บทที่ 5 เหตุการณ์เลวร้าย
หลังจากวันนั้นผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ลูกหว้าพยายามเลี่ยงการไปไหนมาไหนสองต่อสองกับเจ้านายหนุ่ม เพราะไม่อยากมีปัญหากับคู่ควงของกองทัพ บางวันคนที่มาหาเขาไม่เคยซ้ำหน้าเลย จนเธอนั่งทำงานในห้องร่วมกับเขารู้สึกรำคาญแทน
“พี่ทัพคะ เย็นนี้ว่างไหม”
“ไม่ว่าง” เอ่ยตอบขณะสายตาคมกริบจับจ้องร่างอรชรของลูกหว้า ใจหนึ่งอยากให้เธอหึงแต่อีกฝ่ายเงียบเกิน
“มองอะไรคะ ฟองอยู่นี่” มือเรียวจับใบหน้าคมคายให้หันมามองตัวเอง
“อองฟอง เธอกลับไปได้แล้ว”
“ทำไมคะ พี่ทัพไม่สนใจฟองแล้วเหรอ” แสร้งบีบน้ำตา แล้วหย่อนก้นนั่งบนตักแกร่ง
“คุณกองทัพ เอกสารที่คุณต้องการเสร็จเรียบร้อยแล้ว” ลูกหว้าวางแฟ้มเอกสารบนโต๊ะ แทรกบทสนทนาระหว่างกองทัพกับอองฟองทำให้คนบนตักแกร่งหันขวับมองเธอ จ้องเขม็งอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
“นี่เธอ! ไม่เห็นเหรอว่าฉันคุยกับพี่ทัพอยู่”
“ขอโทษค่ะ แต่นี่เวลาทำงานหวังว่าจะเข้าใจ”
“เธอจะบอกว่าฉันเป็นคนไม่มีการมีงานทำเหรอ”
“แล้วแต่จะคิด ขอตัวก่อนค่ะ” เอ่ยตอบเสียงเรียบ หมุนตัวกลับไปยังโต๊ะทำงาน
“พี่ทัพ ผู้หญิงคนนั้นมันว่าฟอง” ไม่รอช้าจะฟ้องชายหนุ่มหวังให้ตำหนิลูกหว้า แต่คำตอบที่ได้รับทำเอาหน้าเจื่อน
“กลับไปได้แล้ว ฉันมีงานต้องทำ”
“พี่ทัพ”
“กลับไป!! อย่าให้พูดหลายรอบ” พูดเสียงเข้ม
“ก็ได้ค่ะ” อองฟองเดินกระฟัดกระเฟียดจากไป
“ไปได้สักที” ลูกหว้ามองตามหลังร่างอองฟอง พูดพึมพำกับตัวเองเพราะเสียงของอีกฝ่ายดังแสบแก้วหูค่อนข้างรบกวนสมาธิในการทำงาน
“ไม่ชอบให้ผู้หญิงคนไหนใกล้ชิดผมใช่ไหม”
“คุณ” หันขวับมองตามเสียงของใครคนหนึ่งดังข้างหู จังหวะเดียวกันริมฝีปากอมชมพูสัมผัสแก้มสากแผ่วเบา เธอรีบหันหน้าไปอีกทางอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ
“อยากหอมแก้มผมก็ไม่บอก ไม่เห็นต้องฉวยโอกาสเลย” ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างยันขอบโต๊ะเพื่อล็อกร่างคนตัวเล็กไม่ให้มีโอกาสหนี
“ถอยไปนะคุณกองทัพ” มือเล็กยันอกแกร่งไว้
“ผมชอบคุณนะลูกหว้า จีบมาตั้งนานแล้วไม่เปิดใจอีกเหรอ”
“ฉันไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้แบบคุณ”
“หมายความว่าถ้าผมไม่เจ้าชู้ คุณจะชอบใช่ไหม” เชยคางมนให้หันมาสบตากัน นัยน์ตาดำขลับเหลือบมองกลีบปากสีกุหลาบแสนเย้ายวนใจยิ่งนัก
“ไปให้พ้นนะ ฉันอึดอัด” พูดเสียงแผ่ว
“แน่ใจนะว่าอึดอัดหรือกลัวใจคุณจะหวั่นไหวให้ผมกันแน่” พูดจบประโยค กองทัพจุมพิตหน้าผากเกลี้ยงเกลาอย่างอ่อนโยนแล้วกลับไปยังโต๊ะทำงาน ทิ้งคนตัวเล็กมึนงงกับการกระทำจู่โจมเมื่อสักครู่
“เมื่อกี้คืออะไร” ว่าพลางเอื้อมมือขึ้นแตะบริเวณโดนจูบ จากนั้นหันมองคนตัวโตซึ่งกำลังส่งยิ้มมายังเธออย่างเจ้าเล่ห์
“บ้าที่สุดเลย” ก้มหน้างุดหลบสายตาคู่นั้น เธอตั้งสติใหม่อีกครั้งเพื่อสลัดความรู้สึกภายในใจทิ้งให้หมดสิ้น พยายามทำตัวให้ยุ่งจะได้ไม่ต้องนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่
หลายชั่วโมงผ่านไป ลูกหว้ายังคงทำงานต่อเนื่องแต่กว่าจะรู้สึกตัวก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม
“กว่าจะเสร็จ” บิดขี้เกียจไปมาสองสามรอบพลางชำเลืองมองโต๊ะทำงานเจ้านายหนุ่ม เขาออกไปตั้งแต่เวลาสี่โมงเย็น
“ค่ำขนาดนี้แล้วเหรอ” เหลือบมองท้องฟ้าในยามค่ำคืน จากนั้นเก็บข้าวของบนโต๊ะใส่กระเป๋าก่อนออกจากห้อง
วันนี้โชคร้ายที่รถเธอดันเสียเลยต้องเดินไปขึ้นแท็กซี่ตรงป้ายรถเมล์ซึ่งอยู่ห่างจากบริษัทประมาณห้าสิบเมตร ขณะกำลังย่างกรายอย่างสบายอารมณ์
ทันใดนั้นมีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งพุ่งตรงมาหาหญิงสาว ชายฉกรรจ์สองคนลงจากรถพร้อมกับล้อมร่างเล็กไว้ จากนั้นนำมีดจ่อใส่ลูกหว้า
“พวกคุณต้องการอะไร” เธอค่อย ๆ ถอยหลังหนีด้วยความหวาดกลัว
“ส่งของมีค่ามาให้หมด”
“ถ้าฉันให้พวกคุณจะปล่อยฉันไปใช่ไหม” มองคนตรงหน้าทั้งสองสลับไปมา ระหว่างนั้นคอยสอดส่องมองหาว่ามีใครผ่านมาบ้าง เพื่อต้องการขอความช่วยเหลือ
“ฮ่า ๆ ปล่อยให้โง่สิ สวยขนาดนี้”
“อย่าเข้ามานะ” ลูกหว้าถอยหลังหนี เมื่อพวกมันพยายามจะแย่งกระเป๋าจากเธอ
“เอามาสิวะ”
“ไปให้พ้น”
เพียะ!
ลูกหว้าถูกฝ่ามือหยาบกระด้างตบเข้ากับใบหน้าอย่างจัง จนล้มลงทรุดพื้น
“เฮ้ย! ทำแรงไปไหม” ชายอีกคนเอ่ยบอกเพื่อน
“ไม่ต้องสนใจหรอก นังผู้หญิงคนนั้นต้องการทำให้มันเสียโฉมอยู่แล้ว”
“ใครจ้างพวกคุณมา” จบประโยคของสองคนตรงหน้า ลูกหว้าเอ่ยถามทันทีเผื่อสามารถต่อรองกันได้ เธอมั่นใจต้องมีคนจ้างพวกนั้นมาแน่นอนจากวาจาดังกล่าว
“ไม่ใช่เรื่องของมึง หน้าที่ของพวกกูคือทำให้มึงเสียโฉม” ไม่รอช้าตรงไปหาคนบนพื้น ยกมีดหมายจะกรีดหน้างดงาม
“กรี๊ด!!”
ผลัวะ!
ร่างชายฉกรรจ์คนนั้นถูกถีบกระเด็นไปอีกด้าน
“คุณกองทัพ” เบิกตามองคนที่เข้ามาช่วยตัวเอง
“ไม่เป็นไรนะลูกหว้า” รีบตรงไปหาคนตัวเล็ก
“ระวังค่ะ ข้างหลังคุณ” เสียงหวานตะโกนบอกชายหนุ่ม กองทัพรีบเบี่ยงตัวไปด้านอื่นก่อนเกิดการต่อสู้กับชายฉกรรจ์ตั้งหลายนาที
การต่อสู้ยังคงดุเดือด กระทั่งพวกมันได้รับบาดเจ็บจนทนไม่ไหวรีบขึ้นรถขับหนีจากไป ส่วนกองทัพหมุนตัวไปหาคนตัวเล็ก
“เป็นอะไรไหม”
“ไม่ค่ะ” ส่ายหน้าไปมา โผกอดคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกดีใจที่รอดพ้นความตายในครั้งนี้ ซาบซึ้งในน้ำใจเขาเหลือเกิน
“ขอบคุณนะคะ” เอ่ยพูดเสียงสั่น
“ไม่เป็นไรแล้วนะครับ” ฝ่ามือใหญ่ลูบแผ่นหลังเล็กด้วยความอ่อนโยน ปลอบโยนคนเสียขวัญกับเหตุการณ์เมื่อครู่
โชคดีเขากลับมาเอาของยังบริษัท เลยเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจะโดนทำร้าย เมื่อเข้ามาช่วยกลับได้รู้ว่าคนนั้นคือลูกหว้า
“คุณบาดเจ็บเหรอ” มือเรียวบังเอิญแตะโดนท่อนแขนกำยำ รับรู้ถึงของเหลวบางอย่าง
“ไม่เป็นไรแผลแค่นี้เอง” ทำเป็นไม่แยแสกับความเจ็บปวดที่ได้รับ
“คุณเลือดออกด้วย ไม่เป็นไรจริงเหรอ” เธอรู้สึกไม่ค่อยดีเป็นต้นเหตุของเรื่อง “ไปโรงพยาบาลเถอะ”
“เป็นห่วงผมเหรอ”
“ค่ะ” พยักหน้าหงึก จะไม่ให้เป็นห่วงได้ไงเขาคือคนที่ช่วยเหลือตัวเองให้รอดพ้นความตาย
“ได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกดีจัง” เผยยิ้มอ่อน
“อย่ามาล้อเล่นนะคะ”
“ช่างมันเถอะ ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้” กวาดสายตามองรอบ ๆ ปกติเธอขับรถมาทำงานตลอด
“วันนี้รถฉันเสีย ตั้งใจจะไปขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์แต่เกิดเรื่องเสียก่อน”
“งั้นผมไปส่งนะครับ” ถามอย่างรอลุ้น
“อืม”
หญิงสาวยอมให้เขาไปส่ง อย่างน้อยเขาคือคนช่วยเหลือตัวเองคงไม่มีทางทำร้ายเด็ดขาด
เมื่อถึงคอนโดจึงชวนเขาขึ้นไปบนห้องด้วยกัน เพราะต้องการทำแผลให้คนดื้อด้านไม่ยอมไปหาหมอ
“นั่งรอก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันไปเอาอุปกรณ์ทำแผลมาให้”
“ครับ”
กองทัพกวาดสายตามองรอบห้องของคนตัวเล็ก ค่อนข้างสะอาดและเป็นระเบียบมาก
“มาแล้วค่ะ” เดินออกมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล เธอนั่งข้างกายคนตัวโต
“ถอดเสื้อสูทออกสิคะ ฉันจะทำแผลให้”
“ครับ” ยอมทำตามคำสั่งคนตัวเล็กอย่างว่าง่าย เขาถอดชุดสูทออกและปลดกระดุมแขนเสื้อแล้วพับขึ้นจนเผยเห็นบาดแผล
นิ้วเรียวค่อย ๆ ละเลงลงบนแขนกำยำทำความสะอาดคราบเลือดบริเวณบาดแผลอย่างเบามือ โดยไม่รู้ตัวกองทัพกำลังลอบมองหน้าสวย
“เสร็จแล้วค่ะ” เงยหน้าขึ้นก่อนหันไปทางอื่น เมื่อเผลอสบตาคมกริบแล้วทำให้ใจเต้นระรัว
“ไม่ชอบผมขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะ” หันมองเขาอีกครั้งกลัวคนช่วยชีวิตเธอเข้าใจผิด
“ลูกหว้า” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกคนตัวเล็กแผ่วเบา หลังจากนั้นไม่มีเสียงใดเล็ดลอด นอกจากเสียงลมหายใจของคนทั้งสอง
ฝ่ามือใหญ่เอื้อมขึ้นประคองแก้มขาวใส ทั้งคู่ประสานสายตากัน กองทัพเหลือบมองกลีบปากสีหวานแล้วโน้มหน้าเข้าใกล้จนในที่สุดปากหยักได้รูปทาบบนปากนุ่ม
“อื้อ” คราแรกลูกหว้าพยายามจะผลักไสคนตัวโต แต่จูบแสนหวานทำเธอเคลิ้มทีเดียว ดวงตากลมโตหลับพริ้ม เธอรับจูบจากเขาอย่างเงอะงะ
