ตอนที่ 1
ผับไรซ์ดร้า เป็นสถานบันเทิงชื่อดังที่บรรดาไฮโซในสังคมรู้จักกันดี ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเบิร์น เมืองหลวงของสวิสเซอร์แลนด์ สถานบันเทิงที่เหล่าไฮโซ ดารา นางแบบ และคนมีชื่อเสียง ไม่เว้นแม้แต่นักการเมืองหรือพวกคนทำงานมีอันจะกินมักจะมาหาความสนุกสนานใส่ตัวในยามราตรี
ด้านหน้าของผับคือลานจอดรถกว้างและเห็นได้ชัดว่ามีรถยนต์คันหรูจอดเรียงรายกันแน่นขนัด ยิ่งดึกก็ยิ่งมีรถแล่นเข้ามาจอดเรื่อยๆ เลยไปถึงด้านหลังของตัวผับโดยไม่มีท่าทีว่าจะมีรถคันไหนขับออกไปเลยแม้แต่น้อย และตรงประตูทางเข้านั้น สตรีร่างสูงเพรียวในชุดเสื้อเชิ้ตสวมทับด้วยสูทสีเข้มดูทะมัดทะแมงกำลังเดินวนไปเวียนมาด้วยความร้อนรุ่มกลุ้มใจ พลางก็ชะเง้อชะแง้มองหารถยนต์คันที่เธออยากจะเห็นมากที่สุด บางขณะนั้นก็จะเหลียวกลับไปมองด้านในด้วยความวิตก ก่อนที่รอยยิ้มกว้างแห่งความโล่งอกจะปรากฏที่ริมฝีปากบนใบหน้าแหลมเล็กของสาวเจ้าเมื่อรถยนต์ราคาหลายสิบล้านแล่นมาจอดตรงหน้า และทันทีที่รถจอดสนิท บุรุษที่เธอเฝ้ารอก็ก้าวลงจากรถทันทีโดยไม่รอให้บอดี้การ์ดมาเปิดให้ น้ำเสียงห้าวเข้มนั้นถามอย่างร้อนใจไม่แพ้กัน
“ลิต้าอยู่ไหน”
ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไรแล้ว แอนนิต้ารีบเดินนำมาเฟียหนุ่มเข้าไปด้านในที่ค่อนข้างมืดมีเพียงแสงไฟสลัวๆ จากแสงสีหน้าเวทีซึ่งมีนักร้องกำลังขับขานเพลงท่วงทำนองเร้าใจให้บรรดานักท่องราตรีดีดดิ้นปลดปล่อยอารมณ์ส่องพอมองให้เห็นทาง จนกระทั่งหญิงสาวเดินมาหยุดที่มุมอับสุดของผับที่เป็นเพียงโซฟาตัวเล็กๆ สองที่เพื่อมาหา ‘ลิต้า’ ซึ่งจากคำบรรยายของรองผู้จัดการสาวที่ชายหนุ่มได้รับรู้คือ เจ้าหล่อนเมาจนไม่ได้สติสตังพูดอะไรก็ไม่รู้เรื่องด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปกี่แก้วก็ไม่อาจนับได้
“ยัยลิต้าเมามากเลยค่ะ ฉันไม่รู้ว่าจะพึ่งใครดี จะให้ลูกน้องพาไปส่งบ้านก็ไม่ไว้ใจ เลยคิดถึงคุณขึ้นมา” แอนนิต้าอธิบาย ความจริงเธอก็อยากจะเป็นคนพาเพื่อนสาวไปส่งยังที่พักเองล่ะนะ เพียงแต่ว่าเธอกำลังวุ่นวายอยู่กับลูกค้าที่วันนี้ไม่รู้มาจากไหนกันเยอะแยะ เยอะจนเธอต้องปล่อยให้ลันลิตาเพื่อนที่โตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยกันนั่งดื่มอยู่คนเดียวจนเธอต้องโทรไปรบกวนผู้มีพระคุณอย่างแฟรงคลิน...แต่...
ยัยลิต้าหายไปไหน!
โซฟาที่เธอกับแฟรงคลินมาหยุดยืนอยู่ไม่มีเงาของแม่สาวร่างเล็กที่แทบจะหมดสติอยู่เมื่อครู่ สองหนุ่มสาวมองสบตากันอย่างเป็นกังวลก่อนที่แอนนิต้าจะเริ่มเดินหาเพื่อน และไล่ถามลูกน้องเด็กเสิร์ฟไปทั่ว ในขณะที่แฟรงคลินก็สั่งให้เจคอบกับยานิสที่เพิ่งจะตามเข้ามาช่วยกันออกตามหา เพราะเกรงว่าหญิงสาวในสภาพเมามายจะได้รับอันตรายเข้า
แต่แล้ว ระหว่างที่ทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการตามหาลันลิตา เสียงดนตรีที่ดังก้องภายในผับก็หยุดชะงักลงจนนักร้องถึงกับหน้าเหวอ และยิ่งเหวอนักขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็มีผู้หญิงตัวเล็กๆ ท่าทางไม่ค่อยสมประกอบนักเดินเซซ้ายเซขวาขึ้นมาบนเวทีด้วยรอยยิ้มหวานๆ กับตาลอยๆ อย่างคนเมา ทั้งยังมาแย่งไมโครโฟนไปจากมือของเขาพลางก็ส่งเสียงหัวเราะแหลมๆ จนบรรดาลูกค้ามากันอื้ออึงเซ็งแซ่ว่าเจ้าหล่อนเป็นใคร และเสี้ยววินาทีนั้นเองที่เสียงแหลมๆ ยานๆ ของเจ้าหล่อนก็ร้องเพลง I will survive ออกมาให้ปวดหูเล่น
“...At first I was afraid, I was petrified
kept thinking I could never live without you by my side
but then I spent so many nights thinking how you did me wrong
and I grew strong and I learned how to get along...”
“เวรแล้ว ไอ้ลิต้า” แอนนิต้าถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าคนที่ขึ้นไปป่วนบนเวทีนั้นคือยัยเมรีขี้เมาเพื่อนของเธอเอง สาวเจ้ารีบสั่งให้ลูกน้องขึ้นไปดึงตัวลันลิตาลงจากเวทีก่อนจะวิ่งเข้าไปหาแฟรงคลินที่ยืนอึ้งกับสภาพของหญิงสาวและใช้ฝ่ามือตบหน้าผากตัวเองผางใหญ่ นึกสบถอยู่ในใจว่า
‘แค่ผู้ชายคนเดียว เธอเป็นไปได้ถึงขนาดนี้เลยหรือลิต้า’
ระหว่างที่นั่รถมายังผับไรซ์ดร้า แฟรงคลินได้สอบถามสาเหตุที่ทำให้ลันลิตา สาวน้อยเด็กกำพร้าชาวไทยต้องถึงกับดื่มเหล้าหนักจนไม่ได้สติทั้งที่ไม่เคยดื่มมาก่อน แต่ตอนนี้เห็นทีต้องบอกว่าดื่มหนักจนขาดสติเสียมากกว่า และคำตอบที่ได้ก็ทำเอาใจหนุ่มอย่างเขาเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก จะพูดก็พูดไม่ออกเหมือนมีก้อนแข็งๆ มาจุกลงคอ
“ยัยลิต้าเลิกกับแฟนค่ะ เมื่อตอนกลางวันก็เพิ่งจะจับได้ว่าตานั่นแอบพาผู้หญิงไปซุกบนห้อง ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา นายนั่นมันก็บอกเลิกลิต้า”
“นายครับ เราพาคุณลิต้าออกไปจากที่นี่ดีกว่านะครับ คนมองกันใหญ่แล้ว” เจคอบเอ่ยเตือนเมื่อแอนนิต้ากับลูกน้องของเจ้าหล่อนหิ้วปีกลันลิตาที่ยังคงโวยวายร้องเพลง I will survive ต่อแบบไม่อายสายตาใคร อย่าว่าแต่อายเลย เวลานี้เธอคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรลงไป
“พาลิต้าไปที่รถของฉัน เดี๋ยวฉันจะไปส่งลิต้าเอง” แฟรงคลินเอ่ยกับแอนนิต้าที่รีบพยักหน้าให้ลูกน้องช่วยกันหิ้วปีกเพื่อนไปยังลานจอดรถแต่กว่าจะพาออกมาได้ก็เล่นเอาเหนื่อยไปตามๆ กันเพราะคุณเธอดีดดิ้นตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังลั่นไม่หยุดปาก
“เฮ้ย...ปล่อยน้า...จะพาช้านไปหนาย...ช้านบอกให้ปล่อย...โอ๊ะ...” เสียงอุทานสุดท้ายคือเสียงที่สบถออกมาเมื่อถูกแฟรงคลินกระชากและเหวี่ยงเบาๆ เข้าไปในรถอย่างหมดความอดทนจากนั้นก็หยิบเอาธนบัตรปึกใหญ่ลงให้ลูกน้องของแอนนิต้าเป็นการตอบแทน
“ฝากลิต้าด้วยนะคะคุณแฟรงค์” แอนนิต้าเอ่ยเสียงอ่อนก่อนจะโค้งศีรษะทำความเคารพน้อยๆ และเดินกลับเข้าไปในผับอย่างหมดห่วง...และปล่อยทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของแฟรงคลินแทน
“ไปส่งคุณลิต้าที่ห้องพักเลยมั้ยครับนาย” เจคอบเอ่ยถามพลางเหลือบมองสาวสวยหน้าหวานที่เวลานี้กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นคล้ายคนละเมอทั้งยังวาดแขนมาเกาะเบาะคนขับของเขาแน่นจนเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นเหล้าคละคลุ้งชวนคลื่นเหียน
“อืม...” สั้นๆ ก่อนที่แฟรงคลินจะดึงเอาคนตัวเล็กให้เอนตัวมาพิงกับพนักเบาะ จัดการปัดผมเผ้ายุ่งเหยิงของหญิงสาวให้เข้าที่เข้าทาง ตาสีฟ้าอมเขียวพิศมองใบหน้าซีดเซียวที่เขาหลงใหลด้วยแววอ่อนแสงในแบบที่ไม่เคยใช้มันมองใคร...เธอเป็นเพียงคนเดียวที่เขาจะใช้สายตาแบบนี้ทอดมอง
ทำไมนะลันลิตา...ทำไมถึงต้องมาเสียผู้เสียคนเพียงเพราะผู้ชายห่วยๆ เพียงคนเดียว...ชายหนุ่มพร่ำเพ้ออยู่ในใจ กี่ปีแล้วนะที่เขาเฝ้ามองเธอจากมุมหนึ่งไกลๆ มองความเป็นไป ความสำเร็จของเธออย่างมีความสุข นานมาแล้วยังจำได้ ครั้งแรกที่ได้พบกับเธอ คือวันที่เขาไปเดินดูสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเนปาตี ที่ยื่นเรื่องขอการสนับสนุนด้านการเงินกับเขา และเขาก็ได้พบกับเด็กสาววัยสิบแปดที่กำลังนั่งซึมหงอยอยู่บนชิงช้า ตาก็มองบรรดาน้องๆ เด็กกำพร้าเล่นม้าหมุนอย่างสนุกสนาน โลกของเด็กน้อยจะไม่เปิดเพื่อรับรู้ความทุกข์ของผู้ใหญ่ที่กำลังเผชิญ
...สถานเลี้ยงเด็กกำพร้านี้จะถูกธนาคารยึดเพราะไม่มีงบประมาณมากพอในการบริหารจนมาดามเนปาตีต้องนำโฉนดไปจำนอง สุดท้ายก็ไม่มีเงินไถ่ถอน จนต้องวิ่งเต้นของบสนับสนุนจากบริษัทต่างๆ แต่ก็ถูกปฏิเสธจนกระทั่งมาถึงบริษัทของเขา...
