Ep 2 เจอหน้า
หญิงสาวในชุดสูทสีกรม ความยาวเลยเข่ามาเล็กน้อย ด้านในเป็นเสื้อสีขาวเข้ารูป หญิงสาวหน้าตาสะสวยกับความสูง 160 เซนติเมตรของเธอ เพราะความขี้โรคเธอจึงมีสีผิวที่ค่อนข้างจะออกไปทางขาวซีดอยู่หน่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะสมัยนี้เขาชอบแบบพิมพ์นิยม ถ้าดูเผินๆ บางคงก็มองว่าเธอฉีดกลูต้าเพื่อความขาว แน่นอนว่าเธอสวยออร่ามาก เธอถือแฟ้มเอกสารในมือเดินเข้ามายังโซนด้านในกับใบหน้าที่สดใส เธอมองเห็นใบหน้าคม จมูกโด่งเป็นสันที่กำลังก้มมองดูเอกสารในมือ ยอมรับว่าเขาดูดีจริงๆ แบบที่นีน่าบอก แต่ทันทีที่ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามอง เมื่อสบตากับเธอเข้า เขาก็ต้องขบกรามเอาไว้แน่น แน่นอนมันเป็นครั้งแรกที่คนทั้งคู่เจอกัน!!
เขารอดูปฏิกิริยาของหญิงสาวว่าจะเอ่ยอะไร แต่เธอกลับทำแค่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยทักทายเขาเหมือนผู้เข้าสัมภาษณ์คนก่อนๆ
“สวัสดีค่ะ ดิฉันพิมพ์นารา …” หญิงสาวยังคงเอ่ยเสียงใสในการแนะนำตัวเอง
“ครับ รู้แล้ว เมื่อกี้มีคนแจ้งแล้ว”
เขาตอบเธอกลับออกไปเช่นนั้น ซึ่งมันต่างจากคนอื่นๆ เพราะคนอื่นๆ เขาก็ปล่อยให้แนะนำตัวจนครบจบทั้งชื่อ สกุล บลาๆ ในสมองของชายหนุ่มตอนนี้หงุดหงิด งุ่มง่าม โมโหชะมัด เขามองหญิงสาวผู้หิวโหยเงินด้วยแววตาชิงชัง ล่าสุดเงินก้อนที่เขาเก็บเพื่อจะไปเรียนต่อ เป็นอันต้องโอนให้เธอหมดทั้งสองแสน แน่นอนว่าเขาจำชื่อและนามสกุลที่โอนให้เธอได้เป็นอย่างดี ชื่อนี้ นามสกุลนี้ ไม่มีผิดตัวแน่นอน แถมหน้าตาแบบนี้มีแค่เธอคนเดียวแน่ๆ
ความคิดที่จะเอาคืน ทำให้ชายหนุ่มไม่ตั้งใจฟังการพรีเซนต์ตัวเองของเธอสักเท่าไหร่ ในสมองของเขาในตอนนี้คือ ทำยังไงก็ได้ ให้พิมพ์นาราตกหลุมรักตนเอง จากนั้นเขาก็จะให้เธอได้ลิ้มรสความเจ็บปวดดูบ้าง มันคงจะไม่มีวิธีอื่นอีกสินะ นอกจากทำให้เธอมารัก เพราะความรักมันทำให้คนเป็นบ้า และเขาก็รู้ด้วยว่าผู้หญิงหน้าเงินอย่างเธอชอบ หรือไม่ชอบอะไร
“เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่าครับ”
“……..” คือเราควรต้องตอบยังไงดีนะ หญิงสาวครุ่นคิด
“ไม่เคยเจอนะคะ”
“ผมก็ว่างั้นแหละครับ ผมน่าจะจำคนผิด ขอถามคุณพิมพ์นาราอีกข้อหนึ่งนะครับ ถ้าหากคุณได้เลื่อนขั้นแบบปุบปับ คุณจะรู้สึกยังไง? ”
‘ทำไมเราต้องได้เลื่อนขั้นปุบปับนะ แต่ก็แค่คำถามทดสอบไอคิวเราแหละมั้ง’
“สำหรับดิฉันนะคะ ถ้าหากได้เลื่อนขั้นแบบปุบปับก็อาจเป็นเพราะเรื่องของผลงานค่ะ ถ้าผลงานออกมาดีเป็นที่น่าพอใจ ยกยอดการตลาดและเชื่อมความมั่นคงของโครงการได้ ก็คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลค่ะ”
‘ก็ฉลาดตอบดีนิ่’
“งั้นตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมเลยนะครับ คุณโสดมั้ยครับ?”
ตึกๆ ตึกๆ
‘ทำไมเขาต้องถามแบบนี้ด้วยนะ!’
“ที่ผมถามเพราะเวลาออกโครงการบางทีต้องลงพื้นที่และต้องไปที่ไกลๆ การทำงานของเราจะได้ประเมินได้ถูก ว่าต้องเป็นไปในรูปแบบไหน ผมไม่ชอบมามีปัญหาทีหลัง”
อ๋อ .. อย่างงี้สินะ อย่างกับรู้ว่าเรากำลังคิดอะไร
“ดิฉันโสดค่ะ”
“ก็ดี… นี่ก็เที่ยงกว่าละ คุณเป็นคนที่ถูกสัมภาษณ์คนสุดท้ายสินะครับ?”
ตายจริง!! นี่เขาคงไม่ว่าหรอกนะที่เราแอบสลับคิวสัมภาษณ์ ไม่ได้นะยัยพิมพ์ แกจะชวดงานที่นี่ไม่ได้ ทั้งเงินดี บอสหล่อ
“เอ่อ …. คือดิฉันไม่ได้มีเจตนานะคะ”
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบเขาก็รีบชิงพูดตัดบทก่อน
“ไม่ได้มีเจตนาอะไรครับ? ” เขารู้แต่เขาก็ทำเป็นไม่รู้ และก็รอดูว่าหญิงสาวหน้าตาใสซื่อคนนี้จะแถต่อว่าอะไร
“คือ….” ยังไงดีล่ะพิมพ์!! “คือว่า…ดิฉันสลับคิวกับผู้เข้าสัมภาษณ์อีกคนจริงๆ ค่ะ”
แน่นอนว่าเขารู้แต่แรกอยู่แล้ว และก็รู้ด้วยว่าอีกคนที่ว่ามีสัมภาษณ์ต่ออีกที่ไหน ชายหนุ่มจึงแกล้งแหย่ถามเพื่อลองใจคนตรงหน้าว่าจะตอบความจริงอีกหรือเปล่า
“คนนั้นเขามีธุระหรอครับ? ”
“เอ่อ ขอโทษนะคะ ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ”
“นึกว่าคุณรู้ซะอีกว่าเธอมีนัดสัมภาษณ์อีกที่”
หญิงสาวหลุบตาลงต่ำไม่กล้าสบตากับเขา
“แล้วคุณพร้อมทำงานเมื่อไหร่? ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าในทันที ตาเบิกโตกับสิ่งที่ได้ฟัง ก่อนจะเก็บอาการดีใจและตอบออกไปว่า
“ทุกเมื่อเลยค่ะ” เธอตอบพร้อมกับสบตาเขาและยิ้มน้อยๆ หัวใจเจ้ากรรมทำไมมันเต้นแรงตุบๆ อยู่ได้นะ อย่านะยัยพิมพ์ อย่ามาวูบวาบอะไรตอนนี้นะ แกจะทำให้ฉันขายขี้หน้าไม่ได้
“ครับ งั้นเชิญคุณพิมพ์นาราตามสบาย เดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่โทรแจ้งอีกทีนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ก่อนจะเอี้ยวตัวและเดินออกประตูไป
“คนสุดท้ายนานเลยนะครับ หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันนะครับ” เสียงของภควินเอ่ยบอกกับผู้สัมภาษณ์คนสุดท้าย
ก๊อกๆ …
…..
…..
ก๊อกๆ …
“ราม!! ราม!! เงียบทำไมวะ จะไปกินมั้ยมื้อเที่ยง นี่มันบ่ายโมงแล้วนะเว้ย ไอ้ราม!!” ภควินเห็นท่าไม่ดีจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปภายในห้องผู้บริหาร
“ราม มึงเป็นไร!!” เขามองดูเพื่อนรักของตัวเองที่ล้มฟุบลงตรงพื้นตัวบิดงอโก้งโค้งนท่างอเข่า มือกุมขมับ มีสีหน้าแดงก่ำเหมือนคนคุมสติตัวเองไม่ได้ ก่อนจะนึกกลับไปถึงเมื่อตอนหกปีก่อน อาการนี้ อาการแบบนี้เลย โรคช็อกที่เกิดจากภาวะสมองรับไม่ทัน หรือเสียใจขั้นรุนแรง (Broken Heart Syndrome)
“อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนเมื่อกี๊เป็นเธอ…!!”
“ราม!!”
“ไอ้รามเว้ย??”
………….
โรงพยาบาล
“อาการคนไข้ก็หายขาดมาสองปีแล้วนะคะ จู่ๆ ทำไมถึงได้มีอาการชักเกร็งแบบนี้อีกล่ะคะ ช่วงนี้คนไข้มีอะไรทำให้กระทบกระเทือนจิตใจไหมคะ?”
แพทย์หญิงประจำตัวของเขาเอ่ยถามกับเพื่อนสนิทอย่างภควิน และสุวัฒน์ ที่ตอนนี้ทั้งคู่ต่างพากันเฝ้าคนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง อาการกำเริบของโรคนี้ของเขา
หายขาดมาสองปีแล้ว แต่จู่ๆ มันก็กำเริบขึ้นมาอีกจนได้
“ปัดตก”
“อะไรวะไอ้วิน ปัดตก กูงง? ”
“ก็ผู้หญิงที่ไอ้รามมันสัมภาษณ์คนสุดท้ายไง กูว่าละ หน้าตาคุ้นๆ ที่ไหนได้คือคนเดียวกันกับผู้หญิงที่มันเคยให้ใจ มึงจำภาพที่มันใช้ตั้งเป็นวอเปเปอร์ได้รึเปล่าวะ!!”
“เฮ้ย!! อย่าบอกนะว่าที่มันกลับมาและมาสัมภาษณ์งานนี้ด้วยตัวเองเพราะมันรู้แต่แรก” ถึงคราวสุวัฒน์พูดบ้าง
“ดูจากรูปการณ์ก็น่าจะใช่ แต่กูว่ากูจะไม่ให้เธอผ่าน อีกอย่างไอ้นี่แม่ง ยังจะแกว่งเท้าหาเสี้ยน ทั้งๆ ที่ตัวเองเจ็บแท้ๆ ”
“มึงว่ามันคิดจะทำอะไรวะวิน? ”
“กูก็ไม่รู้ แต่ถ้าให้กูเดานะ กูคิดว่ามันจะเอาคืนว่ะ แม่งเสียเป็นแสน แขนก็ไม่ได้จับ แล้วตอนนี้มันรวยซะขนาดนี้ ผู้หญิงที่ไหนจะไม่ชอบวะ แต่มึงเชื่อป่ะ ตัวจริงเธอสวยมากนะเว้ย กูเห็นมากับตา กูกลัวมันจะเจ็บอีกว่ะ”
“กูจะไม่ยอมเจ็บอีก!!”
“เฮ๊ย!! เฮ๊ย!!” สองหนุ่มเอ่ยอุทานออกมาพร้อมกัน เมื่อคนป่วยคงแอบฟังที่พวกเขาคุยกันตั้งนานเอ่ยดังขึ้น
“มึงจะไปแค้นฝังใจอะไรขนาดนั้นวะราม กูรู้ว่ามึงเกือบตาย กูรู้ว่ามึงเคยรู้สึกยังไงมาก่อน แต่การแก้แค้นก็รังแต่จะไม่จบไม่สิ้น เผลอๆ มึงเองจะเจ็บ กูไม่ได้ห่วงเธอ แต่กูห่วงมึง มึงดูสภาพของมึงสิ เจอเธอครั้งแรก ก็ต้องหาหมอ แต่มึงดูเธอสินิ่งเฉย ราวกับว่าไม่รู้จักมึง”
คำพูดของเพื่อนยิ่งทำให้ชายหนุ่มเดือดพล่าน
“มึงเลิกพล่ามสักทีได้มั้ยวะไอ้วิน ไปแจ้งหมอมาทำเรื่องออกโรงบาล กูเหม็นกลิ่นโรงบาล”
“เออๆ ”
ทันทีที่ภควินเดินออกไปจ่ายค่าโรงพยาบาล
สุวัฒน์ที่ลอบมองเพื่อนรักด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก สุวัฒน์เป็นคนที่อ่อนไหวและเซ้นซิทีปง่ายที่สุดไม่แพ้กัน เขากลัวว่าธีรากรจะเป็นอะไรไปอีก เขาจำได้ดีในครั้งนั้น ตอนที่เขาพยายามติดต่อโทรหาหญิงสาวในขณะที่เพื่อนรักของตนเองกำลังถูกปั้มหัวใจ จนถึงขั้น ต้องใช้เครื่อง AED กระตุ้นหัวใจ มันเป็นอะไรที่ปวดใจจุกอกอย่างบอกไม่ถูก พวกเขาเกือบเสียเพื่อนไปแล้วครั้งหนึ่ง
“กูไม่ชอบให้มึงทำหน้าเศร้า” เขาเอ่ยกับสุวัฒน์ เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักมีสีหน้ายังไง
“ราม .. กูขอได้มั้ยวะ อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเธออีกเลย มึงไม่รู้หรอก ว่ากูกับไอ้วินกอดคอกันร้องไห้ตอนที่หมอใช้เครื่องช่วยกระตุ้นหัวใจของมึง ตอนนั้นพวกกูเหมือนคนขาดสติเลยนะเว้ย เรามีกันแค่นี้นะเว้ย มึงจะดื่ม จะเกเร จะมั่วหญิงกูไม่ว่า กูขอมึงอย่างเดียว อย่าเอาตัวเองกลับไปวงจรนั้นอีก” สุวัฒน์มองเพื่อนด้วยสีหน้าจริงจัง ในตารื้นคลออย่างเก็บกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
ส่วนภควินที่กำลังจะเปิดประตูเข้ามา เขาก็ทันที่จะได้ยินเหตุการณ์นี้เข้า ความรู้สึกจุกในลำคออย่างบอกไม่ถูก แต่เขาจะทำอะไรได้ ภควินตัดสินใจเปิดประตูเข้ามาและมองหน้าเพื่อนทั้งสอง แต่แล้วธีรากรก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“เออหน่า ครั้งนี้กูโอเค กูจะไม่ตาย โอเคมั้ย” ก่อนจะหันมามองหน้าภควินและพูดต่ออีกว่า “แล้วมึงนะไอ้วิน ก็อย่าไปแคนเซิ่นคนของกู กูให้เธอผ่าน”
“แต่มึงคิดจะทำอะไร มึงบอกพวกกูบ้างนะเว้ย”
“อือ… กูรู้แล้ว”
….
หญิงสาวเหลือบมองดูโทรศัพท์เป็นระยะๆ เพราะวันนี้เป็นอีกวันที่ทุกคนรอคอยผลสัมภาษณ์ เธอเหลือบมองมันอยู่อย่างนั้นแทบจะทุกวินาทีเลยก็ว่าได้ จนในที่สุดเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
ครืนนน …. ครืนนนน ….
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่ะคุณพิมพ์นารา Three Estate Group นะคะ”
“ค่ะ” หญิงสาวตื่นเต้นรอฟังคำตอบจากบริษัทด้วยใจจดจ่อ
“ยินดีด้วยนะคะ คุณพิมพ์นาราผ่านการสัมภาษณ์ในครั้งนี้และอีกสองวันเริ่มงานได้เลยนะคะ ข้อมูลต่างๆ ดิฉันจะส่งให้ทางเมลนะคะ ไม่ทราบว่าคุณพิมพ์นาราสะดวกไหมคะ”
“สะดวกค่ะ สะดวก”
“งั้นรบกวนคุณพิมพ์นาราช่วยเช็คอีเมลด้วยนะคะ ได้รับหรือไม่ได้อย่างไรสามารถแอดไลน์สอบถามได้ตามเบอร์นี้เลยค่ะ ไลน์เขียนว่า ญาฝ่ายบุคคลค่ะ”
“ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
หลังจากที่หญิงสาวกดวางสายไป ก็แทบอยากจะกรี๊ดแรงๆ
“ผ่านสัมภาษณ์แล้วหรอจ๊ะลูก ดูดีอกดีใจเข้าสิ ระวังๆ บ้าง” เสียงของเหมยเอ่ยบอกกับลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอที่เธอรักและหวงแหนเป็นที่สุด พิมพ์นาราเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วมาตั้งแต่กำเนิด อะไรตื่นเต้นนิดหน่อยก็มักจะมีอาการใจเต้นเร็วแรงกว่าคนปกติ และเหนื่อยง่าย แต่นี่ก็ไม่ใช่อุปสรรคในการทำงานของเธอ สมัยนี้ยังดีที่มีหมอเก่งๆ และตอนนี้หญิงสาวก็กำลังตั้งหน้าตั้งตาหาเงินเพื่อมาเปลี่ยนหัวใจเทียมดวงใหม่ สาเหตุที่หญิงสาวขาดบิดาไป เพราะสมัยนั้นทางการแพทย์ยังไม่พัฒนาถึงขั้นนี้ อีกอย่างด้วยฐานะทางบ้านและขาดปัจจัยหลัก ทำให้แม่อย่างเหมยยื้อชีวิตของผู้เป็นพ่อของพิมพ์นาราไว้ไม่ได้
โรคนี้เป็นพันธุกรรม เธอได้รับมาจากพ่อเต็มๆ แต่หญิงสาวก็ใช้ชีวิตได้ดีมาโดยตลอด ดังนั้นแล้วจึงไม่แปลก ที่เธอเป็นคนร่าเริง สดใส มองโลกในแง่ดี เพราะโรคที่เธอเป็นหากคิดร้าย มองในแง่ร้าย มันไม่ส่งผลดีกับเธอเท่าไหร่นัก
“อย่าลืมทานมื้อเช้าล่ะแม่เตรียมไว้ให้แล้ว เดี๋ยวแม่จะไปวัดเลยนะ” เหมยเอ่ยบอกกับลูกสาวสุดที่รักให้ทานมื้อเช้าก่อนเริ่มงานกับบริษัทใหม่ในวันแรก
“ค่ะแม่ ทราบแล้วค่ะค่ะ” เธอเดินมาหอมผู้เป็นแม่ฟ้อดใหญ่ๆ
