ตอนที่ 5 | เข้าใจผิดกันนิดหน่อย
ตอนที่ 5 เข้าใจผิดกันนิดหน่อย
ผับ Nice
20:30 น.
บรรดาการ์ดชุดดำร่างใหญ่ต่างโค้งศีรษะทำความเคารพลูกสาวมาเฟียใหญ่เจ้าของผับ เธออยู่ในชุดสบาย ๆ เสื้อแขนยาวสีขาวและกางเกงยีนเอวสูง เดินบนรองเท้าผ้าใบเข้ามาทางหลังร้านพร้อมกับกระเป๋าสะพายข้างแบรนด์เนมคู่ใจ เธอส่งยิ้มหวานพลางพยักหน้ารับทุกคนที่ทำความเคารพอย่างใจดี ใบหน้าเรียวสวยไร้ที่ติของเธอ เป็นที่สะดุดตาผู้พบเห็น โดยเฉพาะผู้ชาย ไม่เว้นกระทั่งผู้หญิงด้วยกันเอง
“คุณหนู” นิวารินเดินมาถึงโซนด้านในผับ ที่เต็มไปด้วยแสงสี และ เสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม แต่ต้องหยุดอยู่กับที่ เมื่อหญิงสาวชุดดำหน้าตาสะสวยบอดี้การ์ดส่วนตัว ซึ่งอายุมากกว่าสามปี โค้งศีรษะทำความเคารพ ทันทีที่เธอพยักหน้ารับ เจ้าของร่างเพรียวอยู่ในลุคเท่ ๆ ก็เดินนำไปยังชั้นสามของผับ เป็นพื้นที่ของเจ้าของผับ มีเพียงคนสนิท และ คนรู้จักเท่านั้นที่สามารถขึ้นไปได้
“พี่เคทเลิกงานได้เลยนะคะ วันนี้เจจะไปส่งนิลที่บ้านค่ะ” กล่าวบอกเมื่อเดินมาถึงห้องทำงานเจ้าของผับ ซึ่งทั้งชั้นเต็มไปด้วยการ์ดร่างใหญ่ชุดดำ ยากที่คนนอกจะผ่านเข้ามาได้ง่าย ๆ
“ขอบคุณค่ะ” เคทโค้งศีรษะน้อมรับคำสั่งด้วยท่าทีที่นิ่ง ๆ ตามบุคลิกและนิสัย ที่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว
เมื่อบอดี้การ์ดส่วนตัวเดินจากไป นิวารินจึงเปิดประตูเดินเข้าห้องทำงาน เธอใช้เวลาศึกษารายละเอียดงานในผับ ราว ๆ หนึ่งชั่วโมง จึงเดินออกไปสูดอากาศที่ชั้นดาดฟ้าของผับ ซึ่งบรรยากาศเย็นสบายและเสียงรบกวนค่อนข้างน้อย
ตึก!
ตึก!
เสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ดึงหญิงสาวออกจากภวังค์ความคิด ริมฝีปากจิ้มลิ้มอมชมพูถูกคลี่ออกบาง ๆ เพราะคิดว่าเป็นลูกชายเพื่อนพ่อที่อายุยี่สิบห้าปีเท่ากัน แต่รอยยิ้มนั้นต้องหุบเป็นเส้นตรงทันที เมื่อหันหลังกลับไปมอง…
ชายหนุ่มร่างกำยำ ใบหน้าหล่อเหล่า จมูกโด่งเป็นสัน อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว ท่อนล่างสวมกางเกงสีดำ รองเท้าผ้าใบ เดินล้วงกระเป๋ากางเกงเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แต่จู่ ๆ หัวใจเธอก็เต้นเร็วขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“คุณเป็นใคร แล้วขึ้นมาที่นี่ได้ยังไง” เอ่ยถามออกไปทันทีเมื่อสติกลับมา การที่ใครจะขึ้นมาชั้นดาดฟ้าได้ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของผับ หรือ เป็นคนสนิทของเจ้าของผับเท่านั้น แต่ทำไมผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ถึงขึ้นมาได้ อีกทั้งเธอยังรู้สึกคุ้นตา เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน
เจ้าของใบหน้าหล่อไม่ตอบในทันที เดินมาหยุดตรงหน้าหญิงสาว ที่ไม่มีท่าทีหวาดระแวงเลยแม้แต่น้อย กลับกล้าประจันกับคนแปลกหน้าอย่างไม่กลัวอันตราย
“ว่ายังไง?” นิวารินถามย้ำอีกครั้ง เมื่อยังไม่ได้คำตอบจากชายแปลกหน้า
“อยากรู้จักผมขนาดนั้นเลยเหรอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเชิงป่วนประสาท ทำเอานิวารินขมวดคิ้ว เดาไม่ออกถึงเจตนาของชายหนุ่ม ที่มองเธอราวกับศัตรู
หญิงสาวถอนหายใจ ไม่อยากต่อบทสนทนากับคนไม่รู้จัก และ ดูโรคจิต เข้าถึงยาก จึงเลือกที่จะเดินหนี แต่ทว่า…
หมับ!
“อ๊ะ!” ข้อมือถูกกระชากอย่างแรงในจังหวะที่เดินผ่านผู้ชายคนนั้น ส่งผลให้ทั้งร่างเซถลาไปตามแรงที่มากกว่าจนแนบชิดกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ กลิ่นน้ำหอม สดชื่น สะอาดบนร่างกำยำพลันโชยแตะจมูกโดยบังเอิญ ทำเอาหัวใจเต้นแรงระส่ำกว่าเดิมคล้ายกับจะหลุดออกมาจากเบ้าให้ได้
ผลัก! ไม่รอช้าที่เธอจะผลักไสแผงอกแกร่งให้ออกห่างทันควัน แต่แรงบีบจากมือหนายังทำให้รู้สึกเจ็บปวด
“ปล่อยฉัน!”
“คุยกันก่อนสิ จะรีบไปไหน”
“ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับคุณ!!” พยายามสะบัดมือหนาให้หลุด ทว่ากลับไม่เป็นผล ผู้ชายคนนี้โรคจิตแน่ ๆ
“เพราะเธอ! นิวาริน” ภูตะวันกัดฟันพูดพลางคว้าข้อมืออีกข้างของผู้หญิงที่ทำให้เมียตายขึ้นมาบีบแน่น แววตานิ่งแปลเปลี่ยนเป็นแววตาดุร้ายทันควัน ความแค้นที่พยายามข่มเอาไว้ปะทุออกมาอย่างง่ายดาย เมื่ออยู่ใกล้ฆาตกรสองต่อสองนาน ๆ ทำเอานิวารินงุนงงเข้าไปใหญ่ ไม่รู้คนป่าเถื่อนตรงหน้ารู้จักชื่อเธอได้อย่างไร และ ไม่เข้าใจความหมายที่เขากำลังจะสื่อ ทว่าได้มองใบหน้าหล่อใกล้ ๆ แบบนี้ เธอจึงจำได้….
“คุณนี่เอง” ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือคนเดียวกันกับคนที่ขับรถปาดหน้าเมื่อวันก่อน แต่ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ความสงสัยเหล่านั้นสลายหายไป เมื่อมือหนาเพิ่มแรงบีบเป็นสองเท่า คล้ายต้องการให้กระดูกของเธอแหลกเป็นชิ้น ๆ
“เธอต้องชดใช้!”
หมับ!
“อึก!” ไม่ทันทีที่หญิงสาวจะได้ตอบโต้หรือตั้งตัว ทว่ามือหนาปล่อยจากข้อมือข้างซ้าย บีบเข้าที่ต้นคอเล็กแทนอย่างป่าเถื่อน จนเธอรู้สึกทั้งเจ็บทั้งจุก หายใจไม่ออกในเวลาเดียวกัน แต่วินาทีนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นช่วยชีวิต…
“นิล” จังหวะที่ภูตะวันเผลอมองไปที่เสียงนั้น เนนิลจึงรอบรวมแรงทั้งหมดปัดมือหนาออกจากลำคอ แล้วสะบัดข้อมือที่ถูกบีบพร้อมกับถอยห่างออกจากอันตรายอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ มือบางลูปคอตัวเองปอย ๆ
“เจ” เจ้าของใบหน้าเรียวสวยได้รูปกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งพลางเร่งฝีเท้าเดินไปหาลูกชายเพื่อนพ่อที่อายุเท่ากันทันที ส่วนภูตะวันกัดฟันดังกรอดจนเห็นเป็นสันกราม แววตาดำมืดจ้องมองหญิงสาวด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความแค้นอย่างเปิดเผย
“ผู้ชายคนนั้นมันทำอะไรนิล” คิ้วหนาหม่นเข้าหากันเป็นปม สีหน้าลูกสาวเพื่อนพ่อเวลานี้ซีดราวกับไข่ต้ม อีกทั้งรอบคอยังมีรอยแดงเป็นฝืด
“เปล่า มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย”
“แน่ใจ?” พีเจเอ่ยถามอย่างไม่ปักใจเชื่อพลางตวัดสายตามองไปยังผู้ชายแปลกหน้าที่ดูไม่เป็นมิตรกำลังเดินตรงมาอย่างเอาเรื่อง
“อือ” ตอบไปอย่างนั้นเพราะเธอไม่อยากมีปัญหาหรือให้เรื่องบานปลาย รู้ดีหากพูดความจริงจะเกิดอะไรขึ้นกับคน…คนนั้น ผู้ชายป่าเถื่อนปราดตามองมาที่เธอด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความเกลียดชังแวบหนึ่งก่อนจะเดินผ่านไป
“เพื่อนหรือแฟน?” พีเจไม่รีรอที่จะยิงคำถาม
“คนรู้จักน่ะ”
“แค่คนรู้จัก แล้วขึ้นมาที่นี่ได้ยังไง เธอชวนมันเหรอ”
“ช่างเถอะเจ ว่าแต่ทำไมมาช้าจัง” เนนิลตอบปัด ๆ ไป แล้วตั้งคำถามเบี่ยงประเด็นแทนพลางเดินไปหย่อนสะโพกนั่งบนเก้าอี้เหล็ก แต่ในหัวกลับครุ่นคิดถึงผู้ชายคนนั้นไม่หยุด เขาพูดมีเลศนัยชวนให้สงสัย
“ติดธุระนิดหน่อยน่ะ” พีเจตอบพร้อมกับเดินตามลูกสาวเพื่อนพ่อไปนั่งบนเก้าอี้เหล็กตรงข้ามกัน
“…”
พรึ่บ!
โซฟาตัวยาวสำหรับโต๊ะวีไอพียุบตามแรงกระแทกตัวนั่งของภูตะวัน
“มึงหายไปไหนตั้งนานวะไอ้ภู” ปริญถามด้วยความอยากรู้ ภูตะวันขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แต่หายตัวไปเกือบชั่วโมง
“มึงคงไม่ไป…” องศาเหยียดยิ้มมุมปากพลางเลิกคิ้วขึ้น ประสานมือเข้าหากันแล้วหุบเข้าหุบออกเหมือนท่าปรบมือแทนคำพูด สื่อถึงเรื่องอย่างว่า
“หน้ามันบอกบุญไม่รับขนาดนั้น คงไปทำเรื่องที่มึงคิดหรอกไอ้องค์”
“องศา!” องศาเน้นพูดชื่อตัวเองเต็ม ๆ เรียกแค่องค์แล้วหมดมาดนักธุรกิจหน้าตาหล่อ ๆ แบบนี้หมด ปริญไม่สนใจเบนสายตาไปที่ภูตะวัน ที่เอาแต่นั่งทำหน้าถมึงทึงเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จา
“มึงไปเจอลูกสาวเจ้าของผับมาเหรอวะ?” เจตนาของเพื่อนสนิทที่เลือกผับนี้ตั้งแต่แรกเดาได้ไม่ยาก
“การ์ดเยอะขนาดนั้นมึงเข้าไปไงวะ” ความเงียบของภูตะวันคือคำตอบ
“ก็ไม่ได้ยากหนิ” ภูตะวันตวัดสายตาไปที่พนักงานเสิร์ฟชาย แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสีดำ สวมผ้ากันเปื้อน ใช้สายตาตอบคำถามแทนคำพูด
-----------------------
