ตอนที่ 2 พี่ชาย (ร้ายกาจ)
ร้านนั่งชิลหรือสถานที่บันเทิงในเวลาสามสี่ทุ่ม เป็นเวลาที่เหล่าวัยรุ่น คนทำงาน เริ่มออกมาสังสรรค์กันหนาตา วันนี้หลังจากทิวาไปเป็นวิทยากรให้คณะการจัดการการท่องเที่ยว เขาอยู่พูดคุยแลกเปลี่ยนอัปเดตเทรนการท่องเที่ยวกับอาจารย์จิณณะจนดึกดื่น ก่อนที่จะชวนกันมานั่งดื่ม
“ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยครับว่าคุณทิวามีน้องสาวด้วย”
ทิวาเพียงยิ้มมุมปาก ก้มศีรษะเล็กน้อย แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมาเกี่ยวกับน้ำพั้นช์
“วันเปิดตัวรีสอร์ต ผมไม่เห็นน้ำพั้นช์ไปร่วมงาน เข้าใจว่าคุณเป็นลูกคนเดียวซะอีก” เพราะอายุวัยใกล้เคียงกัน คำพูดคำจาสองหนุ่มเลยดูสนิทสนมกันเร็ว
ก่อนหน้านี้ทั้งคู่ได้รู้จักกันในฐานะนักธุรกิจ จนกระทั่งจิณณะจะผันตัวมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเมื่อปีที่แล้ว
“พั้นช์ติดสอบครับ” ทิวาบอกตามที่รู้จากพ่อ ถึงสาเหตุที่น้ำพั้นช์ไม่ได้มาร่วมงาน ทั้งที่รีสอร์ตอยู่ในจังหวัดเดียวกัน
“เหรอครับ น่าจะสอบนอกตารางแน่เลย ผมเลยไม่รู้”
คำพูดของอาจารย์จิณณะทำให้ทิวาเข้าใจในทันทีว่าน้ำพั้นช์โกหก
“อาจารย์จิณณ์ รู้ได้ไงครับว่าผมเป็นพี่ชายพั้นช์”
“อาทิตย์ก่อนน้ำพั้นช์ไปพบผมเรื่องวิจัยจบก็เลยได้พูดคุยกันครับ ผมจำได้ว่านามสกุลเดียวกัน มีโอกาสก็เลยถามน้ำพั้นช์ครับ”
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง” ทิวาพยักหน้าเข้าใจ คำว่า ‘พี่ชาย’ มาจากปากน้ำพั้นช์เอง
“น้ำพั้นช์เรียนจบแล้ว จะเข้าบริหารที่รีสอร์ตหรือเปล่าครับ”
ทิวาเลิกคิ้วอย่างสนใจในคำถาม ดูท่าทางอาจารย์จิณณะจะสนใจน้องสาวเขาเป็นพิเศษ
“ผมยังไม่คุยเรื่องนี้กับพั้นช์เลยครับ”
“อ้อครับ…”
“อาจารย์จิณณ์อยากบอกผมอะไรหรือเปล่าครับ” เขาเปิดโอกาสอย่างใจเย็นและใจกว้างเพื่อดูท่าทีคนที่สนใจน้องสาวเขา
“น้ำพั้นช์เป็นเด็กหัวดี ถ้าเรียนต่อโทไปด้วยทำงานไปด้วย น้ำพั้นช์น่าจะไปไหว จะได้จบโทตั้งแต่อายุยังน้อยครับ”
“เดี๋ยวผมจะลองเอาเรื่องนี้ไปเสนอคุณพ่อผมดูให้ครับ เผื่อคุณพ่อผมจะมีแพลนส่งพั้นช์เรียนต่อ”
“เอ่อ…เรียนต่อที่เดิมก็ดีนะครับ”
มือใหญ่ที่กำลังกระดกแก้วไวน์หยุดชะงักนิ่ง เมื่ออาจารย์จิณณะกล้าที่จะพูดตรงไม่อ้อมค้อม ดีเหมือนกันเพราะเขาขี้เกียจจะเดา
อาจารย์คนนี้แน่มาก แน่จริง ๆ ที่กล้าจีบเมียคนอื่นต่อหน้าคนที่ครอบครองน้ำพั้นช์ทั้งพฤตินัยและนิตินัย!
หญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้มยาวสลวยถึงกลางหลัง ผมด้านหน้าตัดเป็นหน้าม้า ชะโงกหน้ามองหาพวกเพื่อน ๆ หลังจากที่เธออาสาเอารถปาร์ตี้ไปจอดให้
น้ำพั้นช์ใส่กางเกงยีนส์ เสื้อกล้ามเว้าหลังสีดำขอบสีขาว สวมรองเท้าผ้าใบ กำลังก้าวเข้ามาในร้านนั่งชิล ความจริงวันนี้พวกเขานัดกันที่สถานบันเทิง แต่เพราะเป็นวันศุกร์เลยทำให้ที่ร้านลูกค้าแน่นร้าน ไม่มีโต๊ะว่าง ต้นหลิวที่มาจองโต๊ะก่อนจึงเปลี่ยนร้านมาเป็นร้านนั่งชิลแทน
แต่ขนาดร้านนั่งชิลลูกค้ายังแน่นร้านเลย เธอเดินเข้ามาในร้าน มองหากลุ่มเพื่อนตัวเอง แต่ด้วยหน้าตาและผิวพรรณที่ขาวออร่า สามารถเรียกสายตาคนในร้านได้เป็นอย่างดี
“ทางนี้แก!” ต้นหลิวโบกไม้โบกมือ
“ไปจอดรถถึงปากซอยเหรอย่ะ โคตรช้า” ส่วนยัยปาร์ตี้ก็เอ่ยกระแหนะกระแหนทันทีที่หย่อนตัวนั่งลงข้าง ๆ
“บ่นมาก ทีหลังฉันให้แกเอารถไปเก็บเอง”
“โอเคจ้ะเพื่อนรัก ตีตี้จะสงบปากสงบคำจ้ะ” ไม่พูดเปล่า ใบหน้าหล่อสะอาดโน้มมาออดอ้อนเป็นการขอโทษ
“เกือบไม่ได้โต๊ะ ดีนะไอ้วินมันรู้จักกับการ์ดหน้าร้าน” ต้นหลิวพูดต่อ ยกความดีความชอบให้นาวินเพื่อนต่างคณะอีกคนที่มาร่วมโต๊ะด้วย
“ไหว้ขอบคุณพี่ยัง” นาวินเลิกคิ้ว ตบมือมาที่หน้าอกแกร่ง ๆ ของตัวเอง
“ฝันไปเถอะย่ะ!” แต่ต้นหลิวกลับผลักหน้าอกแกร่งของนาวินซะแรง ทำเอาชายทั้งแท่งเกือบจะแช่ตกเก้าอี้ “รุนแรง!”
“ฉันไหว้ขอบคุณแทนได้นะ…เปลี่ยนตรงนั้นเป็นตรงนี้ยังได้เลย” ปาร์ตี้เอื้อมมือไปลากปลายนิ้ววนที่หน้าอกเลื่อนต่ำจนเกือบถึงเป้ากางเกง แต่ก็โดนมือนาวินตะครุบซะก่อน
“ขนลุกวะ!” ก่อนจะสะบัดมือปาร์ตี้โยนไปไกล ๆ
น้ำพั้นช์ส่ายหน้าเอือมระอากับท่าทีของเพื่อน ๆ “เดี๋ยวฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
“อะไรกันยังไม่ดื่มอะไรเลย” ต้นหลิวโวย
“อั้นฉี่ตั้งแต่อยู่หอแล้ว ยัยตี้เร่งจนฉันต้องมาเข้าที่ร้านเนี่ย”
“อ้อเหรอ งั้นรีบไปรีบกลับ”
น้ำพั้นช์ลุกออกจากโต๊ะแล้วสาวเท้าไปทางหลังร้าน เธอเดินออกมาได้สักพักรู้สึกเหมือนใครกำลังจ้องมองมา แต่พอเหลียวหลังกลับไปมองก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ เธอจึงก้าวขาเพื่อเข้าไปในห้องน้ำ ทว่าเข้าไปได้ไม่นานเธอก็ต้องเดินออกมาเพราะด้านในคนแน่นจนอึดอัด
เมื่อเดินออกมาใบหน้าหวานกลับสลดเปลี่ยนสีหน้าทันที
“คุณทิวา…”
“เดี๋ยวนี้ไม่เรียกพี่แล้วเหรอ”
“เอ่อ…”
“ติดอ่างตั้งแต่เมื่อไหร่หรือต้องส่งไปเรียนฝึกพูดใหม่”
คนทำตัวไม่ถูกหน้าชาเหลือสองนิ้ว เขานี่มันปากร้ายไม่เคยเปลี่ยน พูดนิดพูดหน่อยก็กระแหนะกระแหนตอกกลับอยู่นั้นแหละ
“อยู่ด้านนอก เรียกคุณทิวาถูกแล้วนี่คะ”
“พี่พูดอะไรไว้ ทำตามคำสั่งให้ได้ตลอดนะ” เขายืนกอดอกจ้องหน้าน้องสาวที่จดจำคำสั่งเขาเก่งเกินคาด แววตาเขาไม่เคยอ่อนโยนกับเด็กผู้หญิงคนนี้อยู่แล้ว
น้ำพั้นช์หลบสายตาไม่กล้ามองหน้ากลับ จนเหลือบไปเห็นสัญญาณบ้างอย่างด้านหลังทิวา
“ไม่มีอะไรแล้ว พั้นช์ขอตัวนะคะ”
“ย้ายของออกจากหอวันไหน”
ทว่าไม่ทันที่น้ำพั้นช์จะเดินผ่านร่างสูง จู่ ๆ น้ำเสียงนิ่งเรียบก็เอ่ยถามซะก่อน
“ยังไม่แน่ใจค่ะ”
“บอกวันมา พี่จะเอารถที่รีสอร์ตมาช่วยขนของ” ทิวาเอียงตัวไปหาน้องสาว จ้องตาดุดันใส่ดวงตาหวาน ๆ คู่นั้น
“เอ่อ…” แต่คนอยากปฏิเสธนึกคำพูดในทันทีไม่ออก
“จะเอ่อจะอาอะไร เสียบุคลิก!” คราวนี้ทิวาเอ่ยเสียงดุกว่าเดิม
“ขอโทษค่ะ” เธอก้มหน้าไม่กล้าพอที่จะมองกลับ
“ตกลงตามนี้นะ ย้ายออกวันไหนก็โทรมาหาพี่แล้วกัน”
“คุณทิวาคะ”
“…” ทิวาหมุนตัวกลับมาหาใหม่
“ของพั้นช์ไม่เยอะ คุณทิวาไม่ต้องเอารถมาช่วยขนของก็ได้ค่ะ มีแค่กระเป๋าสองสามใบเอง พั้นช์กะว่าจะส่งกลับกรุงเทพก่อนเดินทางค่ะ”
เมื่อน้ำพั้นช์พูดจบ ใบหน้าคมนิ่งราวกับลมพัดผ่านหู เขาหมุนตัวก้าวเท้าออกจากตรงนั้นเพื่อจบการสนทนา
“คนนี้เหรอ พี่ชาย ?” นาวินออกมาดักรอน้ำพั้นช์เข้าห้องน้ำและรอจนกว่าน้ำพั้นช์จะคุยกับร่างสูงที่เดินผ่านไปเมื่อกี้เสร็จเรียบร้อยจึงเข้ามาหาทันที
“ยัยต้นหลิวบอกเหรอ”
นาวินยักคิ้ว “ตกลงพั้นช์คุยกับต้นหลิวให้ยัง”
“เดี๋ยวคุยให้น่า ใจร้อนไปได้” น้ำพั้นช์ตบบ่าเพื่อนให้ใจเย็น แต่สายตายังมองตามหลังร่างสูงที่เดินไปไกลมากแล้ว
“คนมันรัก ใครจะใจเย็นไหววะ”
“เวอร์ม๊ากกก~” ก่อนที่น้ำพั้นช์จะต้องกลอกตามองบนกับสิ่งที่เพื่อนเอ่ยออกมา
“ก็รักจริงหวังแต่ง อยากได้เป็นเมียใจจะขาดแล้ว” นาวินกระทืบเท้าอย่างเอาแต่ใจ เกาะแขนน้ำพั้นช์อ้อนวอนของความเห็นใจ จากนั้นทั้งคู่ก็พากันเข้ามาในร้านด้วยสภาพยื้อยุดกันไปมาจนถึงโต๊ะ