บทที่ 5 ความหวังดี(2)
“ห๊า...นะ...” อลิซยิ่งฟังยิ่งเหมือนถูกจุดไฟโกรธในกายเธอ
“เจ้านายหมายถึงทดสอบฝีมือลูกน้องที่คอยปกป้องคุณเบลหน่ะครับว่า ฝีมือดีพอปกป้องคุณเบลหรือเปล่า เพราะยังจับตัวคนที่ตามทำร้ายคุณเบลไม่ได้" คำพูดของคริสเหมือนเป็นน้ำที่เทลงดับไฟโกรธอลิซ แต่ผู้เป็นเจ้านายที่ยังไม่รู้ตัว ยังคงทำหน้าที่เติมน้ำมันเข้ามาอีกรอบ
“ซึ่งผลปรากฎว่า ลูกน้องเธอฝีมือห่วยมาก” ออกัสยกนิ้วเคาะตกอย่างไม่ยี่หระ
“คุณไม่มีสิทธิ์มาทำร้ายใครก็ได้ โดยเฉพาะคนของฉัน” คราวนี้อลิซเหลืออด ชายตรงหน้าไม่มีทีท่าว่ารู้สึกผิดในการกระทำของตัวเองสักนิด ตอนที่เธอโดนจับตัวมาเธอทั้งตกใจและกลัวมากขนาดไหนเขาจะรู้บ้างไหม “คุณใหญ่มาจากไหนฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับคุณ” อลิซอารมณ์ขึ้นมากจนเผลอลืมตัวเอานิ้วชี้หน้าออกัส ทำเอาคริสที่ยืนอยู่ไม่ไกลถึงกับเสียวสันหลังวาบ เจ้านายเขาไม่เคยถูกใครขึ้นเสียงมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงการเอานิ้วชี้หน้า
“หึ” ออกัสเผลอหัวเราะออกมา ก่อนจะเอื้อมมือมาจับนิ้วของอลิซ “ฉันไม่ชอบให้ใครเอานิ้วชี้หน้า” คำพูดน่ากลัวแต่น้ำเสียงกลับทีเล่นจนคริสเบิกตากว้าง
อะไรนะเมื่อกี้เจ้านายเขาหัวเราะ หรือเขาหูฝาด ไม่สิ ถ้าเจ้านายเขาหัวเราะพรุ่งนี้โลกปั่นป่วน ดินถล่ม ฟ้าทลายแน่นอน แล้วดูน้ำเสียงนั่นสิเค้าไม่เคยได้ยินมาก่อน คริสอยากจะเอาแจกันทั้งห้องออกมาตีหัวตัวเอง
“นี่ คุณคิดว่ามันตลกใช่ไหมที่มาเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นแบบนี้” อลิซยิ่งหัวเสียเมื่อเห็นชายตรงหน้าหัวเราะ “นี่ ปล่อยมือฉันนะ” ว่าพลางสลัดมือตัวเองออกจากอุ้งมือของอีกฝ่าย แต่สลัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุด
“ฉันไม่ได้เล่น ฉันจริงจัง” ออกัสออกแรงดึงร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอด “สองคนนั้นปกป้องเธอจากคนที่ตามล่าเธอไม่ได้หรอก” ออกัสก้มลงกระซิบข้างหูคนตัวเล็กที่ดิ้นอยู่ในอ้อมกอด
การกระทำนี้ของออกัสช่างน่าพิลึกสำหรับลูกน้องคนสนิทอย่างคริสมาก เพราะตั้งแต่เกิดมา รับใช้ หรือเป็นเพื่อนเล่นเจ้านายมาตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยเห็นเจ้านายกอด หรือทำกิริยาเหล่านี้กับผู้หญิงคนไหนเลย เขาเคยเห็นเจ้านายไม่เมินก็ไล่ผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตเจ้านายทุกคน แต่นี่ ช่างพิลึกจริงๆ คริสได้แต่คิด ครั้งนี้เขาไม่ได้อยากแค่จะเอาแจกันทุบหัวตัวเอง แต่เขาอยากกัดลิ้นตัวเองซะรู้แล้วรู้รอด
“ปล่อยนะคุณออกัส คุณอย่ามาทำลุ่มล่ามกับฉันนะ อย่ามาทำตัวเป็นมาเฟีย จะทำอะไรกับใครก็ได้นะ” อลิซทั้งกระทืบเท้าทั้งศอกใส่คนตัวใหญ่แต่ก็ไม่เป็นผล ร่างบางเริ่มเหลืออด
“ทำไม ถ้าผมทำตัวเป็นมาเฟียแล้วยังไง คุณจะทำอะไรได้”
ออกัสแทบจะไม่ได้ออกแรง ร่างบางก็อยู่ในอุ้งมือเขาแล้ว ตัวเล็กๆอย่างนี้จะทำอะไรเขาได้
“ฉันเกลียดพวกมาเฟีย เกลียดเข้ากระดูกดำ”
อลิซหยุดการกระทำที่ไร้ประโยชน์ของตัวเอง น้ำเสียงเธอไม่ได้โวยวายเหมือนก่อน แต่มันหนักแน่นเหมือนเจ้าของคำพูดนั้นรู้สึกอย่างคำพูดนั้นจริงๆ ซึ่งออกัสเองรับรู้ได้จึงปล่อยมือจากร่างบางทำให้อลิซรีบฉวยโอกาสถอยห่างจากเขตอันตราย
คริสหยุดพร่ำเพ้อกับตัวเองเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าผิดปกติ เขามองไปที่เจ้านายหนุ่มที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาสีดำสนิทเย็นเยียบ คนอื่นอาจมองแววตาชายหนุ่มไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่สำหรับเขาที่อยู่มานานตั้งแต่เล็กกับชายหนุ่มรู้
แววตาแห่งความสับสน
“คุณเบลอย่าไปพูดถึงพวกมาเฟียเลยครับ เจ้านายผมเป็นนักธุรกิจต่างประเทศเพิ่งมาลงทุนที่ไทยเลยไม่ค่อยรู้วัฒนธรรมที่นี่สักเท่าไหร่” คริสยิ้มตาหยี “ส่วนเรื่องที่ทำร้ายลูกน้องคุณเบลผมเป็นคนจัดการเองแหละครับ ถ้าแรงเกินไปผมขอโทษด้วยนะครับ ผมให้คุณหมอมาดูอาการเรียบร้อยแล้ว ไม่เป็นอะไรมากครับ”
อลิซมองผู้ช่วยของออกัสที่กำลังโค้งหัวขอโทษเธอเอาเป็นเอาตายอย่างเหนื่อยอ่อน
ทำไมลูกน้องกับเจ้านายมันช่างต่างกันขนาดนี้
“ครั้งนี้เบลไม่เอาเรื่องก็ได้ค่ะ เห็นแก่คุณคริส แต่ถ้ามีครั้งหน้าอีกเบลแจ้งความแน่” ประโยคหลังอลิซหันมาค้อนใส่ออกัสที่กำลังเดินกลับไปนั่งเก้าอี้ตัวเอง
“ขอบคุณครับคุณเบล”
“งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” อลิซเดินไปหยิบกระเป๋าสะพานของตัวเองบนโซฟาเตรียมตัวออกจากห้อง แต่ไม่วายต้องชะงักเพราะถูกเสียงเข้มของออกัสหยุดไว้
“ใครบอกให้เธอกลับ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ”
เมื่ออีกฝ่ายพูดจบอลิซก็ทำท่าจะเดินต่อ ไม่สนใจประโยคดังกล่าว
“เธอจำคำพูดที่เธอบอกฉันก่อนฉันพาเธอไปโรงพยาบาลไม่ได้เหรอ เบล” แต่ประโยคนี้ทำให้อลิซถอดหายใจและยอมเดินกลับมานั่งโซฟาแต่โดยดี
นายจะให้ทำอะไรก็ได้ แลกกับการที่นายปล่อยฉันไปหาพ่อที่โรงพยาบาล
ใช่เธอจำได้ เธอไม่ได้เป็นโรคความจำเสื่อม และเธอก็ไม่ใช่คนที่ไม่รักษาคำพูดด้วย
“คุณมีเรื่องอะไรก็พูดมาได้เลย...ค่ะ”
อลิซพยายามคุมน้ำเสียงให้ปกติที่สุด ผู้ชายคนนี้ช่างเป็นผู้ชายที่เอาแต่ใจ ถึงขนาดทวงคำสัญญากันซึ่งๆหน้า เธอต่อกรกับผู้ชายคนนี้ไม่ไหวจริงๆ คราวหน้าถ้าเธอไม่เชื่อฟังเขาอีก คงได้หยิบยกบุญคุณที่เขาช่วยเธอจมน้ำ รวมถึงคราวที่ช่วยเธอจากพวกมือปืนที่ไล่ฆ่าเธอด้วยอีกมั้งเนี่ย ยิ่งคิดอลิซก็ยิ่งรู้สึกตัวเองติดหนี้บุญคุณกับเขาเยอะเหลือเกิน ชาตินี้จะใช้หมดไหมหนอ
“ฉันก็แค่มีของจะให้ คริสไปเอามา”
ไม่นานคริสก็วางซองเอกสารสีน้ำตาลลงบนโต๊ะกระจกตรงหน้าอลิซ มือเล็กเอื้อมมือหยิบมันขึ้นมาเปิดดูอย่างอยากรู้ ในใจเธอก็ลุ้นๆว่าคงไม่ใช่ลิสรายการหนี้ของเธอหรอกมั้ง
“ฉันให้คนไปสืบเรื่องแม่เธอมา”
อลิซหยิบกระดาษหลายใบรวมทั้งรูปแม่เธอ รูปผู้ชายแปลกหน้าที่เธอรู้สึกว่าคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนในความทรงจำของเบลมาก่อน เอกสารหลายใบที่ถูกแม็กรวมกันเธอหยิบออกมาวางไว้บนโต๊ะ ข้อความบนเอกสารเหมือนอธิบายประวัติของใครบางคนอยู่
“แล้วก็ผู้ชายที่แม่เธอถูกใส่ร้ายว่าเป็นชู้ด้วย”
อลิซมองเอกสารทั้งหมดในมืออย่างตื่นเต้น ที่ผ่านมาเกือบอาทิตย์เธอมัวแต่วุ่นกับการจัดงานศพให้แม่จนลืมสืบเรื่องที่แม่เธอโดนใส่ความไปเสียสนิท แต่ตอนนี้ชายหนุ่มที่เพิ่งทำเธอโกรธก่อนหน้ากับหาข้อมูลมากมายมาให้เธอ
“แม่เธอกับผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นชู้กันจริงๆ พิสูจน์ได้ไม่ยากเพราะหลังจากที่แม่เธอโดนไล่ออกจากบ้าน ชายคนนี้ก็หายตัวไป น่าจะโดนเก็บจากผู้บงการ แต่ที่ยากคือ ใครคือคนบงการ” ออกัสพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ดวงตาสีดำเย็นชามองไปยังอลิซที่หันมาสบตาเขาในขณะที่พูด
“ขอบคุณนะ” อลิซเอ่ยขึ้นออกมาจากใจตามความรู้สึกของตัวเอง แต่จู่ๆร่างบางก็เด้งตัวขึ้นเหมือนนึกอะไรออก “แต่คราวหน้านายห้ามทำอะไรให้ฉันอีกนะ ห้ามยุ่งเรื่องของแม่ฉัน ห้ามช่วยฉัน”
ใช่ แค่นี้เธอก็ไม่รู้จะตอบแทนเขายังไงหมด และอีกอย่างเธอก็มีมือ มีเท้า มีสมองเธออยากจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่อยากยืมจมูกใครหายใจสักหน่อย
“เธอไม่มีสิทธิมาสั่งฉัน”
ออกัสขึ้นเสียง เขาก็ไม่รู้เหมือนกันทำไมต้องรู้สึกโมโห คนเขาอุตส่าห์หวังดี ผู้หญิงคนนี้มีสิทธิ์อะไรมาห้ามเขา
“คุณนี่ร้ายกาจกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก ที่มาช่วยฉันเพราะอยากให้ฉันเป็นหนี้บุญคุณคุณใช่ไหมหล่ะ ครั้งนี้ฉันไม่ขอนับว่าฉันติดหนี้คุณแล้วกัน ฉันถือว่าเป็นคำขอโทษที่คุณจับฉันมา” อลิซเพิ่งนึกวิธีปลดหนี้ตัวเองได้ อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องเป็นหนี้เขาเพิ่ม
“นี่ เธอ หึ อยากกลับก็กลับไปได้แล้ว”ออกัสพยายามข่มอารมณ์ไม่พอใจ
“สวัสดีค่ะคุณออกัส แล้วอย่าลืมทีหลังห้ามมายุ่งกับเรื่องของฉันอีกนะ”
อลิซโกยข้อมูลที่ชายหนุ่มให้คนไปสืบมาให้ใส่เข้ากระเป๋าอย่างอารมณ์ดี พลางวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยทิ้งไว้ซึ่งรังสีอำมหิตของชายหนุ่มที่ถูกยั่วโมโห ใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะเข้าสู่โหมดปกติของตัวเองได้ ก่อนจะหันไปสั่งผู้ชายคนสนิทที่ยืนดูท่าทีอยู่มุมห้อง
“ไปสืบมาว่าทำไมเบลถึงเกลียดมาเฟีย”
