บทที่ 10 งานเลี้ยงรับบรรณาการจากต้าเจา
เสวียนชิวได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ต้าเจาให้นำเครื่องบรรณาการมาถวายแด่จินหยางหลงและแผ่นดินต้าจินในการเจรจายุติสงคราม
ขบวนเครื่องบรรณาการที่ทอดยาวทำให้รัชทายาทแห่งต้าเจารู้สึกหนักอึ้งในอก สมบัติที่ขนมาจนพระคลังว่างเปล่า ประชาชนต้องขูดเนื้อตนเองออกมาจ่ายภาษี เป็นภาพที่เสวียนชิวไม่มีวันลืม เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดจากความผิดพลาดของเขา ความรู้สึกผิดที่มีต่อแผ่นดินเกิดและประชาชนจึงเอ่อล้นจนแทบกระอักออกมาเป็นโลหิต ยิ่งได้มาเห็นหน้าจินเกาหยางในท้องพระโรง เขาก็แทบยั้งตัวเองไม่ให้บุกไปฆ่าแม่ทัพคู่อริผู้นี้ไม่ไหว
“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่นำเครื่องบรรณาการเหล่านี้มาด้วยตนเอง” จินหยางหลงกล่าวอย่างสงบ “หวังว่าครั้งนี้เราจะได้เป็นพันธมิตรต่อกัน และล้มเลิกความเป็นศัตรูที่มีมาช้านาน”
“นับเป็นเกียรติยิ่งสำหรับกระหม่อม ที่ได้มาถวายบรรณาการแด่ฝ่าบาทด้วยตนเอง กระหม่อมก็คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราสองแคว้นจะกลายเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ชาวต้าจินรักสงบ หากเจ้าเข้าใจความหมายของคำคำนี้ เราสองแคว้นย่อมต้องเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันได้”
เสวียนชิวไม่ตอบอะไร เขาเหลือบมองไปยังสตรีหนึ่งเดียวในท้องพระโรง เขาเพิ่งทราบความจริงว่า กุนซือผู้วางกลศึกแห่งทัพไป๋หู่แท้จริงแล้วเป็นสตรีเพียงไม่กี่วันก่อนออกเดินทางจากต้าเจา ข่าวนี้ทำให้เสวียนชิวยิ่งเจ็บใจตนเองที่พ่ายแพ้ต่อกลศึกของสตรี เขาใคร่อยากเห็นหน้าสตรีนางนั้นยิ่งนัก อยากรู้ว่าสตรีที่ออกอุบายจนเขาต้องพ่ายแพ้จะเป็นคนเช่นไร
ฝูซิ่นฮวามองตอบเสวียนชิวอย่างไม่คิดหลบเลี่ยงสายตา นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้คงเกลียดชังนางจนแทบอยากจะฉีกร่างนางออกเป็นหมื่น ๆ ชิ้น กระนั้นนางก็หาได้เกรงกลัวไม่ เป็นเหตุให้ใบหน้าหวานเชิดขึ้นอย่างหยิ่งทะนง ขณะสบตากับศัตรูที่ถูกนางเล่นงานจนย่อยยับ
ใบหน้าที่เคยขาวซีดของฝูซิ่นฮวา ในวันนี้ได้รับการแต่งเติมจนมีสีสันชวนมอง เสวียนชิวนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อได้เห็นฝูซิ่นฮวาชัด ๆ นางแตกต่างจากที่เขาเคยจินตนาการไว้ ทั้งดูอ่อนแอ เปราะบาง ไม่เหมือนคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพแม้แต่น้อย จนเขาเริ่มไม่มั่นใจว่า นางคือกุนซือฝูที่ร่ำลือกันใช่หรือไม่
“หากความเข้าใจของข้ามิได้ผิดไป เจ้าคือกุนซือฝูที่ทุกคนร่ำลือกันใช่หรือไม่” เสวียนชิวเอ่ยกับฝูซิ่นฮวาด้วยรอยยิ้ม
“ใช่” จินหยางหลงเป็นผู้ตอบ “สตรีที่อยู่ตรงหน้าท่านคือฝูซิ่นฮวา หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อกุนซือฝู บัดนี้ข้าแต่งตั้งให้นางเป็นหมิงยู่โหว โหวหญิงคนแรกแห่งราชสำนักต้าจิน”
“ขอแสดงความยินดีกับหมิงยู่โหว” เสวียนชิวประสานมือขึ้น “ความรู้และความสามารถของเจ้าคู่ควรกับตำแหน่งที่ได้รับ”
“เป็นพระกรุณาที่รัชทายาททรงชื่นชม” ฝูซิ่นฮวาประสานมือตอบ
“งานเลี้ยงคืนนี้ หวังว่าหมิงยู่โหวจะมาร่วมด้วย เผื่อว่าเราจะมีโอกาสได้สนทนากันสักหน่อย”
“หม่อมฉันย่อมต้องมาแน่เพคะ”
“ดี ข้าจะรอร่ำสุรา สนทนาร่วมกับเจ้า”
จินเกาหยางมองดูเสวียนชิว สายตาเช่นนี้ของบุรุษนั้นตีความหมายได้เพียงอย่างเดียว
เสวียนชิวกำลังสนใจในตัวฝูซิ่นฮวา!
เป็นธรรมดาที่บุรุษจะให้ความสนใจในตัวสตรีที่สามารถเอาชนะตนได้ แต่นอกจากความสนใจแล้ว ส่วนที่เหลือคือความต้องการเอาชนะ ฝูซิ่นฮวาเคยทำให้เสวียนชิวต้องพ่ายแพ้หมดท่าตอนอยู่ในสนามรบ คงไม่ใช่เรื่องแปลก หากยามนี้เขาจะต้องการทำให้ฝูซิ่นฮวาต้องยอมศิโรราบต่อตนบ้าง
จินเกาหยางยิ้มมุมปาก รัชทายาทหนุ่มผู้นี้มีความต้องการอย่างไรนั้นไม่สำคัญ เพราะเขาจะไม่มีวันยอมให้เสวียนชิวได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเมืองหรือตัวฝูซิ่นฮวา
เขาจะทำให้เสวียนชิวได้รู้ว่า ฝูซิ่นฮวาไม่ใช่ผู้ที่จะศิโรราบต่อใคร คนอื่นต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายยอมศิโรราบต่อนาง
งานเลี้ยงรับบรรณาการจากต้าเจาถูกจัดขึ้นในท้องพระโรงอันกว้างขวางแห่งพระราชวังต้าจิน สุราและอาหารชั้นเลิศ รวมทั้งการแสดงต่าง ๆ สร้างความครึกครื้นให้เหล่าผู้ที่มาร่วมงานถ้วนหน้า จะมีก็แต่ผู้ที่เดินทางมาจากต้าเจาเท่านั้น ที่หาได้รู้สึกยินดีกับงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้
เสวียนชิวและผู้ติดตามรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก ที่ต้องแสดงรอยยิ้มต่อผู้ที่ปล้นทุกอย่างไปจากบ้านเมืองของตน หากทำได้ เขาอยากชักกระบี่ออกมาฆ่าฟันพวกต้าจินให้สิ้นใจไปต่อหน้าต่อตาเสียเดี๋ยวนี้ แต่สิ่งที่ทำได้กลับเป็นเพียงการยิ้มรับ และทนมองพวกต้าจินสำราญกับสุรานารี ในขณะที่ประชาชนต้าเจาต้องอดอยาก
“หมิงยู่โหว ไม่ทราบว่าเจ้าจะให้เกียรติดื่มสุรากับข้าสักจอกได้หรือไม่” เสวียนชิวถือจอกสุราเดินมาหาฝูซิ่นฮวา
“เป็นเกียรติแก่หม่อมฉันยิ่งนัก ที่รัชทายาทให้เกียรติดื่มสุราด้วย แต่คงต้องเสียมารยาทแล้ว หม่อมฉันสุขภาพไม่ดี มิอาจดื่มสุราได้เพคะ” ฝูซิ่นฮวาปฏิเสธอย่างสุภาพ
“เจ้าสุขภาพไม่ค่อยดีเยี่ยงนั้นหรือ? ข้ามีหมอหลวงมากฝีมือติดตามมาจากต้าเจา หากเจ้าไม่รังเกียจ ข้าจะให้หมอหลวงของข้าช่วยตรวจดูอาการให้”
“ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใยหมิงยู่โหว แต่อย่าได้ทรงกังวลไปเลย ต้าจินมีหมอเก่งกาจมากมายคอยดูแลนางอยู่แล้ว” จินเกาหยางเดินเข้ามาสมทบ “หากรัชทายาทไม่รังเกียจ ข้าขอดื่มแทนซิ่นฮวาเอง”
ว่าแล้วจินเกาหยางก็ยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม คำเรียกชื่อที่ฟังดูสนิทสนมนั้น ทำให้เสวียนชิวหรี่ตามองศัตรูของตน
ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ทัพกับกุนซือ แท้จริงแล้วเป็นเช่นไรกันแน่?
เสวียนชิวยกยิ้มมุมปาก เขาอยากเอาชนะสตรีที่วางกลศึกเล่นงานเขา และอยากเอาชนะแม่ทัพที่ทำให้เขาต้องพ่ายแพ้ในคราวเดียวกัน หากพูดกันตามตรง รูปร่างหน้าตาของฝูซิ่นฮวานั้นแม้ไม่ใช่หญิงงามล่มเมือง แต่ก็นับว่างามพอที่จะเคียงคู่กับรัชทายาทเช่นเขาได้ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือสติปัญญาและความสามารถในการวางกลศึกของนาง หากได้ฝูซิ่นฮวามาไว้ในอุ้งมือและทำให้นางหลงรักอย่างหมดใจได้สำเร็จ ต่อให้มีจินเกาหยางอีกสิบคน แผ่นดินต้าจินก็คงไม่มีวันรอดเงื้อมมือเขาไปได้
“มาต้าจินครั้งนี้ ท่านคิดว่าจะพำนักอยู่นานสักเท่าใด” จินเกาหยางถาม “เผื่อว่าข้ากับท่านจะมีโอกาสได้พบปะสังสรรค์กันอีก”
“เดิมทีข้าตั้งใจจะมาเพียงไม่นาน หลังถวายบรรณาการเสร็จก็จะกลับต้าเจา แต่คิดไม่ถึงว่าแผ่นดินต้าจินจะงดงามถึงเพียงนี้” เสวียนชิวหันไปมองฝูซิ่นฮวาอย่างมีความหมาย “ข้าจึงคิดว่าจะอยู่นานสักหน่อย เพราะอาจทำให้เราสองแคว้นได้มีโอกาสสานสัมพันธไมตรีต่อกันมากยิ่งขึ้น”
ทั้งที่พูดกับจินเกาหยาง แต่เสวียนชิวกลับมองไปยังฝูซิ่นฮวา ไม่ว่าใครที่มีตาก็คงมองออกว่า เขาจงใจใช้สายตาและถ้อยคำที่สื่อความหมายบางประการกับนาง ฝูซิ่นฮวาเองก็หาใช่คนโง่ที่จะมองไม่ออก หญิงสาวเพียงยิ้มตามมารยาทที่พึงกระทำต่อแขกบ้านแขกเมือง ในขณะที่จินเกาหยางยิ้มเยาะการกระทำของรัชทายาทแห่งต้าเจา
หากเสวียนชิวคิดจะสานสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้นด้วยการสานสัมพันธ์กับฝูซิ่นฮวาละก็ คงต้องข้ามศพเขาจินเกาหยางผู้นี้ไปให้ได้เสียก่อน!
