหัวใจของเธอให้ขาดวิ่น แตกสลายไม่ต่างจากเศษแก้ว นับตั้งแต่นั้นปานวาดก็กลายเป็นคนเสียสติ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel