ตอนที่ 4 สัญญา (ที่โคตรจะขาดทุน)
บรรยากาศเงียบแถมยังอึดอัด เมื่อทั้งสองเอาแต่นิ่งขรึม มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ยังพอจะบ่งบอกว่าภายในห้องนั่งเล่นมีสิ่งชีวิตอยู่ด้วย น้ำพั้นช์เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ผิดราวกับเวลาอยู่กับเพื่อน ๆ หรือคนนอก
แต่พออยู่ต่อหน้าสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายกลับเปลี่ยนเป็นคนละคน แบบนี้มันท้าทายอำนาจกันชัด ๆ
“ขนของออกพรุ่งนี้ ตอนพี่ถามทำไมไม่บอก” เป็นทิวาที่ต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ ถ้าไม่ได้ยินน้ำพั้นช์คุยกับอาจารย์จิณณะ เขาก็คงโง่ต่อไป ไม่รู้เลยสักนิดว่าน้ำพั้นช์จบวันไหน ย้ายของออกจากหอเมื่อไหร่เพราะเธอไม่คิดจะบอกอะไรเขาเลย
“พี่ถาม ไม่ได้ยินเหรอ”
“คุณทิวากลับไปก่อนเถอะค่ะ ดึกมากแล้ว” น้ำพั้นช์ยังให้คำตอบไม่ได้ จะให้พูดตรง ๆ ว่าไม่อยากบอก ไม่อยากรับความช่วยเหลือ อย่างงั้นเหรอ เธอก็ไม่กล้าพูดอยู่ดี ดีไม่ดีอาจจะโดนสวนกลับขั้นรุนแรง
ณ เวลานี้การเงียบสำหรับเธอคือทางออกที่ดีที่สุด
“เก่งให้ได้ตลอดนะ…” เขาพูดผ่านไรฟันเพราะการไม่ตอบตรงคำถามทำให้ทิวาเริ่มจะโมโหที่ต้องมาเล่นสงครามประสาทใส่กัน
“…พั้นช์คิดว่าจะหนีหน้าพี่ หนีหน้าที่ตัวเองรอดเหรอ”
‘พั้นช์คิดให้ดี ถ้าจะจดทะเบียน พี่ไม่ยอมจดแบบขาดทุนหรอก’ ประโยคในอดีตย้อนเข้ามาในระบบสมองทั้งคู่อีกครั้ง
‘หมายความว่าไงคะ’ เด็กสาววัยสิบแปดปี เงยหน้าแล้วถามพี่ชายต่างสายเลือดอย่างรอคำตอบ
‘หน้าที่เมีย ต้องทำอะไรบ้างล่ะ’
‘แต่พี่ทิวาบอกว่าห้ามให้ใครรู้เรื่องจดทะเบียนไงคะ’
‘อยู่ข้างนอกพี่คือพี่ชาย แต่กลับมาบ้านพี่จะเป็นสามีของพั้นช์!’ คำขู่จากคนตัวโต ทำเอาน้ำพั้นช์หน้าเหลือสองนิ้ว ลำพังตัวเธอเองไม่ได้ต้องการเรียกร้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่สุดท้ายเธอก็ต้องบอกความจริงอีกด้านให้เขารู้
‘พั้นช์ขัดคุณลุงไม่ได้ค่ะ’ น้ำพั้นช์สารภาพบาปกับทิวา
‘งั้นสี่ปีที่จดทะเบียน พั้นช์ไปเรียน พี่ก็จะให้อิสระ แต่กลับมาบ้านพั้นช์ต้องทำหน้าที่ตัวเอง ครบเวลาที่เราตกลงกันพี่จะหย่าให้พั้นช์เอง!’
“ครบสี่ปีแล้ว พั้นช์อยากให้คุณทิวาทำตามสัญญาค่ะ” คนตัวเล็กกุมมือตัวเองแน่น ก่อนจะรวบรวมความกล้าเพื่อเอ่ยสิ่งที่ค้างคาออกมา
ในเมื่อไม่คิดจะใช้ชีวิตคู่ด้วยกันตั้งแต่แรกก็ควรให้ทุกอย่างจบตามสัญญา
“สัญญาที่ขาดทุน พั้นช์คิดว่านักธุรกิจอย่างพี่จะทำตามโดยไม่ได้รับค่าเยียวยาอะไรหน่อยเหรอ”
“…” น้ำพั้นช์นั่งเงียบ
“พี่ต้องเสียเวลา เสียโอกาสเจอผู้หญิงที่ถูกใจ…” เขาพูดออกมาอย่างไม่เกรงกลัวว่าคนฟังจะรู้สึกยังไง
“…แล้วพั้นช์ไม่คิดจะตอบแทนค่าเสียเวลาให้พี่หน่อยเหรอ”
“ยัยพั้นช์!” แต่แล้วเสียงเรียกจากในห้องนอนปกรณ์ก็ดังซะก่อน
“คุณทิวากลับไปก่อนเถอะค่ะ เพื่อนพั้นช์น่าจะดีขึ้นแล้ว”
“ไว้ใจได้แค่ไหนกัน” คนเมาก็คือคนเมา ต่อให้เป็นเพื่อนรัก เขาก็ไม่ไว้ใจอะไรทั้งนั้น
“ยัยน้ำพั้นช์! ฉันหิวน้ำ เอาน้ำมาให้หน่อย~” ปกรณ์ยังคงตะโกนดังลั่นห้อง อาการเพื่อนสาวเป็นแบบนี้เสมอเมื่อของมึนเมาเข้าร่างกาย
“เอาน้ำไปเพื่อนสิ เสร็จแล้วก็เข้าห้องตัวเอง ล็อกห้องให้เรียบร้อย พี่จะอยู่รอจนแน่ใจแล้วจะกลับ”
เมื่อได้ยินดังนั้นน้ำพั้นช์รีบทำตามอย่างไว อยากให้เขากลับไปสักที ขืนนั่งกันแบบนี้ทั้งคืน คนที่อึดอัดที่สุดน่าจะเป็นเธอ เพราะดูท่าทางเขาแล้วเหมือนต้องการกลั่นแกล้งเธอมากกว่า
เช้าวันใหม่ที่แสนจะอึดอัด น้ำพั้นช์คิดว่าแค่เมื่อคืนคงไม่มีอะไรอึดอัดเท่านี้อีกแล้ว แต่พอตื่นเช้าต้องเผชิญหน้ากับคน ๆ เดียวกับเมื่อคืน ใบหน้าหวานหยดก็เริ่มจะถอดสีหน้าทันที
น้ำพั้นช์เคลียร์ห้อง ข้าวของทุกอย่างยัดใส่กระเป๋าไว้ตั้งแต่วันพรีเซนวิจัยจบแล้ว เธอตั้งใจว่าพอถึงวันย้ายออกจะได้ไม่พะรุงพะรัง ลืมนู่นลืมนี้ให้เสียเวลา เธอจะได้ส่งของกลับบ้านแล้วเดินทางกลับเพียงกระเป๋าใบเดียว
แต่เมื่อเปิดประตูห้องก็พบกับทิวาที่มายืนรอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แค่ว่าวันนี้เธอต้องกลับไปที่รีสอร์ตกับเขาตามที่นัดไว้กับลุงทศ
“คุณทิวาคะ…” ตลอดทางที่นั่งมาในรถ ต่างเงียบกริบ ไม่มีใครยอมเป็นฝ่ายพูดก่อน จนน้ำพั้นช์ต้องยอมแพ้แล้วอยากเปิดประเด็นกันก่อนถึงรีสอร์ต
“หืม!?” เขาขานทั้งที่สายตายังจับจ้องเส้นทาง
“พั้นช์อยากคุยเรื่องที่เราตกลงกันไว้ค่ะ”
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องสัญญาไงคะ”
“กลับไปคุยกันที่รีสอร์ต” ทิวาหันมามองแล้วบอกเสียงเข้ม
“ทะเบียนสมสรคุณทิวาอยู่ที่บ้านใหญ่รึเปล่าคะ พั้นช์จะได้บอกคุณลุงให้เอาขึ้นมาด้วย” น้ำพั้นช์ไม่ยอมหยุด ยังคงพูดต่อ
“พี่ขับรถอยู่ ค่อยคุย!” คราวนี้ทิวาไม่ได้แค่เปล่งเสียงเข้ม ๆ แต่กลับตวาดดุดัน
“แค่คุณทิวาบอก แค่นี้ไม่รบกวนอะไรเลยสักนิด” คนไม่ยอมแพ้ก็ยังเซ้าซี้ต่อ ไหน ๆ จะโดนดุแล้วก็เอาซะทีเดียว ปะทะคารมกันครั้งเดียวแล้วจบก็ถือว่าคุ้ม
“น้ำพั้นช์! ที่พี่พูดไม่เข้าใจเหรอ”
“คุณทิวาก็บอกมาสิคะ เราจะได้ไม่เสียเวลากัน”
“สี่ปีนี่ยังไม่เรียกว่าเสียเวลาอีกเหรอ” ได้โอกาสทิวาจอดรถติดไฟแดงพอดี เขาจึงหันมาตะคอกใส่คนตัวเล็ก
“พั้นช์กำลังจะคืนอิสระให้คุณแล้วไงคะ”
“ได้! รอให้ถึงรีสอร์ตก่อน แล้วเรามาคุยเรื่องสัญญากัน” แววตาคมจ้องมองน้ำพั้นช์ นัยน์ตาคมมองลึกเข้าไปในดวงตากลมโตนั้น สื่อความหมายชัดเจนว่าเธอควรจะเชื่อฟังเขา ไม่ใช่ต่อปากต่อคำใส่เขาแบบนี้
แต่จนแล้วจนเล่าสุดท้ายก็ไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ในรถ กลับมาถึงรีสอร์ตเขาก็แยกออกไปเลย ทิ้งให้พนักงานรีสอร์ตเป็นคนพาเธอไปส่งที่บ้านหลังท้ายสุด
“คุณทิวาฝากมาบอกว่าให้คุณน้ำพั้นช์พักผ่อนให้เต็มที่ ตอนเย็นคุณทิวาจะกลับเข้ามาครับ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
พนักงานรีสอร์ตยกกระเป๋าเข้ามาในบ้านเรียบร้อยก็กลับไปทำงานหน้าที่ตัวเองต่อ น้ำพั้นช์เดินดูรอบ ๆ บ้านหลังใหญ่ บริเวณบ้านล้อมรอบด้วยธรรมชาติ มองไกลออกไปจะเห็นทิวทัศน์ทิวเขาไกลหูไกลตา บรรยากาศด้านหลังมีลำธารจากเขาไกลผ่าน อากาศค่อนข้างหนาวเย็นสบายกำลังดี ตัวบ้านเป็นไม้สีน้ำตาล ด้านในตกแต่งด้วยเครื่องไม้ซะส่วนใหญ่ ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในบ้านดูอบอุ่น ร่มรื่น
ทุกอย่างออกจะดูดี น่าประทับใจกับการมาที่นี่ครั้งแรก เพียงแต่ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านพักของเจ้าของรีสอร์ตและดูเหมือนว่าชั้นบนจะมีแค่ห้องนอนเดียวเท่านั้น
ครืดดด ครืดดด
เสียงโทรศัพท์มือถือดังเพียงสองวินาที น้ำพั้นช์รีบกดรับทันทีเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ
“ค่ะ คุณลุง”
(หนูพั้นช์อยู่รีสอร์ตแล้วใช่ไหมลูก)
“ค่ะ” ลุงทศคงรู้จากทิวาแล้วว่าเธอมาอยู่ที่นี่
(ลุงเคลียร์งานที่โรงแรมเรียบร้อยจะรีบขึ้นไปหานะ)
“เอ่อ…ลุงทศคะ”
(หืม!?)
“คุณลุงช่วยเอาเอกสารทะเบียนสมรสคุณทิวามาด้วยได้ไหมคะ” ในเมื่อทิวาต้องการจะแกล้งเอาคืนเธอ เธอก็ควรจะหาที่พึ่งเพื่อไกล่เกลี่ยปัญญาให้จบตามที่สบายใจทั้งสองฝ่าย
เขาจะได้มีอิสระ ไปเจอผู้หญิงที่ถูกใจ อย่างที่เขาเคยกรอกใส่หูเธอนับครั้งไม่ถ้วน
(ทำไมล่ะ…) เสียงชายวัยกลางคนดูอ่อนลงไปทันที
“ลุงทศคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะที่พั้นช์จะหย่า”
ด้านทศพลเงียบอย่างนึกไม่ถึงว่าจะเร็วเกินกว่าที่คิด เข้าใจว่าน้ำพั้นช์เรียนจบ ทั้งคู่คงลองใช้ชีวิตคู่กันดูก่อน หากไปกันไม่รอด ผู้หลักผู้ใหญ่อย่างเขาย่อมเข้าใจดี
(ลุงจะเอาเอกสารขึ้นไปให้)
คำพูดที่หนักแน่นจากปากญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่น้ำพั้นช์นับถือพลอยทำให้หัวใจเศร้าหมองมานานหลายปียิ้มออกมาอย่างคลายกังวล เธอมั่นใจว่าทิวาต้องหย่าเพราะเขาไม่ยินยอมตั้งแต่แรก แค่ตอนนี้ที่เขาไม่ยอมคุยก็เพราะต้องการเอาคืนเรื่องที่เธอหนีหน้าไม่ยอมกลับบ้านตามที่ตกลงกันไว้
และคนเดียวที่น้ำพั้นช์กลัวมากที่สุดคือลุงทศพลว่าจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่พอลุงทศรับปาก เธอก็เบาใจแล้วว่าหลังจากนี้จะไม่เป็นตราบาป
ไม่ใช่เรื่องราวแย่ ๆ ไม่ใช่ตัวขัดความสุขของใครอีกแล้ว!
“พั้นช์กำลังจะคืนอิสระให้พี่ทิวาแล้วนะคะ…”
