บทที่ ๓: อสุรานั้นไซร้มีหลายประเภท บ้างก็ดุร้าย บ้างก็ฟั่นเฟือน【2】
ไอศูรย์คิดอยู่แล้วว่าจะต้องถูกไล่ แต่ก็ไม่ยอมไปโดยง่าย
“อย่าผลักไสพี่เลย พี่เพียงอยากพบหน้าน้อง พูดคุยกันก่อนนอนกับพี่สักหน่อย คงจะไม่รบกวนน้องจนเกินไป”
แค่พูดคุยก็พอได้อยู่หรอก วิรัลย์จึงไม่ทัดทานใดๆ พลันถามออกมา
“เจ้าหมายจะเจรจากับข้าด้วยเรื่องใด”
“ช่างเหินห่างเหลือเกิน”
ไอศูรย์ตัดพ้อเพราะวิรัลย์ยืนกอดอกอยู่ที่เดิม วิรัลย์ยอมเดินเข้ามาใกล้ หยุดที่ปลายเตียงแล้วเร่งเร้าอีกครั้ง
“มีเรื่องใดอยากพูดก็จงรีบพูดมา”
น้ำเสียงของวิรัลย์ยังคงราบเรียบเช่นทุกที แต่คราวนี้ฟังดูแล้วเจือไปด้วยโทสะ เขาเหนื่อยล่าและอยากพักผ่อนเหลือคณา ไอศูรย์เห็นท่าทางอ่อนเปลี้ยก็พอจะเข้าใจได้ พลันลุกขึ้นนั่ง ขยับมาคว้าเอาแขนของวิรัลย์แล้วฉุดให้นั่งลง
“จะยืนเจรจาไปเพื่อการใด นั่งลงเถิดแก้วตา พี่ไม่อยากให้เจ้าเมื่อยล้า”
แต่เจ้าทำให้ข้าเหนื่อยใจ!
วิรัลย์ส่งสายตาตำหนิไปให้ ไอศูรย์ไม่ได้รู้สึกรู้สาใดๆ เลย เห็นเขาทรุดตัวลงนั่งได้ก็เปิดปากถามซักไซ้เรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่ว่างเว้น อีกทั้งยังพูดจ้อไม่หยุด ทั้งที่ปกติแล้ว เขาหาใช่ยักษ์ช่างเจื้อยแจ้วเช่นนี้ ที่กระทำทั้งหมดเป็นไปเพื่อเอาอกเอาใจวิรัลย์อย่างเดียวเท่านั้น
ก็การิตบอกว่าไม่ว่าผู้ใดก็ชอบฟังเรื่องของเขานี่ แต่... นั่นจำกัดเฉพาะนางยักษิณีหรือยักษาตนอื่นเท่านั้น หาใช่วิรัลย์
ยิ่งฟัง วิรัลย์ก็ยิ่งเหนื่อยอ่อน ดวงตาปรือปิดลงด้วยง่วงเหงาหาวนอนเต็มที ไอศูรย์สังเกตเห็นก็รีบร้องถาม
“ง่วงนอนแล้วหรือขวัญตาของพี่?”
วิรัลย์ชำเลืองมอง “รู้เช่นนี้ก็รีบกลับตำหนักเจ้าไปได้แล้ว”
แต่แทนที่ไอศูรย์จะรีบไป เขากลับถือวิสาสะดึงตัวของวิรัลย์ให้ลงนอนราบ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเคียงข้างเสียแนบชิด
“หากน้องง่วงก็นอนเถิด พี่จะอยู่กล่อมน้องเอง”
เจ้ายักษ์ตนนี้หน้าด้านนัก!
วิรัลย์ไม่อยากถือยักษ์บ้า อีกทั้งยังง่วงนอน จึงยอมปิดเปลือกตาลงและให้ไอศูรย์ขนาบข้าง
ตราบใดที่ไม่ถูกแตะต้องกายา นั่นก็ถือว่าไม่เป็นไร
ทว่า... การได้นอนเรียงเคียงคู่ผู้ที่ตนลุ่มหลง ไอศูรย์ก็เกิดกำหนัดขึ้นมา ยิ่งได้กลิ่นกรุ่นบุปผชาติลอยโชยมาจากเรือนกายของคนตรงหน้า ความเสน่หาก็พวยพุ่งจนมิอาจหักห้ามใจได้ไหว
มือข้างหนึ่งยกขึ้น หมายใจจะสัมผัสผิวนวลลออ ใคร่หลับนอนมีสัมพันธ์สวาทลึกซึ้งด้วยเต็มแก่ แต่ครู่หนึ่งก็ต้องดึงรั้งลงไปด้วยตระหนักได้ว่าหากแตะต้องเมื่อใด วิรัลย์คงจะต้องโกรธเกรี้ยวเป็นแน่ ต่อให้เขาละมุนละม่อมเพียงใด วิรัลย์ก็คงไม่สมยอม ทว่าไม่นานก็ต้องยกมือขึ้นมาหมายจะสัมผัสอีก ก่อนจะดึงรั้งลงไป เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งหลายครา
ความเสน่หานั้นเป็นเหมือนดั่งพิษร้าย เมื่อต้องพิษแล้วก็มิอาจถอดถอน มีแต่พิษจะแทรกซึมเข้าสู่กระแสโลหิต ลุกลามไปยังหัวใจ ชวนให้ฤทัยสั่นไหวรักใคร่ยิ่งกว่าเดิมเท่าทวี
ศึกในการรบนั้นหาได้เคยยากยิ่งสำหรับไอศูรย์ แต่ศึกในการรักนั้น ยากนักที่จะหักห้ามใจ กว่าจะสงบสติอารมณ์ลงได้ก็ใช้เวลาไปครู่ใหญ่ เขาทอดถอนหายใจด้วยยินดีที่ตนไม่ไปรบกวนคนข้างกายให้ตื่นจากนิทรา
ทว่า...ถึงเขาจะไม่ได้ใช้มือปลุก ‘สิ่งอื่น’ ก็ไปปลุกวิรัลย์จนได้
ราชกุมารเวรุฬาสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนและแข็งขืนของบางสิ่งที่โคนขา ครั้นถูกถูไถผ่านผ้านุ่งเบาบาง วิรัลย์ก็ตกอยู่ในภาวะภวังค์กึ่งหลับกึ่งตื่น
สิ่งนั้น... หรือว่า...?
ฉับพลันก็ลืมตาโพลงขึ้นมา ก่อนจะเห็นว่าบางสิ่งที่รบกวนเขาอยู่คือตะบองยักษ์ของไอศูรย์ที่อวดอ้างศักดาอยู่ภายใต้ผ้านุ่งของผู้เป็นเจ้าของ
“พี่ทำให้น้องตื่นหรือ?”
ไอศูรย์ถามด้วยตกใจที่เห็นวิรัลย์รีบผุดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะมองตามสายตาของวิรัลย์ที่ทอดมองไปยังกลางลำตัวของเขาที่ชี้โด่ชี้เด่ไม่ถูกทิศอยู่
“พี่ทำให้น้องยักษ์ตื่นจริงเสียด้วย ขออภัยอย่างยิ่งที่ตะบองของพี่ไม่รักดี แค่ได้กลิ่นกายของเจ้า มันก็ชูชันขึ้นมา สงสัยว่ามันคงใคร่สำรวจถ้ำทองของน้อง”
วิรัลย์ถึงกับหลุดเบ้หน้า ทนฟังคำพูดหยาบโลนจาบจ้วงของเจ้ายักษ์ห่ามตนนี้ไม่ได้ ออกปากไล่ทันควัน
“ออกไปก่อนเสียที่เจ้าจะโดนตะบองจริงๆ ฟาดหัวให้แยกเป็นเสี่ยง”
เป็นคำพูดราบเรียบที่ชวนให้พรั่นพรึงยิ่งนัก คราแรกไอศูรย์ก็ทำใจดีสู้เสื้อ ส่งเสียงเง้างอด
“พิโธ่ น้องยักษ์ของพี่...”
“หากไม่ไป เจ้าก็จงทิ้งตะบองของเจ้าไว้ที่นี่”
จำต้องปิดปากสนิทเลยทีเดียวเมื่อวิรัลย์สอดมือเข้าไปใต้หมอน หยิบเอามีดสั้นของเขาที่ถูกช่วงชิงไปเมื่อหลายวันก่อนออกมากระชับถือในมือมั่น
ตะบองของเขามีอันเดียว จะให้ตัดทิ้งโดยง่ายไปได้อย่างไร
ถึงจะรู้ว่าวิรัลย์คงไม่อาจสู้พละกำลังตนได้หากต้องต่อสู้กันจริงๆ แต่ไอศูรย์ก็ไม่ใคร่จะให้เกิดเรื่องบาดหมางระหว่างตนกับยอดดวงใจ ถูกขู่เช่นนั้นก็จำยอมโดยดุษณี
“เช่นนั้นแล้ว พี่คงต้องกลับตำหนักก่อน ไว้วันรุ่งพรุ่งนี้ พี่จะมาหาน้องใหม่อีกครา”
สิ้นเสียงก็ยอมออกจากตำหนักไป ทิ้งให้วิรัลย์ถอนหายใจอย่างระอา
เจ้าไอศูรย์ตนนั้นเป็นยักษ์สติฟั่นเฟือนจริงด้วย...
ถึงจะถูกกล่าวหาว่าฟั่นเฟือน แต่ไอศูรย์ก็หาได้ไร้สติพอที่จะเดินกลับตำหนักในสภาพที่เป็นอยู่ เมื่อออกจากตำหนักของวิรัลย์มา เขาก็ยืนรอให้ตะบองยักษ์ของเขาคลายตัวคืนสู่ปกติเสียก่อน ถึงจะเดินกลับไปได้
เมื่อนั้น การิตซึ่งตามหาผู้เป็นนายด้วยไม่เห็นตั้งแต่มื้ออาหารเย็นผ่านมาเห็นไอศูรย์ยืนอยู่หน้าตำหนักของเจ้าชายต่างแคว้นพอดี จึงรีบเข้ากราบทูล
“องค์ไอศูรย์ เหตุใดพระองค์จึงมาอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมตามหาเสียตั้งนาน”
“ข้ามีเรื่องให้ต้องจัดการเล็กน้อย”
ไอศูรย์ตอบรับ ทำเอาคนฟังเลิกคิ้วสูง เพราะในยามนี้นั้น ปกติแล้วผู้เป็นนายมักจะอยู่แต่ในตำหนักตนมากกว่าออกมาเตร็ดเตร่ภายนอก
“พระองค์บัญชากระหม่อมก็ได้นี่พ่ะย่ะค่ะ ไม่เห็นต้องทรงลงมาด้วยพระองค์เอง”
ไอศูรย์ไม่ตอบ ยืนนิ่งๆ รอให้อาการกำหนัดทุเลา
ครั้นเห็นผู้เป็นนายเมินเฉย การิตก็ว้าวุ่นใจยิ่ง โดยปกติ ไอศูรย์จะไม่เมินคำพูดของเขาเช่นนี้ คงจะมีเหตุให้ต้องขบคิดหนักกระมังถึงได้เงียบงัน
“หากพระองค์ทรงมีสิ่งใดอยากจะรับสั่งกับกระหม่อม ก็ขออย่าได้เกรงพระทัย กระหม่อมยินดีทำตามพระบัญชา”
มีบริวารที่สัตย์ซื่อข้างกายก็น่ายินดีอยู่หรอก แต่เรื่องนี้จะให้ผู้ใดช่วยไม่ได้ นอกจากตัวเขาเอง
“ไม่เป็นไร ข้าจะจัดการเอง”
“องค์ไอศูรย์ ให้กระหม่อมได้รับใช้พระองค์เถิด”
ชักจะรำคาญขึ้นมาแล้ว ยิ่งเห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยของทหารเอกที่แลคล้ายจะคาดคั้นให้เขาเปิดปากพูดให้จงได้ ไอศูรย์จึงตัดสินใจเปล่งเสียงออกมา
“ตะบองของข้ามันขยายพองด้วยกำหนัดเพราะข้าได้กลิ่นหอมกรุ่นจากแก้วตา ชี้ไปข้างหน้าไม่รู้ทิศเช่นนี้ นอกจากข้าแล้ว จะมีผู้ใดจัดการให้มันสงบลงได้อีกเล่า”
สายตาของการิตเหลือบมองไปยังกึ่งกลางลำตัวของผู้เป็นนายในบัดดล ครั้นเห็นใต้ผ้านุ่งมีเนินนูน เขาก็มีสีหน้าเหลือเชื่อ
อย่าบอกนะว่าองค์ไอศูรย์จะกระทำเรื่องไม่สมควรใส่ยอดดวงใจของตนอีกแล้ว?
ไม่มีคำตอบให้กับทหารเอก ไอศูรย์ระบายลมหายใจ ไม่ใคร่สนใจว่าผู้ใดจะเอะใจเรื่องตะบองของเขาอีกแล้ว ก้าวขามุ่งหน้ากลับตำหนักของตน ปล่อยให้การิตมองตามหลัง คาดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจ้านายตนไปต่างๆ นานา
ที่ออกมาในสภาพนั้นก็คงเพราะถูกขับไล่ไสส่งมาอีกด้วยเป็นแน่...
ถูกต้องดั่งที่คาดคิด ต่อให้เขานุ่มนวลหรือหยอดคำหวานมากมายเพียงใด ยักษ์ห่ามก็ยังเป็นยักษ์ห่าม หากแค่ได้ชิดเชื้อก็เป็นถึงขนาดนี้แล้ว มีหวังคงจะอดทนได้อีกไม่นาน
...นางยักษ์ตนนั้นคงไม่แคล้วได้ถูกจอมทัพอสุราจับปล้ำทำเมีย
