Chapter.5 มากจนไม่น่าให้อภัย
ผมทั้งหงุดหงิดแล้วก็โมโห ทำไมยัยนั่นต้องทำตัวแบบนี้ด้วย ผมจะทำยังไงดีพี่เขยทำตัวแบบนั้นได้ยังไงถ้าพี่พิมรู้เรื่องจะเกิดอะไรขึ้น ผมสงสารหลานตัวเล็กๆ น้องพายกำลังน่ารักน่าชังทำลงได้ยังไง
"ให้ตายสิ กล้าบอกรักกันได้ยังไง" ผมขว้างผ้าขนหนูในมือทิ้งหลังเช็ดผมเสร็จ ควรทำยังไงกับเรื่องนี้ดีควรบอกพี่พิมดีมั้ยหรือจะไปปรึกษาแม่ก่อน เรื่องของครอบครัวคนอื่นไม่อยากยุ่งสักเท่าไหร่แต่หน้าหลานก็ลอยเข้ามาเรื่อยๆ พี่เขยผมมีชู้จริงๆ เหรอวะ
หรือว่าผมกำลังเข้าใจผิด ขอให้เป็นแบบนั้นผมเกลียดการสวมเขา ไม่ซื่อสัตย์และการโกหกมากที่สุด เหตุการณ์ร้ายๆ ที่มันผ่านเข้ามาเป็นบทเรียนในชีวิตผมทำให้ผมไม่ชอบเรื่องแบบนี้ ผมจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับคนที่รักแน่นอน
"พอร์ชเย็นนี้ต้องไปกินข้าวบ้านพี่พิมนะลูก"
"รู้แล้วครับ"
"แม่เข้าไปได้มั้ยลูก"
"ครับ" ผมกลับมาจากบริษัทก่อนเวลาเพราะสภาพอันน่าเวทนาของตัวเอง
"ทำไมกลับเร็ว ไหนว่าจะอยู่ถึงเย็น"
"มีเรื่องนิดหน่อยครับ"
"ยังไม่ทันไรก็มีเรื่องแล้ว กับใคร เรื่องอะไร พอร์ชโตแล้วนะลูก ถ้ายังทำตัวเหมือนเดิมแม่จะยึดบริษัทคืนแล้วส่งพอร์ชไปอยู่ไกลๆ อีก" ถ้าแม่ทำแบบนั้นอีกผมคงบ้าตาย คิดถึงน้องพายจะแย่ งานแต่งพี่พิมก็ไม่ได้กลับมาผมพลาดเหตุการณ์สำคัญไปตั้งหลายอย่าง กลับมาคราวนี้ผมจะไม่ยอมไปไหนไกลๆอีกแน่นอน
"อย่าใจร้ายสิครับแม่ เรื่องเล็กน้อยเอง"
"ไม่เอาแล้วนะเรื่องชกต่อย โตแล้วหัดควบคุมอารมณ์ด้วย" สีหน้าแม่ลำบากใจจนทำให้ผมยิ้มและเดินเข้าไปกอดท่าน กอดเพราะความคิดถึงและรักมากกว่าชีวิตของตัวเอง แม่ทำให้ผมเป็นคนและมีชีวิตใหม่ถ้าไม่ได้แม่ผมคงไม่มีวันนี้
"ไม่มีแล้วครับ"
"แล้ววันนี้มีเรื่องอะไร ทำไมตัวเปียกแบบนั้น ใครทำอะไร? หรือว่าไปทำอะไรใครมา" ผมไม่รู้จะตอบคำถามไหนก่อนดี สายตาแม่คาดคั้นอยากให้ผมพูดความจริง
"ผมซุ่มซ่ามเองครับไม่มีอะไรหรอก"
"พอร์ชไปทำอะไรที่ห้องน้ำพนักงาน หืม" ถ้าบอกไปก็ต้องเป็นเรื่องใหญ่ ยัยโบใหญ่อาจจะถูกตำหนิหรือไม่ก็อาจจะโดนไล่ออก ผมไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้นสักหน่อยเพราะมันง่ายไป
"ในห้องน้ำทำอะไรได้บ้างครับ"
"เรานี่"
"อย่าจับผิดผมนักสิ ผมซุ่มซ่ามเองจริงๆ ครับ" แม่ถอนหายใจพยายามเชื่อที่ผมพูด คาดคั้นหนักกว่านี้ก็คงไม่ได้อะไรมากนักหรอก
"เชื่อก็ได้ เย็นนี้อย่าลืมนะลูก"
"ไม่ลืมหรอกครับเพราะผมจะไปหาหลาน" พูดถึงหลานก็ทำให้เรื่องของพี่เขยกับยัยโบใหญ่แวบเข้ามาในหัว
"มีอะไรหรือเปล่า"
"เปล่าครับ ผมกลับมาพี่เกื้อคงหายเหนื่อยมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น" ถ้าเรื่องพี่เกื้อกับยัยโบใหญ่เป็นเรื่องจริงผมเองก็มีส่วนผิดที่ทำให้พี่เขยรับภาระหนักอึ้ง งานบริษัทคงทำให้พี่เกื้อเครียดมาก เวลาที่มีให้ครอบครัวก็น้อยลง คงเพราะแบบนี้ยัยโบใหญ่เลยเข้ามาแทรกกลาง
"ตาเกื้อเสมอต้นเสมอปลายตลอดแม้ว่าพักหลังๆ จะไม่ค่อยมีเวลาเพราะงานที่บริษัทเยอะ พอร์ชกลับมาก็ดีแล้วลูก จะได้ช่วยกันทุกอย่างที่พ่อกับแม่สร้างขึ้นมาก็เพื่อลูกๆ หลานๆทั้งนั้น" ผมรู้ว่าพ่อกับแม่ทำเพื่อลูกแล้วก็หลานท่านไม่เคยหวงสมบัติมีแต่สนับสนุนให้พวกเรากล้าเรียนรู้และบริหารต่อ พี่พิมไม่ได้มาสายบริหารก็เลยต้องส่งพี่เกื้อมาเป็นตัวแทน พี่เขยผมทั้งเก่งแล้วก็มีความรับผิดชอบสูงมากได้ใจแม่ยายไปเต็ม ๆ ผมเกือบกลายเป็นหมาหัวเน่าแล้ว
"ครับแม่"
"ดีเลย วันนี้จะได้รู้จักกับน้องสาวตาเกื้อสักที" ผมขมวดคิ้วสงสัย พี่เกื้อเป็นลูกคนเดียวไม่ใช่เหรอ หรือว่า...
"น้องคนละแม่น่ะ แม่ได้เจอหลายครั้งแล้วเป็นเด็กน่ารักแล้วก็ขยันมาก" สีหน้าแม่ผมดูภูมิใจเมื่อพูดถึงน้องสาวของพี่เกื้อ ท่านไม่ค่อยชื่นชมใครถ้าไม่เคยได้สัมผัสจริง ๆ
เย็นวันนั้นก่อนเข้าบ้านผมแวะซื้อของฝากให้น้องพายหลายอย่างแม้จะถูกบ่นจากคนในบ้านผมก็ไม่ฟัง ผมมีหลานสาวคนเดียว อยากให้ อยากตามใจเพราะผมรักหลาน
บ้านแม่กับบ้านพี่พิมอยู่ห่างกันไม่กี่กิโล ผมว่าจะหาคอนโดสักห้องเอาไว้พักผ่อนหรือไม่ก็อาจจะแยกออกมาอยู่คนเดียวเลย ผมคิดว่ามันสะดวกแล้วก็เป็นส่วนตัวมากกว่าอยู่บ้านที่มีคนใช้วิ่งวุ่น
กว่าจะมาถึงบ้านพี่พิมก็ค่ำพอดี ของในมือค่อนข้างเยอะถือไปคนเดียวคงไม่หมดแน่
"เธอ นี่ เธอน่ะ คนใช้หรือเปล่า" ผมรู้สึกไม่คุ้นเลยเพราะแสงสว่างไม่เพียงพอ ใช่มดแดงหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจตัวเล็กๆ เหมือนมดแดงคนใช้ที่บ้านพี่พิม น่าจะใช่แหละเธอหยุดเดินแล้วค่อย ๆ หันมามอง "ใช่มดแดงหรือเปล่า มาช่วยขนของหน่อยสิ" เมื่อเช้าผมมารับน้องพายที่นี่ พี่พิมแนะนำมดแดงให้รู้จักแล้ว
"ไม่ใช่ค่ะ แต่ก็ช่วยได้" เสียงใสนั่นรับคำร้องขอแล้วเดินตรงมาที่ผม
"ขอโทษทีนะ ผมนึกว่ามดแดง"
"ไม่เป็นไรค่ะ " เธอเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนผมนึกอะไรบางอย่างออก
"เธอ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง"
"ไหนคะของที่จะให้ช่วยถือ" เธอเลี่ยงไม่ตอบคำถามแล้วยังทำหน้ามึนใส่ เรื่องเมื่อกลางวันยังทำผมเจ็บใจไม่หายอยู่ๆ ก็มาโผล่ที่นี่อีก
"ไม่ต้องแล้ว ฉันถือเองได้"
"ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้ ตามใจค่ะ" ผมทำตัวเป็นเด็กตรงไหน ผมกำลังปกป้องครอบครัวอยู่ต่างหาก
"ออกไปจากบ้านพี่สาวฉันเดี๋ยวนี้"
"มีสิทธิ์อะไรมาไล่ เป็นเจ้าของบ้านเหรอ"
"ไม่ใช่เจ้าของบ้าน แต่ฉันจำเป็นต้องไล่เธอออกไปเพราะเธอคือตัวอันตราย" เธอถอนหายใจแล้วทำหน้าเซ็งใส่
"ปัญญาอ่อน" เดี๋ยวนะ! ผมได้ยินไม่ผิดใช่ไหมเธอด่าผมว่าปัญญาอ่อน ให้ตายเถอะไม่เคยมีใครด่าผมแบบนี้มาก่อน รู้สึกเจ็บจี๊ดจนอยากตะโกนเสียงดังใส่หน้ายัยบ้านี่ตอนนี้เลย
"เธอกำลังทำให้ฉันโกรธ"
"ไม่ใช่ก็อย่ารับสิ" กวนตีนชะมัด
"เธอกำลังทำให้ครอบครัวที่แสนอบอุ่นของพี่สาวฉันแตกแยก"
"ยังไง" สีหน้าไม่สะทกสะท้านนั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
"เธอเป็นเมียน้อยพี่เกื้อใช่มั้ย"
"พูดแบบนั้นได้ยังไง ใครเป็นเมียน้อยใคร" ผมหันไปตามเสียง แม่มาได้จังหวะพอดี
"ก็ยัยนี่ไงครับ สาดน้ำใส่ผมยังไม่พอ ยังแอบเป็นชู้กับพี่เกื้ออีก"
"ตายแล้ว ไปเอามาจากไหนตาพอร์ช หนูโบเป็นน้องสาวของตาเกื้อที่แม่บอกว่าจะแนะนำให้รู้จักไง รู้จักกันแล้วเหรอ แล้วไปใส่ร้ายน้องแบบนั้นได้ยังไง" น้องสาวพี่เกื้อคือยัยโบใหญ่
"ถ้าคุณป้าไม่เข้ามาเขาคงโยนโบออกไปข้างนอกแล้วค่ะ"
"มานี่เลย ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง หนูโบเข้าไปข้างในเถอะลูกป้าจัดการตาพอร์ชเอง"
"ค่ะคุณป้า" ผมเข้าใจผิด คิดเอง เออเอง คิดว่ายัยโบใหญ่คือเมียน้อยของพี่เกื้อ เหตุการณ์หลายๆ อย่างมันทำให้ผมต้องคิดแบบนั้น มันบ้ามาก บ้ามากจริง ๆ
"แม่ครับ เรื่องจริงใช่มั้ย"
"ก็ใช่น่ะสิ น่าตีให้ตายแล้วนี่ไปปากหมาอะไรใส่เขาบ้าง"
"มากจนไม่น่าให้อภัยเลยล่ะครับ"
---------------
