11 แม่
“แม่จะมาจริง ๆ ใช่ไหมครับ” หลังจากพ่อวางสายไปแล้วเด็กชายก็ถามขึ้น
โดยน้ำเสียงของเขาก็ทำให้พ่อสะท้อนในอก เกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาที่กีดกันทำให้แม่กับลูกไม่ได้เจอกัน ทั้งที่เขาคิดว่ามันเป็นทางออกที่ดีแล้ว กับเรื่องนี้
“มาสิ ทำไมคิดแบบนั้นละหืม” มือหนายื่นไปวางบนหัวลูกชายก่อนจะยีเบา ๆ ระหว่างที่อีกมือยังขับรถอยู่
“เหนือกลัวครับ กลัวว่าแม่จะไม่มาหา...” เด็กชายหันมองหน้าพ่อ ซึ่งพ่อก็หันกลับมามองเขาเหมือนกัน สองพ่อลูกสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่คนเป็นพ่อจะหันหน้าไปมองถนนต่อ
“เหนือฟังพ่อนะ ถึงวันนี้แม่จะไม่มาหา เหนือก็ยังมีพ่อ หรือถึงวันนี้แม่จะมาหาแต่เหนือไม่ได้อยู่กับแม่ เหนือก็ยังมีพ่อ”
“ไม่ว่ายังไงพ่อก็จะอยู่ข้างเหนือ เข้าใจไหมครับ”
“เหนือเข้าใจครับ แต่เหนือแค่ไม่เข้าใจ...ว่าทำไมเหนือถึงอยู่กับเหนือไม่ได้
หรือทำไมแม่ถึงอยู่กับเหนือไม่ได้ แม่ไม่รักเหนือแล้วหรอครับ...”
“รักสิครับ ทำไมแม่จะไม่รักเหนือล่ะ เห็นไหมว่าแม่หายป่วยแม่ก็กลับมาหาเหนือเลย”
“จริงนะครับ”
“จริงครับ”
///
“หนูเล่นรอแม่อยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ อย่าไปนะคะ” หลังจากเดินมาถึงร้าน ธริกาก็พาลูกมาที่โซนสนามเด็กเล่นของร้าน ก่อนจะกระชับลูกให้เล่นอยู่บริเวณนี้อย่าไปไหน และไม่เพียงกำชับกับลูก เธอยังฝากฝังกับคนดูแลด้วย
“รับทราบค่ะ” มือเล็ก ๆ ยกขึ้นหัวรับปฏิบัติก่อนจะขยิบตาให้แม่หนึ่งที
“แม่ไปก่อนนะคะ ดูแลตัวเองนะคะ” ธริกาพูดบอกลูกสาวเธออีกครั้งก่อนจะเดินออกมาเพื่อไปยังสถานที่ที่นัดกับเขาไว้ซึ่งมันก็เป็นห้องอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากที่ลูกสาวเธออยู่ หากเขาจองโต๊ะที่ไม่ใช่ห้องอาหารมันก็ไม่ทำให้เธอต้องห่วงลูกสาวแบบนี้ เพราะถ้าเป็นโซนนอกจะสามารถมองเห็นสนามเด็กเล่นได้ ไว้ให้ผู้ปกครองที่พาบุตรหลานมาด้วยได้สอดส่องดูแล
“รอนานไหม แม่ขอโทษนะ” ทันทีที่เปิดประตูเข้ามา ธริกาก็เลือกเดินไปหาลูกชายแล้วพูดกับลูกชายก่อน เธอทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุ ซึ่งเขาก็ไม่ได้พูดอะไร ต่างคนต่างหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี เธอไม่พูดเขาไม่พูด ต่างคนต่างไม่พูดคุยกันเลย
จนเด็กชายที่เป็นคนกลางอย่างน้ำเหนือสัมผัสได้ แต่เด็กชายก็ไม่ได้พูดอะไร พยายามชวนพ่อกับแม่คุยตามประสา แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาจะคุยกับแม่มากกว่า
ทำให้พ่อค่อย ๆ จางหายไปจากบทสนทนา
ด้านกลทีป์เขาก็พยายามเข้าใจลูก ที่ลูกพูดคุยกับแม่มากกว่าปกติก็เพราะว่าไม่ได้เจอกันนาน และเขาก็ไม่อยากกีดกันเพราะไม่อยากให้มันเป็นเหมือนช่วงกลางวันอีก แค่นี้ก็คงจะเป็นบาดแผลให้ลูกแล้ว
“แม่จะกลับมาอยู่กับเหนือใช่ไหมครับ เราจะอยู่ด้วยกันใช่รึเปล่า”
“เรื่องนั้น...” ธริกาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไป
“ถ้าแม่ไม่อยู่กับเหนือแม่จะอยู่กับใครล่ะครับ แม่กลับมาแม่ตั้งใจมาหาเหนือนะ”
“แม่ขอโทษที่หายไปหลายปี ไม่ได้ทำหน้าที่แม่อย่างที่ควรจะเป็น แต่แม่อยากให้เหนือรู้ไว้ ว่าตลอดเวลาที่แม่ไม่ได้อยู่กับเหนือ ไม่มีวันไหนที่แม่ไม่คิดถึงหรือไม่อยากกลับหาเหนือเลยนะ” คนเป็นแม่พูดบอกลูกชาย ยิ่งพูดน้ำตาก็เริ่มคลอหน่วย ตอนนี้เธอนั่งอยู่ข้างลูก ส่วนเขานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แน่นอนว่าเธอหันตัวมาพูดคุยกับลูก และมันก็ทำให้เด็กชายที่มักจะสังเกตคนรอบข้างอย่างน้ำเหนือเห็นว่าแม่กำลังจะร้องไห้
“จริงหรอครับ”
“จริงครับแม่รักเหนือนะ และจะไม่มีวันหยุดรัก มันจะไม่มีวันนั้นเกิดขึ้น”
มือบางที่เริ่มจะสั่นเทาน้อย ๆ ยกขึ้นลูบหัวลูกชายเบา ๆ ด้วยความทะนุถนอมแสนรัก ไม่เพียงการกระทำที่อ่อนโยนที่เธอมีต่อลูก นัยน์ตาของเธอก็เปี่ยมไปด้วยความรัก ความห่วงหาอาทรเช่นกัน
“เหนือก็รักแม่ครับ แล้วก็คิดถึงแม่มาก ๆ ด้วย เหนือดีใจที่สุดเลยที่แม่กลับมาหาเหนือ” เด็กชายพูดแล้วส่งยิ้มให้แม่ ก่อนจะยื่นมือไปเช็กน้ำตาที่คลออยู่ให้แม่อยากอ่อนโยน
“เหนือลูก...” เห็นสิ่งที่ลูกชายทำให้ ธริกาแทบจะยิ้มทั้งน้ำตา แต่ก็ต้องฝืนไว้ไม่ให้สิ่งที่ลูกตั้งใจมันสูญเปล่า
“เหนือขอกอดแม่ได้ไหมครับ”
“ได้สิครับ ทำไมจะไม่ได้” คนเป็นแม่ตอบรับ ก่อนจะเป็นฝ่ายขยับตัวเข้าไปสวมกอดลูกก่อน เด็กชายตัวน้อยในวันวานที่เธอเคยอุ้มชูในวันนั้น ตอนนี้ตัวโตขึ้นมาจนเธอคงอุ้มไม่ไหวแล้ว
ตอนนี้เธอกำลังกอดลูกชายเธออยู่จริง ๆ ใช่ไหม เธอไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ลูกชายที่เธอคิดว่าชีวิตนี้อาจจะไม่ได้เจออีกแล้ว หากไม่ได้ลุงจิรัฎฐ์ช่วยเหลือในการหาหลักฐานมาลบล้างความผิด...ถ้าเธอหาหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองไม่ได้ เธอก็ไม่กล้ากลับมาสู้หน้าเขาอย่างวันนี้...รวมถึงลูกด้วย
และถ้าเธอไม่มีหลักฐานมากพอ เธอก็ทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นของเธอกลับคืนมาไม่ได้ แน่นอนว่าการกลับมาในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ลูกเท่านั้นที่เธอมาทวงคืน ...
“งั้นวันนี้แม่กลับบ้านกับเหนือได้ไหมครับ มีเหนือ มีแม่ มีพ่ออยู่ด้วยกันสามคน...” เด็กชายผละออกจากอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถาม
“เรื่องนั้น...แม่ว่าต้องถามพ่อของเหนือแล้วล่ะว่าอยากให้แม่อยู่ด้วยรึเปล่า” เธอเลือกที่จะโยนมันให้เขา เพราะเธอเชื่อว่ายังไงเขาก็ต้องปฏิเสธ เธอไม่อยากเป็นคนที่ปฏิเสธลูกเอง แม้อยากอยู่กับลูก แต่เธอก็ไม่อยากมีเขามาข้องเกี่ยวด้วย และเธอก็คิดว่าเขาคงคิดแบบเดียวกัน คืออยู่กับลูกโดยไม่มีเธอมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเขา
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้” คำตอบที่กลทีป์พูดมา ทำให้ธริกาหันมองเขาทันที ไม่คิดว่าเขาจะตอบมาแบบนี้ ก่อนหน้านี้เขาขับไสไล่ส่ง แสดงท่าทีรังเกียจเธอนักหนา
แล้วทำไม แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงยอมให้เธออยู่กับลูกได้?
“แต่แม่ว่า...” พอเขาตอบแบบนี้ เธอก็ไปต่อไม่ถูก ถ้าเธอไปอยู่กับลูกที่บ้านของเขา แล้วน้ำหนาวล่ะ ลูกสาวเธอจะอยู่กับใคร เธอไม่ไว้ใจฝากน้ำหนาวไว้กับใครทั้งนั้น แม้แต่อดิศร น้องชายพ่อของเธอ
“ทำไม หรือเธอไม่อยากมาอยู่กับลูก?” เขาเลิกคิ้วขึ้นถาม
“ไม่มีแม่คนไหนไม่อยากอยู่กับลูกหรอกนะ แต่เพราะความจำเป็นบางอย่างทำให้ฉันต้องห่างลูก” เธอพูดบอกเขาแล้วหันมามองลูกเป็นครั้ง ๆ
“แล้วครั้งนี้เธอมีความจำเป็นอะไรอีกล่ะ คงไม่ได้ปลูกบ้านอยู่กับผัวใหม่หรอกใช่ไหม” เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ แล้วพูดให้เธอได้ยินกันสองคน
“คุณ!”
“ในเมื่อคุณยื่นโอกาสให้ ครั้งนี้ฉันไม่ปฏิเสธมันอย่างแน่นอนค่ะ หึ” เธอพูดพร้อมกับแสยะยิ้มเบา ๆ ส่งให้เขา
“แปลว่าแม่จะไปอยู่กับเหนือใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ แต่แม่ขอไปเก็บของก่อนนะ แล้วแม่จะตามไป”
“ได้ครับ เหนือจะรอแม่นะ”
“ครับ”
“พ่อว่าเรามาทานข้าวกันต่อดีกว่า นี่ครับ” กุ้งตัวโตถูกตักขึ้นมาจากจานอาหารก่อนจะวางลงบนจานข้าวลูกชาย
“นี่ครับ แม่แกะให้” ตามมาด้วยปลาเนื้อสีขาวฟูที่ถูกเลาะก้างอย่างดี ก่อนจะหันมองเขาอย่างเหนือกว่า เพราะเขาไม่มีวันทำอะไรแบบนี้ให้ลูกได้
ทั้งคู่ผลัดกันดูแลลูกอย่างไม่มีใครยอมใคร คนที่มีความสุขและได้รับผลประโยชน์มากสุดในครั้งนี้คงจะหนีไม่พ้นเด็กชายน้ำหนาว ที่มีพ่อแม่ผลักกันเอาใจใส่
ในขณะที่ทั้งเด็กชายกำลังมีความสุขกับการมีพ่อมีแม่อยู่ข้าง ๆ ก็มีเด็กหญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนชิงช้าด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย
“เห้อ ทำไมแม่ไปนานจัง” เสียงถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าดังขึ้น เด็กหญิงเล่นเครื่องเล่นต่าง ๆ วนซ้ำ ๆ จนเริ่มจะรู้สึกเบื่อ เธอเลยมานั่งไหวชิงช้า ช้า ๆ อยู่แบบนี้
จะแอบตามไปดูก็ทำไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าแม่นั่งอยู่ตรงไหน เพราะงั้นเธอเลยเลือกที่จะทำอะไรบางอย่างแทน
“คุณน้าคะ ไปห้องน้ำนะคะ ถ้าแม่มาหาบอกว่าหนูไปห้องน้ำนะคะ”
“ห้องน้ำอยู่ทางขวามือนะ แต่ต้องเดินตรงไปก่อนถึงจะเห็นป้าย”
“โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ” หลังจากได้ข้อมูลแล้ว น้ำหนาวก็เดินออกมาทันที
ขาเล็ก ๆ เดินไปตามทางเดินที่รู้มา แต่สายตากลับคอยสอดส่องไปรอบ ๆ เพื่อตามหาอะไรบางอย่าง และพอเห็นเป้าหมาย เด็กหญิงก็ดำเนินการได้อย่างแนบเนียน
“ห้องน้ำไปทางไหนหรอคะ” เสียงร้องทักที่ดังขึ้น ทำให้น้ำเหนือตกใจเล็กน้อย แต่พอเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ที่คาดว่าจะอายุน้อยกว่าเขาสองสามปี เด็กชายก็ยิ้มรับก่อนจะตอบกลับไป
“เรากำลังไปพอดีเลย เดี๋ยวเรานำทางให้”
“ขอบคุณค่ะ” เมื่อแม่ยังหาทางให้เธอเข้าใกล้พี่ชายไม่ได้ งั้นเธอก็ขอใช้วิธีตัวเองก่อนก็แล้วกัน
เด็กหญิงตัวน้อยเดินตามหลังพี่ชายไป ดวงตากลมใสคอยมองสังเกตพี่ชายพี่ด้วยระหว่างทางที่พี่ชายนำทางไปห้องน้ำ
เธอพบว่าพี่ชายสูงกว่าเธอมากเลยทีเดียว หรือเป็นเพราะเธอตัวเตี้ยกันนะ ไม่สิ ตัวเล็กต่างหาก
ในขณะที่น้องสาวหาทางให้ได้ใกล้ชิดได้ทำความรู้จักกับพี่ชาย พ่อกับแม่กลับนั่งนิ่งไม่พูดคุยอะไรกันเลย ตั้งแต่ลูกชายขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เขาไม่พูด เธอไม่พูด
ต่างคนต่างไม่พูด ทั้งห้องก็เลยตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ดังอยู่
“ให้เราไปส่งกลับที่โต๊ะไหมจำทางได้รึเปล่า” หลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จแล้ว เด็กชายก็มีน้ำใจ ยืนรอเด็กหญิงตัวน้อยอยู่หน้าห้องน้ำ เมื่อเห็นเด็กหญิงเดินออกมาแล้วเขาก็ถามด้วยความเป็นห่วง
“พี่...ชายไปส่งหนาวที่สนามเด็กเล่นก็ได้ค่ะ หนาวมากับแม่ เดี๋ยวแม่คงมารับหนาว” หลังจากพูดบอกพี่ชายไปแล้ว น้ำหนาวก็พูดบ่นตัวเองในใจ เกือบไปแล้ว
เธอเกือบพูดชื่อของพี่ชายไปแล้ว ทั้งที่พี่ชายยังไม่ได้แนะนำกับเธอเลย
“ได้สิ”
“ขอบคุณนะคะ พี่ชายใจดีจัง” เมื่อถูกชม น้ำเหนือเพียงยิ้มรับเท่านั้น ก่อนจะชวนเด็กหญิงคุยบ้าง ในระหว่างเดิน
“เราชื่อหนาวหรอ”
“ค่ะหนาวชื่อน้ำหนาว เรียกหนาวเฉย ๆ ก็ได้”
“พี่ชื่อน้ำเหนือนะ เรียกพี่เหนือเฉย ๆ ก็ได้ จะว่าไปเราก็ชื่อคล้าย ๆ กันนะ” เมื่อถูกเรียกว่าพี่ชายน้ำเหนือก็ไม่ได้ค้านอะไร เขาตามน้ำไป ก่อนจะแทนตัวเองว่าพี่เฉย ตามที่ถูกเรียกขาน
“คงเป็นเรื่องบังเอิญมั้งคะ”
“ก็คงงั้น”
