31 แม่ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก
ถ้าตามข่าวที่ได้รับมาไม่ผิด คุณพิษณุเป็นคนควบคุมดูแลกิจการด้านผิดกฎหมายของพี่ชายอยู่ แต่เมื่อเขมชาติเข้ามาบริหารงานแทนบิดา เขาได้สั่งยกเลิกกิจการด้านนั้นทั้งหมด ซึ่งผลจากคําสั่งนั้นทําให้คุณพิษณุไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ยังดีที่มีคุณเกรียงไกรคอยปรามไว้
แต่มาวันนี้...ไม่มีคุณเกรียงไกรคอยเป็นกันชนให้คนทั้งคู่แล้ว ก็ไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นทั้งคุณพิษณุกับเขมชาติมีท่าทีที่เป็นอริแฝงอยู่ สงสัยงานนี้คงรบกันอีกยาว งานนี้ใครจะอยู่ใครจะไปมันไม่ใช่เรื่องของเธอ...แต่ทําไมเธอถึงเป็นห่วงอีกตาบ้านั้นด้วยนะ
ระหว่างกําลังกลุ้มกับความคิดอันสับสนของตัวเองนั้น พริมโรสก็เหลือบไปเห็นคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทํางานของเขมชาติเปิดทิ้งไว้ ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่งหรืออยู่เฉย ๆ จึงควานหาแฟลชไดร์ในกระเป๋าที่ลืมทิ้งไว้เมื่อวานออกมา พร้อมกับความคิดบางอย่างที่ แล่นเข้ามาในหัว
‘เสร็จแน่ คราวนี้’...
เสียงแตรรถที่ดังขึ้นหน้าบ้านนั้นทําให้ เขมกรกับพิชชภรณ์ที่กําลังทานอาหารเช้ากันอยู่ในครัว มองหน้ากันด้วยความสงสัย เพราะไม่คิดว่า
วันนี้จะมีคนมาหาแต่เช้าอย่างนี้
“ใครมาคะ...พี่พริม หรือว่า พี่เขม” พิชชภรณ์ถามชายคนรัก
“ไม่รู้สิ...หนิงกินข้าวไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ออกไปดูเอง” เขมกรพูดจบก็รีบ ลุกเดินออกจากครัวไป
“แม่กับพี่วิ” เขมกรอุทานด้วยความตกใจเมื่อเปิดประตูหน้าบ้านออกไปพบว่าใคร มาหาตนเองแต่เช้า ขณะที่เขากําลังยืนนิ่งอย่างไม่รู้จะทําอะไรดีนั้น กระจกหลังด้านหลังของรถเบนซ์คันใหญ่ก็เลื่อนเปิดลง พร้อมกับเสียงโวยวายของคนในรถ
“นี่นายกร ใจคอนายจะไม่ให้แม่กับฉันเข้าไปใช่ไหม”
“เอ่อ...”
“รีบ ๆ เปิดสิย่ะ...มั่วยืนบื้ออยู่นั่นแหละ ฉันกับแม่อุตส่าห์ถ่อสังขารมาหาถึงนี่เชียวนะ”
เมื่อตั้งสติได้เขมกรจึงเปิดประตูให้รถเลื่อนเข้ามาจอดข้างใน แม้ภายนอกเขาจะดูสงบนิ่งไม่ผิดกับพี่ชายเท่าไหร่ แต่ว่าภายในใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความแปลกใจและสงสัยว่ามารดากับพี่สาวมาหาเขาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร
“แม่กับพี่วิมาทําไมครับ”
“ทําไม...ทําไมฉันกับแม่จะมาไม่ได้” วิลาสินีพูดเสียงดังเมื่อได้ยินน้องชายถามเสียงแข็ง สร้างความไม่พอใจให้หล่อนเป็นอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่หล่อนพยายามที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติที่สุด ตั้งแต่ขอมารดาตามมาหาเขมกรที่นี่แล้ว แต่เอาเข้าจริง ๆ เมื่อได้ยินนํ้าเสียงไม่เป็นมิตรของน้องชายตัวเอง อารมณ์ที่พยายามจะควบคุมไว้กลับเริ่มประทุขึ้นมาอีกครั้ง
“ผมแค่...”
“เอาล่ะ...อย่าทะเลาะกัน” คุณวิภาดารีบห้ามทัพก่อนที่ลูกทั้งสองของตนเองจะเปิดฉากทะเลาะกันมากกว่านี้ ก่อนจะหันมาพูดกับลูกชายด้วยนํ้าเสียงที่อ่อนกว่าเดิม
ได้ยินมารดาพูดแค่นั้นเขมกรรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเป็นกองที่มารดายังคง รักและห่วงใยตนอยู่ แต่เพราะความที่รู้จักมารดาตัวเองดี ทําให้เขา อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า มารดาคิดจะทําอะไรกันแน่
...แม่ไม่น่าจะยอมใครง่าย ๆ...
“ไม่ต้องมองแม่อย่างนั้น ยังไง...ยังไง เราก็เป็นลูกชายคนเดียวของ แม่ จะให้แม่ไม่มาดูดําดูดีเราเลยหรือไง”
ตอนนี้คุณวิภาดายกเอาความรักของคนเป็นแม่ขึ้นมาอ้างบ้าง เพื่อทําให้เขมกรเลิกระแวงพวกตน แต่ดูเหมือนว่าลูกชายของท่านจะ เป็นคนค่อนข้างระวังตัวอยู่ไม่น้อย ถึงไม่ยอมเชื่อใจท่านง่าย ๆ แต่ จะให้ท่านถอดใจง่าย ๆ ก็ไม่ใช่คนอย่างท่านอีกเช่นกัน
‘กร..ลูกยังไม่รู้จักแม่ดีพอ แม่อยากได้อะไร แม่ก็ต้องได้...’
“พี่กร...ใครมาคะ”
เสียงพิชชภรณ์ดังออกมาจากในบ้าน ก่อนที่เธอจะพาตัวเองออกมา ตามคนรัก และต้องชะงักเมื่อเห็นชัด ๆ ว่าใครมา
“คือ...แม่มาเป็นห่วงลูกทั้งสองคนน่ะ เลยแวะมาเยี่ยม” คุณวิภาดาพูดด้วยนํ้าเสียงอ่อนโยนที่สุดเท่าที่ท่านจะทําได้ เพราะ
ท่านรู้ดีว่าการทําให้พิชชภรณ์ใจอ่อนดูจะง่ายกว่าทําให้ลูกชายตัวเองหายระแวง
“สวัสดีค่ะคุณท่าน” เมื่อรู้ว่าใครมาหาพิชชภรณ์จึงยกมือไหว้ ในขณะที่เขมกรเดินข้างมาโอบ ไหล่หญิงสาวไว้อย่างหวงแหน และพร้อมจะมีเรื่องถ้าหากแม่กับ พี่สาวของตัวเองจะทําร้ายคนที่เขารัก
อาการของคนตรงหน้าทําให้ทั้งคุณวิภาดาและวิลาสินีอดหมั่นไส้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าเจ้าน้องชายจะหวงอะไรนักหนา ทําอย่างกับว่าพวกตนจะมาทําร้ายภรรยาของเขาอย่างนั้นแหละ
แม้ว่าจะเป็นความจริงก็ตาม แต่ ว่า...จะให้ร้ายตอนนี้คงจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น เพราะฉะนั้น ต้องทําให้ตายใจ...ต้องทําให้ทั้งคู่ตายใจก่อน ถึงค่อย ๆ เชือด
“นี่นายกร...มันจะมากไปแล้วนะ ทําอย่างกับพวกฉันจะมาฆ่า... เมี...ย แก อย่างนั้นแหละ”
วิลาสินีพูดขึ้นอย่างเหลืออดเมื่อเห็นอาการดังกล่าวของน้องชาย แม้ว่า คําว่า ‘เมีย’ ที่ใช้เรียกแทนพิชชภรณ์นั้นจะพูดไม่ค่อยเต็มปากเต็มคําก็ตาม
“ยัยวิ...” คุณวิภาดาปรามวิลาสินีก่อนที่จะเสียเรื่องมากกว่านี้ ก่อนจะหันมาพูดกับพิชชภรณ์อย่างอ่อนโยน
“หนิงจ๊ะ...เอาเป็นว่าแม่กับพี่วิ ต้องขอโทษสําหรับทุก ๆ เรื่องที่ผ่านมาแล้วกันนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ...หนิงไม่โกรธคุณท่านกับคุณวิหรอกค่ะ”
“เรียกแม่ กับ พี่วิสิ...อย่าเรียกคุณเรียกท่านเลยฟังแล้วมันดูห่างเหินยังไงไม่รู้ ตอนนี้พวกเราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันแล้วนะ”
“เอ่อ!!!...” เมื่อเห็นว่าศัตรูของหล่อนยังลังเลอยู่วิลาสินีจึงเดินเข้าไปยืนตรงหน้าพร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือของพิชชภรณ์มากุมไว้ ก่อนจะพูดด้วยนํ้าเสียงที่พยายามให้ฟังดูเป็นมิตรมากที่สุดเท่าที่จะทําได้
“เรื่องที่ผ่านมา...ฉันกับแม่ต้องขอโทษเธอมาก ๆ เลยนะ ตอนแรก เราคิดว่านายกรจะไม่ได้จริงจังกับเธอ คิดว่าคงเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบแบบวัยรุ่นทั่ว ๆ ไปน่ะ แล้วเราก็เห็นว่าเธอเป็นเด็กดีไม่อยากให้เสียคนเพราะนายกร เราก็เลยขัดขวางน่ะ แต่ว่าตอนนี้...น้องสาวเราได้พิสูจน์แล้วว่า เขารักเธอและคิดจริงจังกับเธอจริง ๆ พวกฉัน...ถึงต้องมาขอโทษเธอกับเรื่องที่ผ่านมา หวังว่าเธอคงไม่โกรธพวกเรานะ”
เพราะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีอยู่แล้ว ประกอบกับพิชชภรณ์ค่อนข้างจะให้ความสําคัญกับคนในครอบครัว เธอคิดอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทําให้แม่กับลูกทะเลาะกัน ซึ่งเรื่องนี้ทําให้เธอรู้สึกไม่สบายใจตลอดเวลาแม้จะไม่เคยเอ่ยปากบอกให้ใครรู้ก็ตาม
ดังนั้นเมื่อได้ยินทั้งคุณวิภาดากับวิลาสินีพูดอย่างนั้น ความไม่สบายใจทั้งหมดจึงหมดไป เธอจึงยิ้มให้ทั้งคู่อย่างเป็นมิตร และบีบมือของ วิลาสินีเบา ๆ
“หนิงต่างหากค่ะ...ที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ ที่เป็นเหตุให้พี่กรผิดใจกับ พี่...วิ และก็...คุณแม่”
“เอาเป็นว่า...เรื่องที่ผ่าน ๆ มาถือว่าผ่านไปแล้วกันนะ ว่าแต่เราสองคน อยู่ที่นี่สบายดีหรือเปล่า ลําบากมากไหม” เมื่อได้ทีคุณวิภาดาจึงรีบถามทั้งคู่ด้วยความเป็นห่วง
แม้ว่าลูกชายตนเองจะยังคงรู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่กล้าแสดงอาการอะไรมากนัก เพราะสายตาที่พิชชภรณ์คอยปรามเป็นพัก ๆ ซึ่งก็ทําให้ท่านอดที่จะน้อยใจไม่ได้ที่ลูกชายเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเอง
“เอ่อ...หนิงว่าคุณแม่กับพี่วิ เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่าคะ”
“ดีเหมือนกันนะคะคุณแม่...เราจะเห็นกันเสียทีว่า นายกรของเราน่ะเป็นผู้ใหญ่หรือยัง...ไม่ใช่พาลูกสาวคนอื่นมาลําบากด้วยนะ”
“นั่นสินะ...” ท่านเห็นด้วยกับวิลาสินี ก่อนจะหันไปสั่งให้คนขับรถขน ของที่เตรียมมาเข้าไปไว้ในบ้าน “นายสน...เดี๋ยวขนของที่อยู่ท้ายรถ ไปไว้ข้างในด้วยนะ”
