๓ เราเป็นแฟนกัน (๓)
เพียงไม่นานก็เห็นรูปของนิราและประวัติส่วนตัว แต่ท่านไม่ต้องการอ่านอย่างอื่นนอกจากนามสกุล ผู้กำกับชื่อดังถึงกับยกมือปิดปากด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าความเหมือนของคนทั้งสองที่ทำให้ตนหวนนึกถึงอดีต
แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...
“นิรา ปรานต์ระวีร์...รินลดา ปรานต์ระวีร์...ไม่จริง” ส่ายหน้าไม่ยอมรับทั้งที่เชื่อหมดหัวใจว่าหล่อนเป็นใคร
นิรา...เป็นลูกสาวของเขา!
ร่างสูงขับรถไปรอหล่อนอยู่เส้นทางที่ห่างจากกองถ่ายพอสมควร ก่อนออกมาก็เห็นว่าเธอเดินเข้าไปหาผู้กำกับแล้วคุยกันครู่หนึ่ง เขาไม่ได้มองว่านานแค่ไหนเพราะต้องออกมารอหญิงสาวอยู่ทางข้างหน้า ไม่นานนักนิราก็เดินมายังที่นัดหมายแล้วเปิดประตูข้างคนขับ นั่งเบาะนุ่มอย่างสบายอุรา
“เมื่อกี้ไปคุยกับอาฉัตรมาเหรอ” ขับรถเพื่อไปส่งหล่อนที่คอนโดมิเนียมพลางเหลือบมองแฟนสาว เปิดประเด็นที่สงสัย
“เปล่าค่ะ พอดีนิลืมกระเป๋าสตางค์ไว้แล้วอาฉัตรเก็บได้พอดี...” บอกโดยไม่ปิดบังแต่ก็ไม่ได้ขยายความมากกว่านั้น
เขาพยักหน้าไม่เซ้าซี้อะไรอีก ในหัวคิดแต่เรื่องที่จะทำให้คนข้างกายยอมสิโรราบแต่โดยดี เวลาล่วงเลยไปหลายวันแล้ว สถานะของอัทธ์กับผู้หญิงคนนั้นก็พัฒนาพอสมควร เมื่อวานไปร้านอาหารเพื่อพบปะสังสรรค์ อีกฝ่ายก็พาเจ้าหล่อนมาด้วย
ดูท่าเขาอาจจะแพ้ในเกมการแข่งขันครั้งนี้ ซึ่งธามนิธิยอมไม่ได้เด็ดขาด เดินทางมาไกลเอาตัวลงไปเล่น อย่างไรก็ต้องคว้าชัยชนะมาครอบครอง
โดยที่เขาไม่ได้นึกถึงใจของหล่อนเลยสักนิดว่าจะเป็นอย่างไรหากทราบความจริง
“อ้อ แค่กๆ” ยกมือปิดปากขณะที่ไอ เธอเห็นอย่างนั้นก็รีบเอามืออังหน้าผากเขาทันที พบว่าตัวของชายหนุ่มร้อนกว่าปกติ
“พี่ธามไม่สบายเหรอ” ถามด้วยความเป็นห่วง
ธามนิธิได้โอกาสก็รีบแสดงความอ่อนแอออกมาทันที ทำหน้าเหนื่อยแล้วงัดศาสตร์การแสดงที่ร่ำเรียนมาใช้ ยามอยู่กับหล่อนเขาแทบไม่รู้ว่าตนกำลังแสดงละครหรือเป็นความรู้สึกจริงกันแน่
แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นความอยากเอาชนะเพื่อน...
นิราไม่ได้มีเสน่ห์มากจนเขาจะตกหลุมรักหรอก ผู้หญิงสวยกว่าหล่อนแสนดีกว่านี้ก็มีมาก เธอก็เป็นแค่หมากในเกมที่ทำให้เขาได้รับชัยชนะเหนือคู่แข่งก็เท่านั้น
“อืม ครั่นเนื้อครั่นตัวยังไงไม่รู้ คืนนี้พี่ไปนอนห้องนินะ พี่ไม่อยากอยู่คนเดียวตอนไม่สบาย”
ใช้ความอ่อนแอเข้าช่วยเพื่อขอไปนอนกับเธอ สถานะของเราพัฒนาจากคนรู้จักมาเป็นแฟนเกือบสามสัปดาห์แล้ว ทว่าเขาทำเพียงแค่จับมือและหอมแก้มในบางครั้งเท่านั้น ยังไม่เคยล่วงเกินหล่อนสักครั้ง
มันถึงเวลาแล้วที่จะทำทุกอย่างให้เป็นไปตามที่ควรจะเป็นสักที
“ได้ค่ะ เผื่อนิจะได้ช่วยดูแลตอนกลางคืน” ตกหลุมพรางหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์เพราะเป็นห่วงเขา ไม่ได้คิดไตร่ตรองถี่ถ้วน โดยที่ดาราเจ้าบทบาทก็แสร้งทำหน้าอ่อนแอแนบเนียน เหมือนคนป่วยจริงทั้งที่เพิ่งกินใบแก้วไปทั้งแผง
“ขอบคุณครับ”
ขับรถถึงคอนโดมิเนียมของหล่อนก็รีบหยิบหน้ากากอนามัยมาสวม พร้อมหมวกและแว่นตาพร้อม พยายามก้มหน้าก้มตาไม่สบตากับใคร แต่ด้วยส่วนสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรก็ตกเป็นจุดสนใจได้ไม่ยาก
โชคดีที่ตอนนี้ไม่ค่อยมีคน จึงรีบเข้าลิฟต์แล้วยืนมุมอับ ไม่นานกล่องโดยสารก็เลื่อนมาถึงชั้นที่พักของหล่อน ประตูเปิดออกพร้อมคนทั้งสองที่เดินเคียงกัน เขาแอบยิ้มมุมปากภายใต้หน้ากากที่บดบังใบหน้าเอาไว้
ไม่ว่าอย่างไรคืนนี้ต้องเผด็จศึกให้ได้ เรื่องราวทุกอย่างจะได้จบลงเสียที
“ง่วงเหรอคะ”
เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนขนาดสามสิบสองตารางเมตรก่อนจะพบว่าทุกอย่างจัดไว้เป็นสัดส่วน ห้องนอนที่มีกระจกบานเลื่อนกั้นเอาไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว โซฟาตัวยาวตั้งอยู่ตรงข้ามกับจอโทรทัศน์ มีห้องครัวขนาดเล็กซึ่งติดกับห้องน้ำ
โทนสีที่ใช้ก็เป็นเหลืองปนชมพูตามความชอบเจ้าของห้อง กวาดตามองรอบเดียวก็สำรวจได้ทั่วทุกพื้นที่ ร่างสูงจึงเลือกนั่งลงบนโซฟานุ่มที่ไม่ค่อยยาวเท่าไหร่นัก แสร้งเอนกายพิงพนักพลางหลับตาเหมือนเหนื่อยนักหนา
“ครับ” บอกเสียงเรียบ
เธอเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งเป็นห่วงเขามากกว่าเดิม เดินไปยังโซนครัวแล้วหยิบขนมปังมาทาเนยแล้วปิ้งให้เขากิน คู่กับน้ำส้มคั้นสดที่ตนทำติดตู้เย็นเอาไว้ ไม่นานก็พร้อมเสิร์ฟจึงเดินเข้ามาหาร่างสูง วางอาหารไว้ที่โต๊ะเล็กตรงหน้าเขา ก่อนเดินไปหยิบยาในกล่องยาสามัญประจำบ้านมายื่นให้อีกฝ่าย
“งั้นกินขนมปังก่อนกินยาค่อยนอนนะ ตัวเริ่มร้อนแล้วนี่น่า” ใช้มืออังหน้าผากเขาอีกครั้ง พบว่ามันเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งกังวล
“พรุ่งนี้ไม่ต้องไปกอง พี่ขอนอนทั้งวันเลยได้ไหม”
หยิบขนมปังขึ้นมากัดกินจนหมด ตามด้วยยาที่หล่อนเอามาให้ นิราเห็นอย่างนั้นค่อยเบาใจขึ้นมาหน่อย แล้วค่อยตอบร่างสูงที่เอ่ยขอร้องเพื่อจะได้นอนที่นี่แม้จะไม่มีชุดมาเปลี่ยนก็ตาม
“ตามสบายเลยค่ะคุณชาย จะนอนเลยไปถึงวันมะรืนก็ได้ไม่มีใครว่าหรอก”
“ฝันดีครับ” คิดจะนอนอยู่โซฟาแต่เธอก็รีบดึงแขนหนาเอาไว้ แล้วส่งสายตาดุให้คนตัวโตราวกับว่าเขาเป็นเด็กน้อย
“ไปนอนในห้องค่ะ มานอนตรงนี้ได้ยังไง”
“ขี้เกียจ” พึมพำเสียงเบา ตาปิดคล้ายจะหลับอยู่รอมร่อ
หล่อนส่ายศีรษะระอา แล้วดึงเขาให้ลุกขึ้น สั่งเสียงเข้มจนพระเอกหนุ่มต้องยอมทำตามอย่างเสียไม่ได้ “นอนในห้องค่ะ” ลุกจากโซฟาแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนของเธอ ถอดเสื้อคลุมออกพร้อมล้มตัวลงบนฟูกนุ่ม ห่มผ้าที่มีกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มอ่อนๆ สูดกลิ่นหอมเข้าปอดก็นึกสนชื่น
เขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้มานอนในห้องที่เล็กเท่าห้องน้ำบ้านใหญ่ แต่กลับไม่ได้น่าอึดอัดเท่าไหร่ เหลือบมองเจ้าของห้องที่เดินเก็บจานชามไปล้าง พลางเหลียวมองเขาเป็นระยะเพื่อเช็คว่านอนหลับหรือยัง
ทำอย่างกับเป็นครูอนุบาลก็ไม่ปาน...
แต่ไม่นานคนที่แกล้งว่าพิษไข้กำลังเล่นงานก็เข้าสู่ห้วงนิทราจากความเหนื่อยที่สะสม ร่างบางเดินเข้ามาวัดไข้เขาพบว่าจากที่ตัวร้อนก็เริ่มเย็นลงแล้ว
“ไข้ลดเร็วขนาดนี้เลยเหรอ” พึมพำกับตัวเองแล้วเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้
ทำงานมาทั้งวันเริ่มเหนื่อย จึงอยากชำระร่างกายแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างบ้าง เธอสวมเสื้อยืดกับกางเกงผ้านิ่มขายาว อาบน้ำถูสบู่จนหอมจึงได้เดินมาวัดไข้คนที่หลับอุตุอีกรอบ คราวนี้อุณหภูมิร่างกายของเขากลับมาเป็นปกติ ปากอวบอิ่มยกยิ้มพึงพอใจ
มองพื้นที่ว่างพอจะให้ตนนอนได้ก็ค่อยนั่งบนเตียงเสียงเบา เลิกผ้าห่มขึ้นแล้วมองร่างสูงที่นอนตะแคงอยู่ในห้วงแห่งฝันอย่างนึกเอ็นดู ตอนเขาหลับเหมือนเด็กน้อยไม่มีผิดจนเธอเผลอมองอยู่นานสองนาน
ใครจะคิดว่าวันหนึ่งเธอจะเป็นแฟนกับซุปเปอร์สตาร์ได้ หากบอกเพื่อนก็คงไม่เชื่ออย่างแน่นอน ขนาดตนยังคิดว่ามันคือความฝันเลย
แต่คนตรงหน้าคือความจริง...
ตอนนี้หล่อนอยู่กับเขา ได้เรียนรู้กันและกัน ยิ่งรู้จักความรู้สึกก็ท้วมท้นจนไม่อยากเชื่อว่าจะรักธามนิธิได้มากขนาดนี้
เขาเองก็รักเธอเหมือนกัน ดูท่าว่าจะรักมากกว่าด้วย
ความสัมพันธ์พัฒนาไปในทางที่ดี และเธอก็อยากให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไป เพราะไม่อาจทนรับความเจ็บปวดได้หากวันหนึ่งเราต้องเลิกรากัน
