บทที่ 1 จุดเริ่มต้นของนักรบ 2
เดฟปราดเข้ามาตรวจอาการชายหนุ่ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่ชีพจรและความดันของอีกฝ่ายกลับมาสู่ในระดับปกติแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังทรงๆ ทรุดๆ อยู่แท้ๆ
“คุณเป็นยังไงบ้าง รู้สึกเจ็บปวดตรงไหนมากเป็นพิเศษไหม” ภาษาไทยสำเนียงแปร่งหูเอ่ยถาม
“ไม่...น้ำ ขะ...ขอน้ำ” นั่นคือคำพูดแรกของคนที่เพิ่งหลุดพ้นจากความตาย
ปริญรีบรินน้ำใส่ลงในแก้วแล้วประคองศีรษะคนเจ็บขึ้นอย่างระวัง มองดูเจ้าของใบหน้าคมเข้มที่ยามนี้ซีดเผือดรีบดื่มน้ำเร็วๆ ด้วยความหิวกระหาย ก่อนจะประคองให้นอนราบลงตามเดิม
“คุณเป็นยังไงบ้าง” คราวนี้ปริญเป็นคนถาม
“เจ็บ”
“ตรงไหนครับ”
“ทั้งตัว” เขาตอบเสียงแหบพร่า ริมฝีปากสั่นระริกเมื่อความเจ็บปวดถาโถมเข้ามาใส่
“ฉีดมอร์ฟีนให้เขาหน่อย” เดฟหันมาบอกกับหนุ่มคนรัก แล้วขยับเข้าไปใกล้ขึ้นอีกเพื่อพูดคุยกับคนไข้ของเขา
“คุณได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก โคม่าไม่ได้สติมานานหลายวัน ตอนแรกผมคิดว่าคุณคงไม่รอด แต่เหมือนมีปาฏิหาริย์...จู่ๆ คุณก็ฟื้นขึ้นมาแบบไม่มีวี่แววบอกล่วงหน้าเลย”
“เกิดอะไรขึ้นกับผม” เสียงนั้นร้องถามเบาๆ
“คุณจำไม่ได้เลยหรือ” เดฟหยั่งเชิงดู
“ผมเป็นใคร...ที่นี่ที่ไหน ผมเป็นใคร!” ประโยคนี้ทำให้คุณหมอยืดตัวเต็มความสูง ขยับแว่นตาให้มั่นคงอยู่บนสันจมูกแล้วมองใบหน้าอีกฝ่ายนิ่ง
การกระทบกระเทือนอย่างแรงบริเวณศีรษะคงทำให้ชายผู้นี้สูญเสียความทรงจำไปทั้งหมด ดูจากแววตาสับสนกระวนกระวายนั่น เดฟรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้แกล้งทำอย่างแน่นอน
“คุณเพิ่งฟื้น พักผ่อนก่อนเถอะ เอาไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง”
“ผมจะฉีดยาให้ คุณจะได้ไม่ต้องทรมานเพราะความเจ็บปวดอีก” ปริญชี้แจงแล้วมองคนเจ็บที่นอนกุมศีรษะอยู่บนเตียง ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับใดๆ เขาก็จัดการฉีดมอร์ฟีนเข้าสู่ร่างกายทันที
คนตัวใหญ่ที่นอนอยู่บนเตียงสีขาวสงบลงในเวลาต่อมา จมสู่ห้วงนิทราไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างไปจากเดิมตรงที่เขาพ้นจากอาการโคม่าแล้ว สามารถหายใจได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือการทางแพทย์อีก
เหลือแค่เพียงสายน้ำเกลือบนหลังมือเท่านั้นที่ยังคอยหล่อเลี้ยงร่างกายเอาไว้ไม่ให้อ่อนเพลีย
“ดีจังที่เขาฟื้นขึ้นมาทันเวลาพอดี” ปริญยิ้ม ยืนกอดอกแล้วถอนหายใจ
“แต่เขาสูญเสียความทรงจำไปทั้งหมด” เดฟบอก “เฝ้าเขาไว้ให้ดีนะปริญ ผมจะไปรายงานให้ท่านนายพลทราบก่อนว่าเขาฟื้นแล้ว”
มือใหญ่อบอุ่นวางลงบนไหล่ของคนรัก ปริญยิ้มและขยับเข้ามาจุมพิตเบาๆ ลงบนริมฝีปาก เดฟจูบตอบอย่างดูดดื่มก่อนจะแยกตัวออกไปพบนายพลปีเตอร์ตามที่ตั้งใจไว้
ผู้นำแห่งค่ายทหารลับกลางหุบเขาแยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ เมื่อรู้จากหมอเดฟว่าชายปริศนาผู้นั้นฟื้นแล้ว หนำซ้ำยังสูญเสียความทรงจำไปจากการกระทบกระเทือนที่รุนแรงทางศีรษะอีกด้วย
ปีเตอร์รุดเข้าไปที่เต้นท์พยาบาลเพื่อดูสภาพร่างกายของชายหนุ่ม มองร่างที่ใหญ่โตกำยำนั่นอย่างคาดหวัง แล้วมีคำสั่งให้เดฟและปริญดูแลคนป่วยอย่างใกล้ชิดจนกว่าจะหายดีเป็นปกติ
ห้าปีต่อมา...
ร่างที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในธารน้ำตกชะงักนิ่ง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครสักคนเหยียบย่ำลงบนไม้ใบแห้ง ประสาทสัมผัสทุกส่วนตื่นตัวขึ้นตามสัญชาติญาณที่ถูกฝึกฝนมาอย่างหนักถึงห้าปีเต็ม แต่ในบริเวณนี้ไม่มีศัตรูให้ต้องเป็นกังวล หากจะมีก็คงเป็นเพียงแค่พวกอยาก ‘ลองของ’ เท่านั้น
เรียวปากหยักลึกคลี่ยิ้มน้อยๆ ขณะปีนโขดหินเตี้ยๆ ดึงตัวเองขึ้นมาจากน้ำ อวดเรือนร่างกำยำล่ำสันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรง
มือหนาเสยผมที่ยาวปะบ่าให้พ้นจากใบหน้า หยาดน้ำที่เกาะอยู่ตามตัวเมื่อกระทบกับแสงแดดยามสาย ทำให้เขาดูเหมือนกำลังเปล่งประกายอย่างเหลือเชื่อ
‘นักรบ’ คือชื่อที่นายพลปีเตอร์ผู้มีพระคุณดุจบิดาช่วยตั้งให้กับเขา รวมทั้งฝึกปรือให้เขากลายเป็นทหารรับจ้างยอดฝีมือที่คอยรับใช้ใกล้ชิดอย่างที่ไม่เคยให้โอกาสใครมาก่อน
ด้วยเหตุผลเดียวนั่นคือรู้สึก ‘ถูกชะตา’ ทำให้ทหารบางกลุ่มเกลียดชังเขาและหาเรื่องก่อกวนใจมาตลอด แม้แต่ตอนนี้ที่เขาแยกตัวมาใช้เวลาตามลำพัง พวกมันก็ยังตามมาวุ่นวายไม่ยอมเลิกรา
รู้ทั้งรู้ว่าต้องลงเอยแบบไหน แต่ก็ยังแส่หาเรื่องเจ็บตัวกันไม่เลิก!
นักรบคว้าผ้าที่วางทิ้งไว้บนโขดหินขึ้นมาซับน้ำออกจากผม ชะงักมืออยู่อย่างนั้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม มือข้างหนึ่งเลื่อนไปแตะอยู่ที่ซองหนังที่คาดอยู่ตรงเอวกางเกง รอจนมั่นใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะมาถึงตัวแล้ว ถึงได้ดึงมีดปลายแหลมออกมาถือไว้ในมือ หันขวับไปล็อกคอพวกไม่ประสงค์ดีไว้แน่นพร้อมกับจ่อปลายมีดคมกริบไปไว้ที่ปลายคาง
“เฮ้ย! ฉันเอง” เสียงนั้นร้องลั่นแล้วหลับตาแน่น
“ไอ้เขม!” นักรบเรียกชื่อคุ้นเคยอย่างประหลาดใจ ปล่อยมือออกห่างแล้วนำมีดเหน็บไว้ที่เดิม
“เออ ฉันเอง!”
