บทที่ ๒: หลงใหลใคร่เสน่หา【2】
“น้องยักษ์ใจเย็นก่อนเถิด พี่เพียงมาเยี่ยมเยือนน้องจริงๆ หาได้คิดเป็นอื่นใด”
แต่การที่เปลื้องผ้ามาร่วมอาบน้ำด้วยนั้น...มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ
ประโยคหลังเป็นเพียงความคิดในใจ ไม่กล้าแม้จะเอื้อนเอ่ย เพราะเกรงจะทำให้วิรัลย์โกรธขึ้งมากกว่าเดิมอีก ดูคมเขี้ยวที่งอกออกจากปากคู่นั้นสิ ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไปเลยแม้แต่น้อย
วิรัลย์ค้างในท่านั้นอยู่ชั่วครู่ด้วยไม่ไว้ใจ แต่เมื่อเห็นไอศูรย์ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว มือก็ลดมีดสั้นลง ก่อนจะเปล่งวาจาออกมา
“ออกไปจากที่นี่ซะ หากเจ้าไม่อยากได้เพียงร่างไร้วิญญาณของข้า”
เอาจริงเป็นแน่แท้... ไอศูรย์ยอมศิโรราบโดยง่าย มือทั้งสองยกขึ้นสูง ก่อนจะเดินอ้อมไปคว้าเอาอาภรณ์มาสวมใส่ วิรัลย์ไม่ปล่อยมีดสั้นออกจากมือ คล้ายกับว่าจะยึดเอาไปเป็นของตนโดยไม่ร้องขอผู้เป็นเจ้าของ แต่จะเอาก็เอาไปเถิด ไม่ใช้ผิดที่ผิดทาง ไอศูรย์ก็หาได้ขัด ขอเพียงอย่าปลิดชีพตนก็พอ
“ถ้าเช่นนั้นวันหน้า พี่จะมาใหม่ น้องยักษ์พักผ่อนให้เกษมสำราญเถิด พี่ไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
ทั้งที่ไม่อยากไป แต่เพลานี้ไม่เหมาะสมให้อยู่ต่อ ไอศูรย์จึงรีบเร่งออกจากตำหนักไปโดยพลัน เป็นครั้งแรกที่เขาปราชัยให้กับยักษาตนอื่น
หากยักษ์ตนนั้นไม่ใช่วิรัลย์ที่เขาต้องตาต้องใจตั้งแต่แรกพบ เขาคงจะไม่ยอมอ่อนข้อให้โดยง่ายเช่นนี้...
ร่างใหญ่อันตรธานหายไป วิรัลย์จึงทิ้งมีดลงกับพื้น มือยกขึ้นลูบใบหน้าอย่างกลัดกลุ้ม
รอดชีวิตจากสงครามและการสำเร็จโทษเพื่อมาตกอยู่ในอุ้งมือของยักษ์สติไม่สมประดีตนนั้น... ช่างน่าอดสูอะไรถึงเพียงนี้
ผู้ที่น่าอดสูหาได้มีแค่วิรัลย์เพียงผู้เดียว ไอศูรย์แลน่าอดสูมากกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า เพราะทันทีที่กลับมาถึงตำหนักตน เขาก็เปลื้องอาภรณ์ออก ยืนจังก้ามองเงาสะท้อนของตนจากคันฉ่องบานใหญ่
ร่างกายเขามีสิ่งใดไม่น่าพิสมัยกันหรือ เหตุใดวิรัลย์ถึงได้ผลักไส ทั้งยังแสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ราวกับเห็นของสกปรกอย่างนั้น?
ไอสูรย์พิจารณาร่างกายตนอย่างพินิจ เขาเป็นยักษ์รูปงามสมบุรุษ กล้ามเนื้อแลกายาก็สมส่วนเย้ายวนใจเหล่ายักษียิ่งนัก ผิวสีทองสนิมก็ใช่ว่าจะไม่ผุดผ่อง ถึงเนื้อตัวจะมีร่องรอยแผลเป็น แต่ก็เรียบรื่นน่าสัมผัสอยู่ไม่น้อย รูปหน้ารึก็หล่อเหลา เขาไม่ได้คิดเข้าข้างตนเองเป็นแน่ ไม่ว่าผู้ใดก็พูดไว้เช่นนั้น
แล้วเหตุใดกันถึงได้ถูกหมางเมิน?
หรือจะเป็นเพราะเป็นอริราชย?
ไม่หรอก... ขนาดเขาแลเห็นแคว้นเวรุฬาเป็นศัตรู แต่เมื่อแรกพบสบพักตร์ของวิรัลย์ เขายังลืมสิ้นเลยว่าเคยบาดหมางกับเวรุฬาเพียงใด สิ่งนั้นไม่น่าเกี่ยวข้อง
ยืนพินิจอยู่นานโดยไม่สนใจเสียงรอบข้าง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงของใครบางคนร้องเรียก
“เอ่อ...องค์ไอศูรย์พ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นหันไปมองก็เห็นว่าเป็นทหารเอกคู่ใจซึ่งมีนามว่า การิต คุกเข่าอยู่บนพื้นเบื้องหน้า
“ทรงทำสิ่งใดอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เป็นการิตที่ถามออกมาอีก เขาเห็นผู้เป็นนายหมุนซ้ายทีขวาทีอยู่หน้าคันฉ่องนานสองนานแล้ว คราแรกก็ไม่ใคร่จะขัดจังหวะด้วยคิดว่าไอศูรย์คงจะใช้เวลาไม่นาน แต่เมื่อเห็นว่าไอศูรย์พิจารณาเรือนร่างตนแล้วแสดงสีหน้าขบคิดไปมาไม่หยุดหย่อน เขาก็จำต้องขัดด้วยมีเรื่องสำคัญของกองทัพจะรายงาน
แต่ดูเหมือนถึงจะเอ่ยขัดจังหวะไปก็หาได้ทำให้รายงานสิ่งสำคัญได้เร็วขึ้น เพราะทันทีที่สิ้นเสียงเขา ไอศูรย์ก็ถามสวนออกมา
“เจ้าคิดว่าข้ารูปโฉมงดงามหรือไม่?”
“หา?”
การิตถึงกับหลุดอุทาน ร้อยวันพันปี ไอศูรย์หาได้เคยถามไถ่เขาเรื่องนี้มาก่อน อย่าว่าแต่ถามไถ่เลย จอมทัพอสุราหาได้เคยสนใจรูปลักษณ์ของตนเสียด้วยซ้ำ แม้ว่าจะมีใครต่อใครชมเชยกันว่าเขามีรูปโฉมหล่อเหลาคมคาย แต่ไอศูรย์กลับคิดเห็นว่าช่างเป็นเรื่องไร้สาระ ทว่าคราวนี้กลับเป็นฝ่ายถามออกมาด้วยตนเอง
หรือจะทำศึกเสียจนฟั่นเฟือนไปแล้ว?
“ข้าถามเจ้าว่าข้ารูปโฉมงดงามหรือไม่?”
เมื่อไม่ได้คำตอบก็ถามออกไปอีก การิตได้สติ รีบพยักหน้ารับ
“พะ...พ่ะย่ะค่ะ องค์ไอศูรย์มีรูปกายงามล้ำเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
สิ่งนั้นคือความสัตย์จริง ไอศูรย์ได้ยินก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมราวกับว่าไม่พึงใจในคำตอบ แต่ก็หาได้พูดสิ่งใด จนการิตต้องถามออกมาอีก
“มีสิ่งใดรบกวนพระทัยหรือพ่ะย่ะค่ะองค์ไอศูรย์?”
ไอศูรย์สูดลมหายใจเข้าปอด เปล่งวาจาหนักแน่น “ข้ามีความรัก”
“หา?”
ตะลึงงันออกมาอีกจนได้ การิตไม่เคยได้ยินหรือพบเห็นมาก่อนว่าไอศูรย์จะใคร่สนใจยักษีตนใดด้วย แม้กษัตริย์ปรมะจะทูลบำเหน็จรางวัลให้เป็นยักษีงดงาม แต่เขาก็ปฏิเสธตลอด ทว่าจู่ๆ ก็มาบอกว่ามีความรัก...
สติฟั่นเฟือนไปแล้วจริงๆ
กระนั้นการิตก็หาได้พูดสิ่งใดออกไป นอกจากรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเห็นว่าอาการของผู้เป็นนายเข้าขั้นหนักหนา
“เช่นนั้นที่พระองค์ทรงกลัดกลุ้มอยู่ก็เพราะเรื่องนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ไอศูรย์ถอนหายใจออกมาอีกครา ทิ้งตัวลงนั่งยังตั่งใกล้ๆ “ข้าได้ยินใครต่อใครเอ่ยชมว่าข้ามีรูปโฉมงดงามคมคาย ไม่ว่ายักษีหรือยักษาตนใดพบพานก็ลุ่มหลงได้ไม่ยาก แล้วเหตุใดกัน น้องยักษ์ผู้นั้นถึงได้แลรังเกียจเดียดฉันท์ข้า?”
การิตรีบคิดใคร่ครวญว่าผู้เป็นนายเอ่ยถึงผู้ใด แต่ยังไม่ทันจะคิดออกก็ถูกถามเสียก่อน
“เจ้าคิดว่าข้าทำสิ่งใดผิดไปหรือไม่การิต”
“แล้วพระองค์ทรงทำสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ถามเพราะไม่รู้ ไอศูรย์จึงเล่าออกมาให้ฟังซื่อๆ
“ก็ไม่มีสิ่งใด ข้าเพียงไปเยี่ยมเยือนน้องยักษ์ที่ตำหนัก แล้วบังเอิญแลเห็นว่าน้องยักษ์ลงสรงอยู่ ข้าจึงเปลื้องอาภรณ์หมายจะชำระล้างร่างกายด้วย แต่น้องยักษ์กลับสำแดงทีท่าหวาดกลัว อีกทั้งยังแลรังเกียจข้าเหลือเกิน ผลักไสข้าออกมาอีก”
อ้อ เพราะสิ่งนี้...
การิตจับต้นชนปลายได้ฉับพลัน ขณะเดียวกันก็อยากยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างเหนื่อยอ่อนนัก
เป็นผู้ใดก็ย่อมต้องหวาดกลัวอยู่แล้ว จู่ๆ ก็มีใครเข้ามาร่วมอาบน้ำด้วยโดยไม่ได้เชื้อเชิญอย่างนั้นน่ะ ไม่ตกใจสิเป็นเรื่องแปลก ส่วนน้องยักษ์ที่ไอศูรย์พูดถึงนั้น คงจะเป็นเหล่านางยักษ์ที่ถูกส่งมาเป็นเครื่องราชบรรณาการอันเป็นธิดาจากแคว้นน้อยใหญ่ใต้อาณัติของปรมะนครกระมัง
การิตเองก็ไม่ใคร่ถามหรอกว่าน้องยักษ์นั้นหมายถึงนางยักษีตนใด นอกจากจะพ่นลมหายใจออกมา
“องค์ไอศูรย์พ่ะย่ะค่ะ หากกระหม่อมเป็นยักษ์ตนนั้น กระหม่อมก็กลัวการกระทำของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
ไอศูรย์เลิกคิ้วสูงทันควัน “แต่ข้ามีรูปโฉมงดงาม ผู้ใดก็ปรารถนาจะสมสู่ ไยจะต้องกลัวกัน”
รูปลักษณ์งดงามก็จริง แต่ต้องไม่ใช่จู่ๆ ก็แก้ผ้าโทงๆ ไปบุกตำหนักของผู้อื่นเช่นนั้น!
การิตสูดลมหายใจเข้าปอดแทนแล้ว เขาพยายามระงับอารมณ์และทำความเข้าใจว่าจอมทัพอสุราผู้นี้ แม้ว่าจะเก่งฉกาจและไหวพริบดีปัญญาเลิศในสมรภูมิเพียงใด ทว่าเขากลับอ่อนด้อยประสบการณ์ทั้งทางกามและความรักยิ่งนัก
ก็ดูสิ เป็นยักษ์หนุ่มฉกรรจ์วัยย่างเบญจเพส แต่มานั่งกลุ้มใจเรื่องถูกผลักไสไล่ส่งออกมาจากตำหนักเช่นนี้ เป็นเรื่องที่คนประสาในความรักเอามาคิดเล็กคิดน้อยหรือไร
“หากองค์ไอศูรย์ทรงใคร่จะให้กระหม่อมทูลถวายคำแนะนำ กระหม่อมก็จะทำตามพระประสงค์พ่ะย่ะค่ะ”
ไอศูรย์พยักหน้ารับ เพลานี้จำต้องพึ่งยักษ์จัดเจนในเรื่องรักอย่างการิตแล้ว
“หากองค์ไอศูรย์ประสงค์จะเข้าหายอดเยาวมาลย์ของพระองค์ การเข้าหาเพียงป้อยอคำหวานนั้น หาใช่จะสำเร็จหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งการที่พระองค์ปลดเปลื้องฉลองพระองค์เข้าหาเช่นนั้น ยิ่งไม่เป็นการดีใหญ่”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าต้องทำอย่างไร”
“เข้าหาอย่างละมุนละม่อมสิพ่ะย่ะค่ะ”
ไอศูรย์ย่นหัวคิ้วเล็กน้อย แล้วการที่เขาเข้าหาวิรัลย์อย่างนั้นมันไม่ละมุนละม่อมตรงไหนหรือ?
เห็นสีหน้าของผู้เป็นนาย การิตก็เดาออกว่าจอมทัพอสุราผู้กระด้างกระเดื่องนี้คิดเห็นเช่นไร ก่อนจะเปล่งเสียงออกมาอีก
“พระองค์ต้องให้ความใส่พระทัย เกี้ยวพาราสีด้วยคำหวาน การกระทำก็ต้องละไม จะกระทำการบุ่มบ่ามอย่างเช่นที่ทรงทำไปก่อนหน้ามิได้ ไม่ว่านางยักษ์ตนใดก็ย่อมตกเป็นของพระองค์อยู่แล้ว แต่พระองค์ทรงพระทัยเย็นหน่อยเถิด นางยักษ์แต่ละตนก็มีความเหนียมอายแตกต่างกัน บ้างก็แสดงออกด้วยการโกรธเกรี้ยว บ้างก็เงียบงัน แล้วแต่อุปนิสัยของแต่ละนางพ่ะย่ะค่ะ”
ที่แท้ก็เป็นเพราะเขารีบร้อนเกินไปนี่เอง จึงทำให้วิรัลย์ที่ไม่ทันตั้งตัวเหนียมอาย
สำหรับน้องวิรัลย์อสุราคงจะแสดงออกด้วยการโกรธากระมัง...
มือยกขึ้นลูบคาง เข้าใจที่ทหารเอกพร่ำบอกอย่างถ่องแท้ แต่การิตไม่มั่นใจเลยว่าผู้เป็นนายจะเข้าใจในสิ่งที่เขาว่าจริงๆ เพราะนอกจากเรื่องการรบแล้ว ไอศูรย์ไม่ประสาเรื่องรักใคร่แม้แต่กระผีกเดียว หากประสาล่ะก็ คงไม่ครองตัวเป็นพรหมจรรย์อยู่ถึงอายุเลยวัยออกเรือนเช่นนี้หรอก
ใช่... ไอศูรย์เป็นยักษ์พรหมจรรย์
ทั้งที่มีรูปงาม ฝีมือก็เก่งฉกาจ ชาติตระกูลก็สูงส่ง น่าจะเป็นยักษ์มากรักที่ปั่นหัวใครต่อใครให้ลุ่มหลง เขากลับมีความประพฤติเรียบร้อย อยู่ในครรลองเสียจนกษัตริย์ปรมะอดตรัสไม่ได้เลยว่าพระภาติยะของพระองค์คงจะถือครองพรหมจรรย์ไปชั่วชีวิต
การที่ไอศูรย์มีความรักใคร่นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ขณะเดียวกันก็น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย
ไม่ใช่เป็นห่วงไอศูรย์นะ เป็นห่วงยอดดวงใจของเขาต่างหาก
ยักษ์ห่ามตนนี้จะถือประคองบุษบาบอบบางใดโดยไม่เผลอบดขยี้ได้กัน...
แต่นั่นก็หาใช่เรื่องที่เขาควรยื่นมือไปสอด ทว่าพอเห็นไอศูรย์ยกยิ้มน้อยใหญ่ พลันพูดออกมา
“ดี ถ้าอย่างนั้นนับแต่นี้ ข้าจะเกี้ยวพาราสีน้องยักษ์ให้ถูกที่ถูกทาง”
การิตก็อดคิดไม่ได้ว่านางยักษ์ตนนั้นช่างมีเคราะห์กรรมใหญ่หลวงยิ่งนัก
หลงใหลใคร่เสน่หาเสียเพียงนี้ ต่อจากนี้ชีวิตของนางคงจะไม่สงบสุขอย่างแน่นอน...
