บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 กุนซือฝู

“เจ้าคือกุนซือฝู?” จินเกาหยางทวนถามเพื่อความแน่ใจ

“มิผิด หม่อมฉันคือผู้ที่ทุกคนเรียกว่ากุนซือฝู” ฝูซิ่นฮวาตอบ

เสียงของนางไม่ดังนัก ทว่ากลับเป็นน้ำเสียงที่หนักแน่นน่าเชื่อถือ จินเกาหยางมองนางอย่างประเมินชั่วครู่ จากนั้นจึงหันมาสนใจนายกองคนอื่น ๆ ที่เริ่มแนะนำตัวต่อจากฝูซิ่นฮวา

เมื่อทำความรู้จักกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็มุ่งความสนใจไปยังแผนที่และกุนซือที่กำลังวางกลศึก จินเกาหยางมองฝูซิ่นฮวาตาแทบไม่กะพริบ คำพูดคำจาของนางฉะฉานหนักแน่น นายกองทุกคนก็ดูเหมือนจะตั้งใจฟังทุกคำที่นางพูดเป็นอย่างดี จนจินเกาหยางใคร่อยากรู้นัก สตรีผู้นี้มีดีอะไร จึงสามารถบัญชาการกองทัพทหารม้าที่ยิ่งใหญ่อย่างทัพไป๋หู่ได้

“กลที่เราจะใช้เรียกว่ากลพยัคฆ์หมอบ” ฝูซิ่นฮวากล่าวขณะวางธงลง “ก่อนกรีธาทัพ ฝ่ายเราจงแสดงตัวเป็นคนเขลา จากนั้นจึงล่าถอยให้ข้าศึกได้ใจ ชักนำเข้ามาในพื้นที่ส่วนนี้...”

“ช้าก่อน!” จินเกาหยางขัดขึ้น “พื้นที่ที่เจ้าว่าจัดเป็นพื้นที่แขวน หากข้าศึกเตรียมตัวพร้อมที่จะเข้ามาต่อสู้กับเราในพื้นที่นี้ เราอาจเป็นฝ่ายปราชัยได้”

“พื้นที่ที่ว่าจัดเป็นพื้นที่แขวนก็จริงเพคะ แต่หม่อมฉันได้ให้ทหารทำกับดักและเตรียมทางหนีทีไล่ไว้แล้ว” ฝูซิ่นฮวาใช้พู่กันขีดเส้นกากบาทลงบนแผนที่

“จุดนี้เป็นช่องทางที่ฝ่ายเราจะสามารถหนีออกจากพื้นที่แขวนได้ ส่วนบริเวณนี้” มือบางจับพู่กันลากยาว “หม่อมฉันเห็นว่าควรขุดสนามเพลาะ แล้วปักไม้แหลมไว้”

“หากขุดสนามเพลาะตรงนี้ แล้วคนของเราจะหนีอย่างไร”

“หม่อมฉันจะให้ทำสะพานสองฝั่งซ้ายขวาของสนามเพลาะ สำหรับให้ทหารของเราข้ามมา เมื่อทหารของเราข้ามมาหมดแล้วก็ให้ระเบิดสะพาน เทน้ำมันลงสนามเพลาะแล้วจุดไฟ จากนั้นทหารอีกกองที่ซุ่มอยู่ด้านนอกจะปิดทางออกของศัตรูแล้วโจมตีอีกฝั่ง”

“เท่ากับว่าเราปิดล้อมข้าศึกแล้วบุกโจมตี”

“เพคะ” ฝูซิ่นฮวาตอบ แล้วจึงอธิบายกลศึกต่อ “จุดที่ข้าศึกถูกล้อม หม่อมฉันขอเรียกว่า ‘ภายใน’ ส่วนจุดที่เราอยู่เรียกว่า ‘ภายนอก’ เราจะโจมตีจากภายนอกเท่านั้น จะไม่บุกเข้าภายในเป็นอันขาด ทหารกองหน้าควรมีโล่กำแพงที่แข็งแกร่ง เหล็กแหลม หอก หลาว ต้องเตรียมให้พร้อม กองกลางคอยสนับสนุนกองหน้า กองหลังโจมตีด้วยธนูเพลิง คำนวณจากทิศทางลมแล้ว เราอยู่เหนือลม เป็นฝ่ายได้เปรียบ”

“แล้วคนของเราที่อยู่หลังสนามเพลาะล่ะ ฝั่งนั้นเป็นทิศใต้ลมมิใช่หรือ”

“อย่างที่หม่อมฉันได้ทูลไปก่อนหน้านี้ เราได้เตรียมทางหนีออกจากพื้นที่นั้นไว้แล้ว ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องทหารที่อยู่หลังสนามเพลาะเพคะ”

จินเกาหยางคิดภาพตามที่ฝูซิ่นฮวาวางแผน เขาต้องยอมรับว่าแผนการของนางไม่เลวเลย ไม่น่าเชื่อว่าสตรีท่าทางเปราะบางราวคุณหนูในห้องหอจะรู้จักวางกลเช่นนี้ได้

“หลังจากชนะศึกครั้งนี้ หม่อมฉันคิดว่าเราควรเดินหน้าโจมตีเมืองเล็กสิบหกเมืองที่กระจัดกระจายของต้าเจาก่อน จากนั้นจึงค่อยบุกยึดเมืองหลวง”

จินเกาหยางมองสตรีตรงหน้าที่ดูท่าทางมั่นใจในกลศึกของตนถึงขั้นวางแผนชนะก่อนรบ

เป็นสตรีที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ !

“ดี” จินเกาหยางตอบสั้น ๆ โดยไม่ละสายตาจากฝูซิ่นฮวาที่มีใบหน้าเรียบเฉยเย็นชา

ภายใต้ท่าทางอ่อนแอ แท้จริงหญิงผู้นี้ดุดันราวนางพญาเสือโคร่ง สตรีเช่นนี้หาได้ยากนัก ไม่คิดเลยว่าสกุลฝูจะมีบุตรีที่งดงามและชาญฉลาดถึงเพียงนี้

นางคือบุปผาที่เบ่งบานกลางสนามรบอย่างแท้จริง

หลังจากประชุมเสร็จ ทั้งหมดจึงไปร่วมรับประทานอาหารมื้อเที่ยงกับเหล่าทหารคนอื่น ๆ แม้แต่ฝูซิ่นฮวาที่เป็นกุนซือใหญ่ก็กินอาหารแบบเดียวกับพลทหาร จินเกาหยางลอบสังเกตนางอยู่เงียบ ๆ เห็นได้ชัดว่าทหารในกองทัพให้ความเคารพยำเกรงนางไม่น้อย ทั้งที่นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวในกองทัพ

“ท่านอ๋อง ข้าวพ่ะย่ะค่ะ” มู่จิ่ว คนสนิทของจินเกาหยางที่ตามมาจากเมืองหลวงนำชามข้าวมาให้เขา

จินเกาหยางรับชามข้าวมา พลางมองตามฝูซิ่นฮวาว่านางจะกินอาหารที่ใด

ร่างระหงในชุดขาวเดินไปยังกลุ่มพลทหารที่นั่งล้อมวงกันอยู่ ทหารเหล่านั้นรีบขยับให้นางลงนั่งด้วยทันที จากนั้นทั้งหมดจึงกินข้าวและพูดคุยกันอย่างออกรส ฝูซิ่นฮวามีรอยยิ้มบาง ๆ ประดับบนใบหน้า ต่างจากยามประชุมที่ดูสุขุม เย็นชา และจริงจัง

กว่าจะรู้ตัวอีกที จินเกาหยางก็พบว่าตัวเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงบริเวณที่ฝูซิ่นฮวากำลังกินข้าวกับเหล่าทหารแล้ว

“ข้าขอร่วมวงด้วยคนได้หรือไม่” จินเกาหยางถาม

“เชิญขอรับท่านแม่ทัพ” พลทหารรีบหลีกทางให้จินเกาหยางนั่งข้าง ๆ ฝูซิ่นฮวา

เมื่อจินเกาหยางนั่งลงข้าง ๆ ฝูซิ่นฮวาก็หาได้มีทีท่าขัดเขิน นางคงอยู่ในกองทัพที่เต็มไปด้วยบุรุษจนชินเสียแล้ว เรื่องจะมาทำท่าทีเอียงอายดังเช่นเหล่าคุณหนูในเมืองหลวงคงจะเป็นไปได้ยาก

“กุนซือฝู ตอนนี้ฝูซิ่นเล่อเป็นอย่างไรบ้าง” จินเกาหยางถาม

“ทูลท่านอ๋อง พิษหมื่นบุปผาต้องใช้เวลาในการถอนพิษนานหลายเดือน ยามนี้ซิ่นเล่ออาการยังไม่ดีนัก หม่อมฉันจึงให้คนพากลับไปที่จวนพร้อมทหารคนอื่นที่ถูกพิษ เพื่อให้หมอที่เชี่ยวชาญการรักษาทำการถอนพิษให้เพคะ”

จินเกาหยางเลิกคิ้วน้อย ๆ เขาสังเกตมาตั้งแต่ตอนประชุมแล้ว นายกองคนอื่น ๆ เรียกเขาว่า ‘ท่านแม่ทัพ’ เหล่าพลทหารก็เช่นกัน มีเพียงฝูซิ่นฮวาเท่านั้นที่เรียกเขาว่า ‘ท่านอ๋อง’ ทุกคำ

ดูท่าว่านางจะยังไม่ยอมรับเขาเป็นแม่ทัพคนใหม่

“ขอให้แม่ทัพฝูหายโดยไว”

“เพคะ” นางตอบรับสั้น ๆ

ระหว่างมื้ออาหาร จินเกาหยางลอบสังเกตฝูซิ่นฮวาอยู่ตลอดเวลา นางเข้ากันได้ดีกับทหารในกองทัพ ตั้งแต่ทหารชั้นผู้น้อยไปจนถึงระดับนายกอง ทุกคนให้ความเคารพนางในฐานะกุนซือ โดยไม่มีการดูถูกเหยียดหยามที่นางเป็นสตรีอ่อนแอแม้แต่น้อย

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ฝูซิ่นฮวาก็เดินกลับเข้าไปในกระโจมที่ประชุม นางมองแผนที่แล้วใช้ไม้ด้ามเล็กเรียวยาวลากจากจุดนี้ไปจุดนั้น ราวกับกำลังคำนวณอะไรบางอย่างอยู่ในใจ กระทั่งรู้สึกได้ว่าจินเกาหยางกำลังจ้องมองอยู่ ฝูซิ่นฮวาจึงเงยหน้าจากแผนที่มาคุยกับเขา

“ท่านอ๋องมีธุระอะไรกับหม่อมฉันหรือเพคะ” ฝูซิ่นฮวาถาม

“ข้ามีคำถามในกลศึกของเจ้าสองข้อ”

“เชิญท่านอ๋องถามมาได้”

“ข้อแรก เหตุใดเจ้าจึงตั้งชื่อกลศึกครั้งนี้ว่ากลพยัคฆ์หมอบ”

“ท่านอ๋องเคยเห็นพยัคฆ์ก่อนล่าเหยื่อหรือไม่เพคะ”

“ไม่”

ฝูซิ่นฮวายิ้มจาง ๆ ก่อนอธิบาย “ก่อนเวลาที่เสือจะกระโจนเข้าตะครุบเหยื่อ... มันจะหมอบจนติดดิน!”

น้ำเสียงตอนท้ายของนางเยือกเย็นยิ่งนัก อีกทั้งแววตายังดุดัน ขัดกับภาพลักษณ์อ่อนแอของนางโดยสิ้นเชิง

“ข้อต่อไปล่ะเพคะ” ฝูซิ่นฮวาถาม

มุมปากของจินเกาหยางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย หากนางแก้ปมสงสัยครั้งนี้ได้ เขาจะไม่ตั้งแง่ใด ๆ กับสตรีผู้นี้อีกต่อไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel