บทที่ 1 เจ้าจะต้องรับกรรม (1)
ตั้งแต่อี้ซิ่วจากไป ในคฤหาสน์สกุลหลงยิ่งเงียบเหงา เพราะทุกคนกำลังไว้ทุกข์ หลงเฟิงอี้เก็บตัว ไม่พูดจากับผู้ใด ไม่ออกจากคฤหาสน์มาเป็นเวลาสองเดือนแล้ว ถึงแม้เขาจะมีภรรยาอีกคนคือเกาจินจิน แต่เขาหาได้สนใจนางไม่ นางเข้ามาเป็นอนุภรรยาเขาเพราะเรื่องบังเอิญ เขาเลยจำใจต้องรับนางเข้ามา
สองปีก่อนหลงเฟิงอี้ไปติดต่อกิจการแทนหลงเฮ่าเทียนที่เมืองหลวง เขาจำเป็นต้องดื่มเพื่อผูกสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ในเมืองนั้น และเขาหลงลืมตัว ลากเอาเกาจินจินที่ติดตามบิดาไปที่นั่นด้วยเข้าห้อง นางตกเป็นของเขาเพียงชั่วข้ามคืน ในเมื่อไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว[1] หลงเฟิงอี้จำต้องรับนางเข้ามาเป็นภรรยาเขาอีกคน แต่เขาไม่ได้รักนาง ไม่เคยสนใจนาง แค่เห็นใจอยู่บ้างที่พลาดพลั้งไปกับเขา ถึงยังไงเขาก็มีภรรยา นั่นคืออี้ซิ่วและเขารักนางมาก ตั้งแต่วันนั้นเขาเลยไม่ยอมดื่มสุราอีกเลย จนกระทั่งอี้ซิ่วจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
[1] สำนวน ไม้กลายเป็นเรือ ความหมายคือ เรื่องที่ทำไปแล้วจะไม่สามารถกลับไปแก้ไขให้เหมือนเดิมได้อีก
หลงเฟิงอี้คนเดิมกลับมาอีกครั้ง คนที่เงียบขรึม คนที่ดื่มสุราจนขาดสติ แต่ยังคงความกระหายบ้าคลั่ง พร้อมจะแตกดับกับทุกคนที่เข้ามาห้ามปรามเขา คนในคฤหาสน์ไม่มีใครเข้าไปห้าม แม้เขาจะดื่มติดต่อกันสามวันแล้ว ร่างกายจวนเจียนจะรับไม่ได้ แต่ร่างนั้นยังคงกระดกกาสุราชั้นดีดื่มอึกใหญ่ กลืนเข้าบ้างไม่เข้าบ้าง สุราไหลออกทางสองมุมปาก
“อย่างนี้ไม่ดีเลย” มู่อิงหวามองพี่น้องสกุลหลงที่ยืนเรียงกันหน้าเรือนเหมยแดงของหลงเฟิงอี้
สายตาทุกคู่มองไปยังร่างสูงที่กำลังโงนเงน ทุกคนเอาแต่นิ่งไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง นางขัดใจ เข้าไปทุบอกสามีทีหนึ่ง ก็เขาเอาแต่ลอยชายไปวันๆ และมองน้องชายทุกข์ตรมจนดูน่าเวทนานิ่งเฉย
“ข้าบอกว่าช่างเขาไง เจ้าจงรู้ไว้ว่าเฟิงอี้หัวแข็ง แต่จิตใจเขาอ่อนไหวที่สุด สักวันที่เขาเลิกเสียใจเขาจะไม่เป็นอย่างนี้อีก” หลงเฮ่าเทียนพูดอย่างยุ่งยากใจขณะที่รวบมือภรรยามากุมไว้ไม่ให้ประทุษร้ายเขา
“แล้วเมื่อใดเขาจะหายเสียใจเล่า ท่านเป็นพี่ของเขา ไม่ทำอะไรบ้างหรือ” ระหว่างคิ้วงามกำลังเริ่มยู่เข้าหากัน
“เจ้าอย่ายุ่งนา” หลงเฮ่าเทียนพ่นลมหายใจหนักหน่วง
“ใช่! ข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง” มู่อิงหวาสะบัดหน้าเดินย่ำหิมะจากไปด้วยความรวดเร็ว นางน้อยใจในคำพูดเขา นางแค่เป็นห่วงหลงเฟิงอี้ กลัวเขาจะทำร้ายตัวเองจนล้มป่วย ถึงอย่างไรเขาก็ช่วยนางและดีต่อนางมาตลอด จะไม่ให้นางห่วงเขาในฐานะคนในครอบครัวบ้างอย่างนั้นหรือ
“หยุดนะ! เจ้ากำลังตั้งครรภ์ อย่าเดินเร็วนัก” หลงเฮ่าเทียนเอ่ยเสียงดังขึ้นเมื่อภรรยาสะบัดมือเขาหลุดและจากไป
“คนท้อง อารมณ์จะแปรปรวน พี่ใหญ่พยายามอย่าขัดใจนางมากนัก” หลงเฉียนหรูเอ่ยเสียงเบาและมองพี่ชายย่ำหิมะก้าวยาวๆ ตามภรรยาไป
“อย่างพี่ใหญ่ว่า พี่รองจะเป็นอย่างนี้สักพัก พวกเจ้าไม่ต้องห่วงนักหรอก ปล่อยพี่รองไปก่อน” คุณชายสามหลงกงเก๋อพูดจบพร้อมสองมือรวบเอาชุดยกขึ้นสูงเพื่อให้พ้นหิมะ ก้าวยาวๆ จากไปอีกคน
หลงอี้เฉียง หลงเฉียงหรูและหลงหลานได้แต่มองหน้ากัน ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า อย่างจนต่อคำพูด ส่ายหน้าขึ้นพร้อมกัน และสลายตัวกลับเรือนใครเรือนมัน
ทุกคนจากไป แต่เกาจินจินกลับโผล่ออกมา นางกำลังเดินเข้าไปหาหลงเฟิงอี้ ถึงยังไงนางก็ภรรยาอีกคนของเขา หลังจากที่อี้ซิ่วจากไปแล้ว เขายิ่งทำหมางเมินไม่เห็นศีรษะนางมากขึ้นไปอีก นางเดินไปนั่งข้างๆ เขา เอื้อมมือไปดึงกาสุราจนหลุดจากมือใหญ่
“เอามา!” เขาตวาดทั้งที่ไม่รู้ว่าผู้ใดแย่งกาสุราไป
“ท่านดื่มมาสามวันสามคืนแล้ว ข้าว่าถึงเวลาพอได้แล้ว”
หลงเฟิงอี้ค่อยๆ เงยใบหน้าแดงจัดขึ้น นัยน์ตาคมดุจ้องเกาจินจิน ภาพซ้อนทับกันจนเขาต้องสลัดศีรษะหลายครั้ง จนสามารถมองได้ชัดและรู้ว่าเป็นเกาจินจิน อนุภรรยาที่เขาไม่เคยรัก
“เจ้าอย่ามายุ่ง!” เสียงกร้าวกระด้างตวาดขึ้น
“ข้าก็เป็นเมียท่าน ในเมื่ออี้ซิ่วตายไปแล้ว ท่านจะเอาอะไรอีก ข้านี่สิ ข้ายังอยู่กับท่าน มองข้างบ้างสิ” เกาจินจินขว้างกาสุราที่ทำจากกระเบื้องเคลือบลอยไปตกที่ประตูจนแตก กลิ่นคละคลุ้ง
“เจ้ากล้า!” หลงเฟิงอี้กระชากเสียงและลุกขึ้น ร่างสูงบดบังแสงจากประตู นัยน์ตาแดงก่ำดูน่ากลัว มือหนึ่งกำสาบเสื้อของเกาจินจินติดขึ้นมาด้วย นางกำลังเท้าลอยไม่ติดพื้น หน้าตาตื่นตะลึง ไม่ทันคิดว่าหลงเฟิงอี้กำลังไร้สติและอารมณ์ร้าย
“ปล่อยข้า!” เกาจินจินชักกลัวท่าทางเขาเสียแล้ว นางเจ็บและกำลังหวาดกลัวสุดขีด กายสั่นและท่าทางลนลานจนแทบระงับสติไม่อยู่
“เจ้าฆ่านาง!” เขาแค่นเสียงลอดไรฟัน
“ไม่ใช่ข้า! นางฆ่าตัวตาย ตายพร้อมกับลูกของนาง เด็กนั่นไม่ใช่ลูกของท่าน รู้ไว้เสียด้วย ท่านสวมหมวกเขียว[2] มาตั้งนานแล้ว” เกาจินจินกำลังตกใจและโพล่งออกไปจนหมดเปลือก แต่ยังมีที่นางไม่กล้าพูดออกไป ขืนนางพูด เขาฆ่านางตายตรงนี้แน่นอน นางยังไม่อยากตาย
[2] สวมหมวกเขียว ตรงสำนวนไทยที่ว่า โดนสวมเขา
หลงเฟิงอี้สะบัดมือจนเกาจินจินหล่นลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้น ห่างจากเท้าเขาไปหลายก้าว ร่างสูงเดินโซเซผ่านนางออกไปทางประตู ข้างนอกเริ่มมีลมแรง พายุหิมะกำลังพัดมาอย่างบ้าคลั่ง กลืนร่างสูงโปร่งในชุดดำหายเข้าไปในชั่วพริบตา
เกาจินจินลุกขึ้น นางวิ่งตามออกไป แต่ต้องโดนลมที่หอบเอาหิมะตีให้ต้องถอยกลับเข้าไปในเรือน
หลงเฟิงอี้ตรงไปยังเรือนตั้งป้ายบรรพบุรุษ และป้ายวิญญาณของอี้ซิ่วเองก็ถูกพาไปเก็บไว้ในนั้น แม้จะฝ่าหิมะจนปากเขียว มือสั่น แต่เขากลับไม่สนใจ เพียงแค่สลัดหิมะออกจากผมที่ปล่อยทิ้งยาว เพราะตั้งแต่ไม่มีอี้ซิ่วก็ไม่มีใครเกล้าผมให้เขา เขาไม่อยากให้ใครทำให้ทั้งนั้นนอกจากภรรยาที่รักของเขา
