ตอนที่11
สิบสามปีต่อมา...
ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง ดีกรีจบปริญญาตรีจากต่างประเทศและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย ครอบครัวของเขามั่งคั่งและร่ำรวยมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ธุรกิจทางบ้านก็เป็นไปได้สวยแทบจะไม่มีตรงไหนติดขัด ยกเว้นอย่างเดียวคือเขาไม่ยอมแต่งงานมีลูกสืบสกุลเสียที
"ตาปราบเมื่อไหร่แกจะมีเหลนให้ปู่สักที" ผู้เป็นปู่เริ่มโวยวายเมื่อหลานชายแสนเจ้าชู้ไม่ยอมมีคนรักเป็นฝั่งเป็นฝา
"ทำไมต้องผมด้วยล่ะครับ?"
"แล้วฉันมีหลานกี่คนล่ะ"
"ก็ผมยังไม่อยากมีลูกนี่ครับ" ชายหนุ่มตอบหน้านิ่ง เขาคือปราบหรือปุริณหลานชายเพียงคนเดียวของเจ้าสัวประทีป เจ้าของธุรกิจส่งออกพันธุ์ข้าวที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้
"นี่ถ้าพ่อแกยังอยู่ฉันคงบังคับให้มีหลานอีกคนแล้ว" เจ้าสัวประทีปเอ่ยถึงลูกชายของตนที่ป่วยเป็นโรคร้ายแต่ไม่ยอมบอกใคร จนเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน
เหตุผลที่ลูกชายไม่ยอมรับตำแหน่งประธานบริษัทนั่นเป็นเพราะเจ้าตัวรู้ว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน ประทินจึงปฏิเสธหัวชนฝามาตลอดเพื่อรอให้ลูกชายของตัวเองเรียนจบแล้วกลับมารับตำแหน่งแทน
"อยากมีคนสืบสกุลขนาดนั้นทำไมคุณปู่ไม่ทำเองเลยล่ะครับ ไปเรียกอีหนูในคลังที่ปู่เก็บไว้สิครับ" ปุริณไม่ค่อยจะลงรอยกับปู่ของตนมากนัก เพราะโดนท่านชอบเหน็บแนมอยู่เป็นประจำ
"ไอ้นี่! ฉันจะมีหลานอย่างแกไปเพื่ออะไร ไร้ประโยชน์สิ้นดี"
"ผมก็ทำงานต่อจากปู่อยู่นี่ไงครับ" ปุริณเถียงกลับอย่างไม่ยอม เขาถูกเรียกตัวกลับมาทันทีหลังจากที่พ่อของตนเสียไปเพื่อให้มารับตำแหน่งประธานต่อจากปู่ที่อายุมากแล้ว ด้วยวัยที่ยังต้องร่ำเรียนทำให้เขาต้องทำงานและเรียนไปพร้อมกันจนสามารถจบปริญญาโทได้ในที่สุด
"ไปมีลูกซะ!"
"เฮ้อ! ผมไปก่อนนะครับ" ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน ปู่ของเขาเล่นไม่ฟังอะไรเลยนอกจากไล่ให้ไปมีลูกเพื่อสืบสกุลอย่างเดียว
"นุวัฒิ" เมื่อหลานชายออกไปคนสูงวัยก็เอ่ยเรียกมือขวาคนสนิทของตนให้เข้ามา
"ครับท่าน"
"คนที่ฉันให้ตามหาล่ะ ไปถึงไหนแล้ว"
"ยังไม่เจอเลยครับท่าน ผมให้คนไปที่เกาะทุกปีเพราะคิดว่าเธอจะกลับมา แต่ก็ไร้ร่องรอยครับท่าน" คนสนิทรายงานเรื่องที่ตามสืบอย่างลับๆ มาตลอดหลายปีให้ทราบ
เจ้าสัวประทีปกลับไปที่เกาะอีกครั้งเมื่อนานมาแล้ว ทว่าเขาไม่เจอเด็กสาวคนนั้นอีกพอถามจากชาวบ้านในเกาะ ทุกคนก็ให้ข้อมูลว่าหลังจากตนกลับไปได้ไม่นาน บนเกาะก็พบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ หนึ่งในนั้นคือนายชัยคนที่เคยช่วยชีวิตตนไว้ ส่วนลูกสาวของนายชัยถูกส่งตัวไปอยู่บ้านเด็กกำพร้าและไม่เคยมีใครเห็นเธออีกเลย
"หรือเราควรจะเลิกตามหาเธอดีครับท่าน"
"ไม่ได้หรอก ฉันสัญญาไว้แล้วว่าจะต้องเจอกันอีกครั้งให้ได้ก่อนฉันจะตาย" เจ้าสัวประทีปเอ่ยอย่างปลงตก แม้จะให้คนสนิทจ้างนักสืบเพื่อตามหาเด็กสาวคนหนึ่งมาตลอดสิบปี แต่ก็คว้าน้ำเหลวกลับมาทุกครั้ง
เด็กสาวที่เคยช่วยชีวิตคนเกือบจมน้ำตายอย่างเขาให้รอดมาได้ถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าอย่างไรสักครั้งหนึ่งก่อนหมดลมหายใจ เจ้าสัวประทีปต้องได้เจอเธอคนนั้นเสียก่อน
"หรือเราควรจะประกาศออกสื่อเพื่อตามหาครับท่าน สมัยนี้สื่อมันไวจะตาย ถ้าเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ต้องมาหาท่านแน่นอนครับ"
"แล้วถ้าเป็นคนอื่นเนียนเข้ามาล่ะ เวลาตั้งสิบกว่าปีแล้วนะ เด็กคนนั้นจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ไม่รู้"
"ท่านพอจำลักษณะเด่นหรือมีของสำคัญที่เคยให้เด็กคนนั้นไว้ไหมครับ" คนสนิทเอ่ยถามชายสูงวัยที่ความจำไม่ได้ดีเหมือนแต่ก่อน
"อืม..เหมือนจะเคยนะ มันผ่านมานานแล้วฉันก็จำไม่ค่อยได้ว่าให้อะไรเด็กคนนั้นไป" เจ้าสัวประทีปนั่งนึกอยู่พักใหญ่ พออายุมากขึ้นความจำก็ค่อยเลือนลาง แต่โชคดีที่ยังจำครอบครัวที่ช่วยชีวิตตนไว้ได้
"ผมว่าเราลองใช้สื่อเพื่อตามหาเถอะครับ ผมเชื่อว่าท่านต้องจำเด็กคนนั้นได้แน่ครับ"
"เอางั้นก็ได้ ฉันจะลองทำตามวิธีที่นายว่าก็ได้" เจ้าสัวประทีปพยักหน้าเห็นด้วย ในเมื่อพยายามตามหามาหลายปีแต่ไม่มีอะไรคืบหน้าสักอย่าง เห็นทีคงต้องประกาศโต้งๆ ออกสื่อเสียแล้ว
ด้านปุริณซึ่งเป็นหลานชายทำทีเหมือนออกไปแล้ว แต่ความจริงเขาแอบฟังคุณปู่คุยกับคนสนิทอยู่หน้าห้อง เขาไม่รู้ว่าปู่จะตามหาเด็กคนนั้นไปเพื่ออะไร ในเมื่อเรื่องมันก็ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว
"ยังไม่ล้มเลิกอีกเหรอ เห็นคว้าน้ำเหลวทุกที"
"อ้าว! คุณปราบมาทำอะไรตรงนี้ครับ" นายนุวัฒิคนสนิทเจ้าสัวประทีปเดินออกมาเจอหลานชายของเจ้าสัวกำลังบ่นพึมพำอะไรบางอย่างเข้า
"ลุงนุวัฒิครับ ปู่ยังไม่เลิกตามหาเด็กคนนั้นอีกเหรอครับ" ชายหนุ่มเอ่ยถามคนสนิทของปู่ซึ่งเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง
"ครับ ท่านบอกว่าอยากเจอให้ได้สักครั้งก่อนจะ.." ชายวัยเลขหกพูดแล้วเงียบเสียงลง ใบหน้าก้มสลดไม่กล้าพูดคำนั้นออกมา
"เฮ้อ! แต่มันก็สิบกว่าปีแล้วนะครับ ถ้าเกิดตอนนี้เด็กคนนั้นไม่มีชีวิตอยู่แล้วล่ะครับ"
"เรื่องนั้นผมก็เคยเรียนให้ท่านทราบแล้วครับ แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อเลยครับ ท่านบอกว่าท่านเชื่อว่าเธอยังมีชีวิตอยู่" นายนุวัฒิเองก็ปลงตกเช่นกัน ชีวิตหลังเกษียณงานบริษัทกลับต้องมาตามหาเด็กผู้หญิงที่ไม่มีแม้แต่รูปถ่ายและรู้เพียงแค่ชื่อเท่านั้น
"จะตามหาจนกว่าจะได้เจอสินะครับ"
"ครับ ตอนนี้สุขภาพท่านก็แย่ลงทุกวัน ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถครับ" คนสนิทแสนจงรักไม่หยุดตามหาเช่นกัน หากนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เจ้านายต้องการเขาก็จะพยายามอย่างเต็มที่
"เพราะอาให้ท้ายคุณปู่แบบนี้ไงครับ แต่เอาเถอะอยากตามหาก็หาไป" ปุริณส่ายหน้าน้อยๆ ให้คนตรงหน้าที่ภักดีกับปู่เขาเสียเหลือเกิน
"ครับ ผมจะลองตามหาในสื่อใหญ่ๆ ครับ"
"ผมมีเบอร์เพื่อนที่เป็นเจ้าของสื่อโทรทัศน์ เอาไว้จะส่งให้นะครับ คุณอาจะได้ไม่ต้องเหนื่อย"
"ขอบคุณครับคุณปราบ" นายนุวัฒิก้มหัวให้ชายหนุ่มรุ่นลูกได้อย่างไม่มีอคติ เพราะเขาคือหลานของเจ้าสัวก็เปรียบเสมือนเจ้านายของตนเช่นกัน
"ครับๆ" ปุริณดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่เขากลับคอยสนับสนุนอยู่ด้านหลังเสมอ ถึงจะไม่ค่อยลงรอยกับปู่ของตน ทว่าอย่างไรท่านก็คือปู่ของเขา จะให้เมินเฉยก็คงไม่ได้
ขายาวก้าวเท้าออกจากบ้านหลังใหญ่ตรงปรี่ไปยังสถานที่ที่เขามักจะมาเป็นประจำหลังเลิกงาน สถานเริงรมย์สำหรับชายโสดเช่นเขา
บริเวณชั้นสองของผับหรูซึ่งเป็นโซนสำหรับแขก VIP หรือเหล่าลูกหลานคนมีเงินเท่านั้นที่จองได้ แน่นอนว่าปุริณเลือกที่จะนั่งตรงนี้เพื่อความเป็นส่วนตัว เขาชอบสถานบันเทิงแต่ไม่ชอบความวุ่นวายของฝูงชนคนหมู่มาก
"ปราบขาา ทำไมพักนี้ไม่เรียกหาองุ่นบ้างล่ะคะ เราเคยสนุกกันไม่ใช่เหรอ" หญิงสาวคนหนึ่งเข้ามานัวเนียออดอ้อนให้เขาพาเธอไปขึ้นเตียงในคืนนี้
"ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยว่างน่ะ"
