7. ลอบสังหาร? (2)
“หยุดคิดเรื่องน่าขยะแขยง เมื่อครู่นางกัดข้า เจ้าไม่เห็นหรือ” จื่ออ๋องกระแทกตัวนั่งบนตั่ง พลันกุมส่วนที่ถูกทำร้าย
“อ่า รอยฟันชัดเจนเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เกาชิงหรู แค้นนี้ข้าต้องชำระกับเจ้าแน่” น่าเจ็บใจนัก! ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำทัพมาร แต่กลับปล่อยให้สตรีเพียงคนเดียวทำร้ายได้
“ท่านอ๋องจะไปกัด...พระชายาหรือพ่ะย่ะค่ะ” สองมือจับไปที่อกตนเอง ก่อนจะมองนายตาโต ในหัวเฝ้านึกภาพที่เคยเห็นเอกบุรุษมักกระทำในหอนางโลม
“ซ่ง เหยียน” เฉิงจื่อหานกดเสียงต่ำ
“กระหม่อมมีงานต้องทำ ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
เพล้ง! เฉิงจื่อหานขว้างจอกชาตามหลังองครักษ์ไป อ๋องหนุ่มได้แต่ส่ายหัว ดูความคิดของเด็กหนุ่มผู้นี้เถิด คิดว่าเขาจะทำเรื่องน่ารังเกียจนั่นหรือ ฝันเอาเถิดว่าชาตินี้เขาจะแตะต้องนางอีก
เขาเกลียดที่นางกล้าใช้ยาชั้นต่ำนั่นกับเขา
ด้านเกาชิงหรูที่วิ่งกระหืดกระหอบมาถึงเรือนท้ายจวน จากที่หนาวเหน็บเพราะอากาศ เนื้อตัวกลับมีเหงื่อไหลซึมออกมาทุกรูขุมขน มีดแหลมถึงเพียงนั้นหากบอกว่าไม่กลัวก็คงโกหกแล้ว
“เฮ้อ ดีนะที่รอดมาได้” สองแขนหอมเอาเสื้อขนสัตว์ตัวใหญ่ที่คว้ามาได้เพียงชิ้นเดียว ปีนขึ้นไปนอนบนเตียง ตบที่นอนไล่ฝุ่น ก่อนจะเอาผ้าห่มมาปูนอน แล้วใช้เสื้อคลุมขนสัตว์ห่มกาย เพราะลำพังจะให้นอนเตียงแข็งๆ คงนอนไม่หลับกันทั้งคืน
“จะทำอย่างไรดีนะ” ในหัวเล็กแทบไม่ได้หยุดพัก ยิ่งเสียงเงียบสงัดเรื่องราวก็ยิ่งไล่เรียงขึ้นมาเป็นฉากๆ จำได้ว่าหลังจากที่แต่งเข้าจวนจื่ออ๋องมา เกาชิงหรูก็มีความเป็นอยู่ไม่ต่างจากบ่าว ถูกสวามีรังเกียจ ใช้ชีวิตไร้ตัวตนไปวันๆ กระทั่งเฉิงจื่อหานได้รับราชโองการให้ไปช่วยปราบโจรป่าที่เมืองทางใต้ของแคว้น เพราะคำสั่งของฝ่าบาทเกาชิงหรูจึงได้เดินทางไปด้วย
และนั่นก็กลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ของอดีตคุณหนูสกุลเกา เพราะได้ชื่อว่าเป็นพระชายาเอก พวกโจรจึงจับตัวนางไปเพื่อต่อรองกับชินอ๋องของแคว้น แต่ใครจะคิดว่าเฉิงจื่อหานไร้คุณธรรม ไม่สนใจว่าชายาจะเป็นตายร้ายดี มุ่งมั่นเพียงบุกทลายซุ้มโจร
พอเกาชิงหรูไร้ประโยชน์ โจรพวกนั้นจึงไม่คิดจะเก็บนางไว้ และนั่นก็ทำให้นางตกนรกทั้งเป็น...
ไม่ได้! จะให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด คงต้องรีบตัดสัมพันธ์กับจื่อหานตั้งแต่เนิ่นๆ
“หาว~ พรุ่งนี้ค่อยไปขอหย่าแล้วกัน”
เช้าวันรุ่งขึ้นเกาชิงหรูไปขอพบสวามี เพื่อจะพูดคุยเรื่องหย่า แต่ขันทีหูเอ่ยว่าเขาออกไปร่วมประชุมในวังแต่เช้าตรู่
นางอยู่รอพบตอนกลางวัน เฉิงจื่อหานก็ไม่กลับเข้ามา รอกระทั่งเย็นก็มีคนมาแจ้งว่าจื่ออ๋องออกไปทำธุระต่างเมือง หลายวันกว่าจะกลับ
เกาชิงหรูจึงได้แต่ รอ รอ รอ รอวันแล้ววันเล่า
“สิบวันแล้วนะ เมื่อไหร่จะกลับมาสักที เสียเวลาชีวิตจริงๆ” เกาชิงหรูตัดสินใจออกจากจวนไปรับเสื้อผ้าที่นำไปให้ช่างตัดเย็บ อีกฝ่ายกลับมาเมื่อใดนางก็คงจะรู้เอง
“พอใจหรือไม่เจ้าคะคุณหนู”
“งามมากเจ้าค่ะ” นิ้วเรียวลูบไปตามลายปักที่วิจิตรงดงาม ริมฝีปากใต้ผ้าผืนบางยกขึ้นอย่างพอใจ
“เช่นนั้นข้าก็ดีใจเจ้าค่ะ”
“ขอบใจท่านมาก นี่เป็นเงินค่าจ้างของท่าน” ชิงหรูนับเงินในถุงส่งให้อีกฝ่ายครบตามจำนวน แต่ยังไม่ทันได้หมุนตัวกลับ หูทั้งสองก็ได้ยินเสียงสนทนาของแม่ลูกเข้าเสียก่อน
“ท่านแม่ขอรับ วันนี้ข้าไปฟังนิทานได้หรือไม่ขอรับ”
“วันนี้ไม่มีนักเล่านิทานมิใช่หรือ เขาบอกว่าจะเดินทางไปต่างเมืองแล้ว”
“อ่า จริงด้วย” ใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กชายวัยเจ็ดขวบ สลดลงทันที
“ข้าเล่าให้ฟังดีหรือไม่” อยู่ๆ เกาชิงหรูก็พูดโพล่งออกไป
“ท่านเล่าได้หรือขอรับ” ขาสั้นวิ่งเข้าไปหาพี่สาวปิดหน้า ก่อนจะจูงมือมานั่งแคร่ไม้ เงยหน้ารอฟังด้วยความคาดหวัง
“หึ เช่นนั้นก็เอาเรื่องกระต่ายกับเต่าเป็นอย่างไร” กระต่ายกับเต่า นิทานพื้นบ้านที่นางได้ยินมาตั้งแต่เด็ก แต่มีหรือชิงหรูจะเล่าอย่างที่เคยได้ยินมา
เสียงหวานเอ่ยเล่าเรื่องราว ร่างกายก็ขยับโยกย้ายเลียนแบบตัวละคร บอกวิ่งก็ขยับขาวิ่ง บอกเหนื่อยก็หอบหายใจถี่ให้คนฟังเห็นภาพ
“สุดท้าย...กระต่ายก็วิ่งเข้าเส้นชัยไป”
“น่าสงสารเจ้าเต่า เพราะเกิดมาเป็นเต่า เลยต้องวิ่งช้า” เด็กน้อยทำหน้าเศร้ากว่าเดิม
“ผิดแล้ว เรื่องนี้ยังมีต่ออีกนะ แพ้ครั้งเดียวมิได้หมายความว่าจะแพ้ตลอดไปเสียหน่อย”
“จริงหรือขอรับ...แต่อย่างไรก็เป็นเต่า”
“เฮ้อ~ ข้าจะแอบบอกก่อนก็ได้ เอาหูมานี่” ชิงหรูก้มลงพูดเรื่องราวในตอนถัดไป
“...”
“เจ้าเต่าน่ะ หากวิ่งช้า ก็ต้องสร้างเครื่องทุ่นแรง” เกาชิงหรูว่าเพียงเท่านั้น ก็โบกมือลาเด็กชาย พร้อมกับสัญญาว่าจะหาเวลาออกมาเล่าเรื่องนี้ให้จบ เพราะบัดนี้ใกล้ยามเย็นแล้ว ไม่แน่ว่าท่านอ๋องอาจจะกลับถึงจวนแล้ว
