บท
ตั้งค่า

บทที่ ๓: อสุรานั้นไซร้มีหลายประเภท บ้างก็ดุร้าย บ้างก็ฟั่นเฟือน【1】

ชีวิตบังเกิดเคราะห์กรรมใหญ่หลวงดั่งเช่นที่การิตได้คาดการณ์ไว้ หากแต่เคราะห์กรรมนั้นหาได้เกิดแก่นางยักษี ทว่าเกิดแก่องค์รามสูรหนุ่มที่ถูกผู้มีพระคุณสั่งให้มาร่วมมื้ออาหารในยามสนธยาตำหนักเขาทุกวี่วัน

การไปดื่มกินอาหารกับไอศูรย์ก็หาใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด เพียงแต่ชวนให้รำคาญใจอยู่สักหน่อยที่ทุกครั้งจะถูกไอศูรย์เกี้ยวพาราสีอยู่ร่ำไป

เป็นเช่นนั้น... ถูกป้อยอคำหวาน มอบถ้อยวจีเสนาะโสต ทว่าชวนให้ขนลุกชันไปทั้งร่างอย่างนั้น วิรัลย์ก็พะอืดพะอมขึ้นมา อาการรังเกียจเดียดฉันท์สำแดงให้เห็นอย่างมิอาจปกปิดได้มิด แต่ไอศูรย์นั้นหาได้สนใจสิ่งใด เขาถือคติอย่างแรงกล้าว่าสายชลนทีหลั่งรดลงหินทุกวันได้ฉันใด หินก็ย่อมกร่อนได้ฉันนั้น แล้วประสาอะไรกับใจของน้องยักษ์ตรงหน้า

และวันนี้ก็เป็นอีกวันเช่นกันที่วิรัลย์ต้องมาร่วมมื้ออาหารกับไอศูรย์ นับจากวันแรกที่ถูกทูลขอเป็นของรางวัลจนถึงบัดนี้ วิรัลย์ยักษาก็ใช้ชีวิตในตำหนักของพระภาติยะของกษัตริย์ปรมะนครได้เจ้าหนึ่งสัปดาห์พอดิบพอดี เขาพอจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในฐานะองค์ประกัน... ไม่สิ ของรางวัลพอสมควร อันที่จริงแล้ว การอยู่ในดินแดนของอริราชย์ก็หาได้แย่สักเท่าไรนัก เขาได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเชื้อพระวงศ์พระองค์หนึ่ง แต่มีบางสิ่งที่เขาหาได้คุ้นชินขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย นั่นก็คือการเยินยอด้วยถ้อยวจีหวานล้ำของไอศูรที่หมายจะครองดวงใจของเขาอย่างยิ่งยวด

เจ้ายักษ์ตนนี้ช่างน่ารำคาญใจนัก

วิรัลย์ได้แต่บริภาษอยู่ภายในใจ หูทั้งสองฟังเสียงทุ้มต่ำยกยอตนนิ่งๆ มือหยิบเอาอาหารบนพานทองตรงหน้าเข้าปาก ขบเคี้ยวเชื่องช้าราวกับว่าเบื่อหน่ายเกินทน สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงแค่ทนให้การดื่มกินอาหารนี้เสร็จสิ้นไปโดยไวเท่านั้น

แต่ไอศูรย์รู้ทันว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไร เห็นสีหน้านิ่งเรียบที่มีแววกรุ่นโกรธเจืออยู่ในดวงตาก็รู้แล้วว่าไม่ชอบใจเขายิ่งนัก ทว่าเขากลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะหว่านล้อมให้วิรัลย์ไม่ผลักไสอย่างใจเย็นตามคำแนะนำของทหารเอกคู่ใจ ไอศูรย์จึงไม่ใคร่รีบร้อนหรือกระทำการอาจหาญเฉกเช่นในหลายวันก่อน ทั้งที่ใจจริงแล้วนั้น เขาใคร่จะฉุดคร่าวิรัลย์ให้นอนราบอยู่ใต้ร่างเสียบัดเดี๋ยวนี้เต็มแก่

ทว่าไม่ได้... ใจเย็นไว้จอมอสุรา ช้าๆ ได้มีดพร้าเล่มงาม

ไอศูรย์บอกกับตนเอง พลางฉีกยิ้มหวาน ก่อนจะเอ่ยพูด

“เมื่อกินอิ่มแล้วก็อย่าเพิ่งรีบร้อนกลับตำหนักเลยน้องยักษ์ อยู่ร่ำสุราเมรัยกับพี่ก่อนเถิด พี่ได้สั่งให้นางกำนัลเตรียมน้ำจัณฑ์ไว้ให้เจ้าแล้ว”

ยังจะต้องอยู่ต่ออีกรึ?

เรียวขนงถึงกับย่นยู่ วิรัลย์พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงเมื่อนางกำนัลยกเอาเหยือกน้ำจัณฑ์มาวางไว้ตรงหน้าทันทีที่สิ้นเสียงของไอศูรย์

“ข้าไม่ดื่มน้ำเมา”

วิรัลย์ขัดทันทีที่เห็นยักษ์ตรงหน้ารินน้ำสีใสกลิ่นฉุนลงในถ้วยใบเล็กให้เขา ไอศูรย์ชะงัก เหลือบมองแล้วหัวเราะในลำคอแผ่วเบา

“น้องยักษ์มีอายุกี่ขวบปีกัน?”

คล้ายกับว่าจะหยอกเย้าว่ายังเป็นยักษ์เยาว์หรือไร ถึงได้ปฏิเสธที่จะดื่มของมึนเมาเช่นนี้

วิรัลย์ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ได้แต่ถอนหายใจเต็มแรง ขณะที่ไอศูรย์เริ่มรินน้ำเมาต่อ

“พี่รู้ว่าน้องมีอายุเพียงสิบแปดขวบปี แม้นจะมีอายุเข้าสู่เพลาเหมาะสมแก่การมีคู่ครอง แต่น้องวิรัลย์ก็เพิ่งแตกพานวัยหนุ่มมาไม่นาน น้องคงยังสับสนในวัยคาบเส้นระหว่างวัยเด็กและวัยเจริญพันธุ์อยู่กระมังถึงได้คิดว่าเด็กมิสมควรดื่มของมึนเมา”

คำพูดนั้นเป็นไปอย่างหยอกล้อ ส่วนที่รู้ว่าวิรัลย์มีอายุได้เพียงสิบแปดขวบปีเป็นเพราะอุปนิกขิตได้แจ้งแก่เขาแล้วว่าราชกุมารท้ายแถวของกษัตริย์เวรุฬาผู้นี้มีต้นกำเนิดเป็นมาอย่างไร

วิรัลย์เองก็ไม่ใคร่ถาม เรื่องเช่นนี้ย่อมต้องล่วงรู้อยู่แล้ว หาได้แปลกประหลาดแต่อย่างใด ก่อนจะชำเลืองมองถ้วยน้ำมึนเมาที่ถูกเลื่อนมาไว้ตรงหน้า

“ดื่มกับพี่ ร่ำสุราร่วมเรียงกันนั้นเป็นนิมิตรหมายอันดีที่พี่กับน้องยักษ์จะมอบไมตรีให้แก่กัน”

คิดไปเองแต่ผู้เดียวทั้งสิ้น ใครกันจะอยากไปมอบไมตรีให้กับจอมทัพไอศูรย์!

วิรัลย์หงุดหงิดเสียจนเขี้ยวยักษ์ผุดงอกให้เห็น พลันเอื้อมมือไปคว้าเอาถ้วยน้ำจัณฑ์นั้นมากระดกดื่มในคราเดียวจนหมดสิ้น ก่อนวางกระแทกถ้วยเปล่าลงบนโต๊ะเต็มแรง ปล่อยให้ไอศูรย์ที่หมายจะรินน้ำจัณฑ์ลงในถ้วยตนเองเพื่อดื่มพร้อมกันกับยอดเยาวมาลย์ชะงักค้าง

“ไยถึงได้ใจร้อน ไม่รอพี่กันบ้างเลยเล่า น้องวิรัลย์อยากผูกไมตรีกับพี่มากถึงเพียงนั้นเชียวรึ”

ตาบอดหรือไรถึงได้ดูไม่ออกว่าคนตรงหน้าอยากผูกไมตรีด้วยหรือไม่!

วิรัลย์เบนสายตาหนีไปทางอื่น ไม่ประสงค์จะเสวนาด้วย เขาถือว่าได้ปฏิบัติตามที่ไอศูรย์ปรารถนาแล้ว หน้าที่ของเขาเป็นอันเสร็จสิ้น

แต่ไอศูรย์กลับไม่พอใจ เขาหมายจะพูดคุยหยอกเย้าแก้วตาให้สำราญใจต่างหาก หาใช่เพียงดื่มแล้วไร้สรรพเสียงพูดคุยเช่นนี้

ทว่า... ใบหน้าบึ้งตึงงอง้ำของวิรัลย์นั้นไม่ใคร่ชวนให้พูดคุยโดยเสน่หาแม้แต่น้อย

ช่างเป็นยักษ์ที่ขี้หงุดหงิดอะไรปานนี้...

ไอศูรย์ลอยถอนหายใจออกมาบ้าง พลางขบคิดไปว่าตั้งแต่ท้าวมหาพรหมทรงเนรมิตโลกา แบ่งแยกแดนสวรรค์ แดนมนุษย์และแดนบาดาลออกจากกันเสร็จสิ้น เมื่อนั้นสิ่งมีชีวิตก็ถือกำเนิด รากษสเองก็เป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์สรรพสิ่งที่ถือกำเนิดจากพระเมตตาขององค์เทพ แต่ยักษ์เองก็มีลำดับชนชั้นและต้นกำเนิดที่แตกต่างกัน บ้างเป็นโอปปาติกะหรือเกิดแล้วโตในทันที หรือไม่ก็กำเนิดแบบสังเสทชะ ซึ่งก็คือกำเนิดจากเหงื่อไคล ยักษ์ประเภทนี้ล้วนมีฤทธาอำนาจ เป็นอสุราชั้นสูง ถิ่นที่อยู่คือวิมานบนสวรรค์ ยักษ์ที่เป็นชลาพุชะหรือเกิดจากครรภ์มารดาคือยักษ์ชั้นกลางและชนชั้นต่ำ ไร้ซึ่งฤทธาใดๆ ดินแดนที่อยู่คือดินแดนใกล้เคียงแดนมนุษย์ เช่นเดียวกันกับ หากแต่ยักษ์ทั้งสองชนชั้นแตกต่างกันยิ่งนัก

ยักษ์ชั้นกลางมีรูปลักษณ์สวยงาม สวมเครื่องประดับและอาภรณ์วิบวับตระการตา แม้จะไม่มีมีรัศมีเปล่งประกายเช่นยักษ์ชั้นสูง แต่ผิวพรรณและเรือนร่างก็มีสง่าราศีนัก ต่างจากยักษ์ชั้นต่ำที่มีรูปร่างอัปลักษณ์ ผมหยิกหย็อง ตัวดำมะเมื่อม ตาโปน ผิวหยาบดุจกระดาษทราย อีกทั้งยังนิสัยดุร้าย ยักษ์เหล่านั้นล้วนรับใช้เป็นบริวารยักษ์ชั้นกลาง

ทว่า...วิรัลย์เป็นยักษ์ชั้นกลางที่มีรูปร่างงดงามแท้ๆ เหตุใดจึงได้ดุร้ายดุจยักษ์ชั้นต่ำกันเล่า?

ถึงจะไม่ได้สำแดงออกมาด้วยการโวยวายพาโล แต่ความเงียบงันและท่าทางน่าเกรงขามนั้นก็ส่อลักษณะว่าเป็นลักษณะนิสัยดุร้ายอยู่พอสมควร

ไอศูรย์ขบคิดโดยหาได้เหลียวมองตนเองแต่อย่างใดว่าเป็นเพราะเขานั่นล่ะที่ทำให้วิรัลย์ต้องเดือดดาล มิหนำซ้ำยังจะพูดออกมาอีก

“น้องวิรัลย์เคยได้ยินหรือไม่ที่เขาว่ากันว่าอสุรานั้นไซร้มีหลายประเภท บ้างก็ใจดี บ้างก็ดุร้าย”

คำพูดไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาวิรัลย์เบนสายตากลับมามองผู้พูดอีกครั้ง ก่อนต้องชักสีหน้าเมื่อไอศูรย์จำนรรจาประโยคถัดไปให้ได้ยิน

“น้องยักษ์ของพี่คงจะเป็นอย่างหลังกระมัง เจ้ายักษ์ดุร้าย”

ถูกค่อนแคะโดยไร้ซึ่งความผิด วิรัลย์ก็มองอย่างหยามเหยียด ก่อนจะโต้ออกมาบ้าง

“ส่วนเจ้าก็คงจะเป็นประเภทฟั่นเฟือน สติไม่สมประดี ถึงได้วิปลาสเพียงนี้ หลงรักใคร่ข้าซึ่งเป็นอริราชย์ยังไม่พอ ยังจะหมายปองครอบครองบุรุษด้วยกันอีก เจ้าคงทำศึกมากไปถึงได้ไม่เป็นผู้เป็นคน”

ไอศูรย์หลุดหัวเราะ หนึ่งนั้นดีใจที่วิรัลย์ยอมเปิดปากพูดกับเขาเสียที อีกหนึ่งก็ขบขันกับการตอบโต้ที่แสบสัน เขา ยื่นใบหน้าชะโงกข้ามโต๊ะแล้วว่าเสียงแผ่วยั่วเย้า

“พี่ไม่คิดเลยว่าคนเงียบขรึมเช่นน้องจะมีวาจาเหลือร้ายดุจเข็มแหลมทิ่มแทง ช่างบริภาษพี่ได้รวดร้าวใจเสียเหลือเกิน”

อยากจะเอาขอบพานทองจามหน้านัก!

ต้องกำมือแน่นแค่ไหนกันถึงจะไม่พลั้งเผลอไปคว้าเอาพานที่มีผลหมากรากไม้แกะสลักประณีตไปตีใบหน้าหล่อเหลาของจอมทัพอสุราที่หยอกเย้าเขาให้เสียโฉมเข้า

แต่สุดท้ายก็ระงับโทสะของตนเองได้ คมเขี้ยวอสุราหายไปแล้ว ไอศูรย์ยินดียิ่งที่ยอดกมลของเขาคลายโทสะเสียที ก่อนจะนั่งหลังตรงตามเดิม พลันเอื้อมมือไปหยิบชิ้นเนื้อสมันจากพานทองคำพานหนึ่งไปตรงหน้าวิรัลย์

“กินเนื้อนี่เสียสิ พี่ตั้งใจให้นางกำนัลปรุงมาให้เจ้าเลยทีเดียว เนื้อสมันนี้ พี่ก็เป็นคนล่ามาให้เจ้า”

เขาว่าด้วยสัตย์จริง เมื่อรุ่งอรุโณทัย เขากับการิตและนายทหารราพณ์อีกราวสิบตนพากันควบโตเทพอัสดรเข้าพงไพรในเขตแดนมนุษย์ เหตุที่ต้องไปล่าสัตว์ถึงเขตแดนต้องห้ามนั้นเป็นเพราะคิดว่ายักษ์ป่าอย่างวิรัลย์ที่อยู่ยังพื้นที่ทุรกันดารคงจะหาได้เคยลิ้มรสสัตว์ในดินแดนมนุษย์มาก่อน จึงหมายให้ได้ลิ้มลองเป็นลาภปาก

ทว่า...วิรัลย์กลับไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นแต่อย่างใด เหลือบมองด้วยสายตานิ่งเรียบ ไม่ใคร่จะรับอาหารจากมือหยาบกร้านของคนตรงหน้า

เพราะเอาแต่มองเฉยๆ ไอศูรย์จึงย่นริมฝีปากว่าตระแหน่แง่งอน

“อย่าตัดรอนน้ำใจพี่เลย เพียงคำเดียวเท่านั้น ถือเสียว่าเป็นน้ำใจพี่ที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้”

หากกินแล้ว หนี้บุญคุณก็จะหมดสิ้นกันใช่ไหม?

วิรัลย์รู้ว่ามิอาจลบล้างได้หรอก แต่ก็ยอมกินด้วยตัดรำคาญ หากแต่เมื่อเอื้อมมือไปหมายจะหยิบเอาชิ้นเนื้อในมือของไอศูรย์ อีกฝ่ายก็ชักมือกลับ หลบหลีกไม่ยอมให้คว้าเอาโดยง่าย

เรียวคิ้วสวยขมวดมุ่น สายตาจับจ้องยังคนหยอกเย้าอย่างเดือดดาล

“หากจะกิน ก็จงกินจากมือพี่เถิด พี่จะป้อนให้”

ช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก!

“เจ้า...”

วิรัลย์แค่นเสียงออกมา อยากจะเอาพานฟาดดวงหน้าหล่อเหลานั่นเต็มแก่จริงๆ แล้ว ทว่าไอศูรย์ก็หาได้สนใจแต่อย่างใด นอกจากจะยื่นมือมาตรงหน้าอีกครั้ง

“อ้าปากสิน้องยักษ์ เนื้อสมันชิ้นนี้ พี่จะป้อนเจ้าเอง”

หากไม่ตอบรับ ไอศูรย์คงตอแยไม่เลิกรา วิรัลย์จึงยอมเปิดปากขึ้น งับเอาชิ้นเนื้อสมันจากมือหนาเข้าปากเคี้ยวช้าๆ

เห็นดวงกมลลิ้มรสโอชาของอาหารที่เขาล่ามาให้กับมือแล้ว ไอศูรย์ก็อดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ได้ พลันยกมือขึ้นมากุมหน้าอกข้างซ้ายอีกครั้ง ก่อนจะครางเสียงต่ำ

“อา...”

วิรัลย์ชะงัก ปรายตามองราวกับจะถามว่าเป็นอะไร เพราะท่าทางของไอศูรย์นั้นแลดูคล้ายเจ็บป่วยทางกายกะทันหัน หากแต่เมื่อได้ยินคำตอบ...

“เห็นเจ้ากินอย่างเอร็ดอร่อยแล้วไซร้ ใจพี่ที่ว่าแกร่งกว่าหินผา ในเพลานี้ช่างเปราะบางเพราะความน่าเอ็นดูของเจ้ายิ่งนัก เหตุนี้เองพี่ถึงทูลขอเจ้าเป็นรางวัล ไม่เสียทีที่เอ่ยไปเช่นนั้น ยอดกมลของพี่”

...เขาก็กำมือแน่นจนสั่นระริกอีกครา

คงไม่ต้องใช้พานตีแสกหน้าแล้วกระมัง เบื้องบาทเขาเลยก็แล้วกัน ไม่ยุ่งยากดี

มาทำให้ขนลุกซ้ำซากอยู่ได้ จะหาเรื่องกันหรืออย่างไรนะ

กว่ามื้ออาหารในวันนี้จะเสร็จสิ้นลง ไอศูรย์ก็ทำเอาวิรัลย์สูญเสียกำลังวังชาไปมากทีเดียว ทั้งที่ไม่ค่อยได้ขยับเขยื้อนไปไหนแท้ๆ แต่เพราะความระอาใจทำให้อ่อนเพลียกว่าปกติเหลือเกิน

วิรัลย์ชำระล้างร่างกาย เสร็จสิ้นแล้วก็หมายจะเข้านอนแต่หัววัน หากแต่เมื่อมุ่งหน้าไปยังห้องบรรทม เขาก็พบว่าที่เตียงนอนของตนมีร่างใหญ่ของใครบางคนเอนกายเอกเขนกอยู่

“เจ้า...” ...อีกแล้ว

ใบหน้างามของวิรัลย์คงจะมีร่องรอยลึกในอีกไม่นานนี้ ไอศูรย์ทำเขาปั้นหน้านิ่วคิ้วขมวดได้บ่อยครั้งเหลือเกิน เจ้าตัวต้นเหตุเองก็หาได้รู้ประสา เห็นแก้วตาเยื้องย่างเข้ามา ฝ่ามือหนาก็ตบปุบนฟูกนุ่มข้างกาย

“มานอนสิน้องยักษ์ ราตรีนี้พี่จะกล่อมเจ้าให้หลับใหลเอง”

ไอศูรย์คิดแล้วว่าการกระทำโดยละมุนละไมอย่างนี้ คงจะทำให้วิรัลย์สมยอมตกเป็นของเขาโดยง่าย ก่อนจะตัดสินใจตามมาที่ตำหนักของวิรัลย์ เขาพินิจดูแล้วว่าตนหาได้กระทำการใดโดยรีบร้อนเช่นในคราแรก ยกยอปอปั้น มอบมธุรสวจีก็หลายเพลา ถึงแก่กาลอันเหมาะสมสำหรับการร่วมหลับนอน

สำหรับวิรัลย์แล้ว ไม่ว่าไอศูรย์จะทำอย่างไรก็หาได้มีกาลอันเหมาะสม เพราะเขาไม่มีวันที่จะพลีกายหรือใจให้กับจอมทัพอสุราตนนี้ เห็นดังนั้น มือก็ยกขึ้นกอดอก ปากออกคำสั่งราบเรียบ

“ออกไป”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel