บทนำ (3)
คิมหันต์พูดไม่ออก เขาไม่เคยเตรียมใจมาก่อนเลยว่า จะต้องจากกับเด็กหญิงที่เอ็นดูเยี่ยงน้องสาวในไส้ เพราะเป็นลูกชายโทนคนเดียว แล้วยังกำพร้าพ่อ จึงรู้สึกกลายเป็นคนสำคัญขึ้นมาบ้างเมื่อมีเด็กหญิงมาวนเวียนอยู่ข้างตัวให้ได้ปกป้อง
เขาผูกพันกับสิตางค์ เพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นทั้งเพื่อนเล่น ทั้งพี่น้อง ทั้งครูที่ช่วยสอนการบ้าน แล้วยังพากันตะลอนไปไหนต่อไหนเล่นซนด้วยกันตามประสาเด็ก ถึงแม้สิตางค์จะอายุน้อยกว่าหลายปีหากเธอก็เกาะติดพี่ชายคนละสายเลือดได้ตลอดเวลา
ชีวิตเด็กหญิงสิตางค์คล้ายมีแต่แม่กับป้าเข็มทอง แล้วก็พี่คิมหันต์
จนเมื่อไม่นาน พี่คิมหันต์มอบสิ่งมีชีวิตสี่ขา หมาพันธุ์ไทยหลังอานแรกเกิดให้น้องน้อยในวันเกิดของเธอ
“ให้มันชื่อแสนดี นะข้าวตัง”
“ค่ะ พี่คิม” เด็กหญิงตอบตกลงทันที พี่ชายว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน
“ตังจะเลี้ยงมันอย่างดีที่สุด” สิตางค์รับปากรับคำ เธอบ่นอยากได้ลูกหมามานานแล้ว
“พี่สงสารมัน แม่มันโดนรถทับตาย ก็เลยนึกได้ว่า ข้าวตังอยากได้ไม่ใช่เหรอ ไอ้ตัวนี้มันอ้วนที่สุด ส่วนตัวอื่นๆเพื่อนพี่เขาแบ่งๆกันไปแล้ว”
เด็กหญิงค่อยๆอุ้มเจ้าแสนดีอย่างระแวดระวัง เธอเห่อมันมากพามันไปไหนต่อไหนด้วยทุกที่ ยกเว้นตอนนอนที่จิตใสสั่งห้าม เจ้าแสนดีจะนอนอยู่ใต้โซฟานอกห้อง อย่างสงบเสงี่ยม ไม่ร้องเกเรราวรู้อยู่ หากไม่ได้เจ้านายที่ใจดีอย่างเด็กหญิง มันคงถูกทิ้งให้เป็นหมาลูกกำพร้าเร่ร่อนข้างถนนไปแล้ว
“แม่บอกว่า เราพาแสนดีไปด้วยไม่ได้ค่ะ” เด็กหญิงปาดน้ำตา ก่อนเล่าให้คิมหันต์ฟัง
“บนรถเมล์เขาไม่ให้พาหมาขึ้นไป แล้วอีกอย่างเราก็ต้องเดินทางไกลข้ามวันข้ามคืน ถ้าพาแสนดีไปด้วยก็ลำบาก”
“แล้วทำไม ไม่จ้างรถรับจ้างล่ะ เราจะได้พาเจ้าแสนดีไปด้วย อีกอย่าง พี่จะได้ไปส่งข้าวตังกับน้าจิตใสด้วยไง ดีไหม”
คิมหันต์ร้องออกมาอย่างดีใจกับความคิดของตัวเอง ก่อนจะรีบไปบอกมารดาของตัวถึงความคิดนี้ เข็มทองมองหน้าลูกชายด้วยความเห็นใจ เธอถอนหายใจด้วยความสงสารสองแม่ลูกนั่น
“น้าจิตใสน่ะ ไม่มีเงินหรอกจ๊ะ คิม ถ้าต้องจ้างรถรับจ้างจากนี่ไปไกลถึงหนองคาย ก็เป็นเงินมากโขอยู่ นี่น้าจิตใสก็ต้องขายข้าวของที่มีอยู่เอาเงินติดตัวกลับไปโน้น เห็นว่า ที่นั่นมีแต่แม่แก่ๆกับพี่ชายพี่สะใภ้ที่ก็ไม่รู้ว่า จะยอมให้จิตใสพักอยู่ด้วยหรือเปล่า”
“ถ้าลำบากอย่างนั้น ทำไมไม่อยู่ที่นี่ต่อเล่าครับ ย้ายทำไม”
เข็มทองส่ายหน้าไปมา ถ่ายทอดความคิดของจิตใสให้ลูกชายฟัง เพราะรู้ว่า ลูกชายผูกพันกับลูกสาวจิตใสมากขนาดไหน ตัวเธอก็สงสารจิตใสกับหนูสิตางค์ แต่จนใจเพราะ สภาพที่ไม่เอื้ออำนวยจะช่วยเหลือใคร ลำพังเธอกับลูกชายอาศัยแต่เงินบำนาญของสามีที่ทิ้งไว้ให้ ถึงไม่มากนักก็พออยู่ไม่ขัดสนประสาแม่ลูก รายได้จากการทำขนมที่ช่วงหลังแบ่งให้จิตใสด้วยก็ไม่ใช่เหลือเฟือ
เธอจึงต้องตัดใจปล่อยให้จิตใสช่วยเหลือตัวเอง
‘หนูขอบคุณพี่เข็มมากค่ะที่ช่วยเหลือหนูทุกอย่าง เท่านี้ก็รบกวนพี่กับคิมหันต์มากแล้ว หนูจะพาลูกกลับไปอยู่กับแม่สักพัก แล้วจะเอาไงต่อค่อยว่ากัน ยายตังยังเล็กย้ายกลางเทอมไม่มีปัญหา ดีกว่ามาทนทุกข์รอเค้า เขาจะมาไม่มาก็ไม่รู้ ไหนจะเมียแต่งเขาอีก คงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ หนูมันผิดเองที่หลงหน้ามืดตามัวรักเขา แล้วยังปล่อยให้มีลูก ยายตังเลยต้องพลอยมาลำบากกับแม่ด้วย’
คิมหันต์จึงได้แต่รับตัวเจ้าแสนดีมาเลี้ยงแทน ด้วยสัญญา
“พี่จะดูแลมันให้ดีที่สุด ไม่ว่าข้าวตังกลับมาเมื่อไหร่ ข้าวตังต้องได้พบมัน”
“พี่คิม ต้องไม่ลืมข้าวตังนะคะ สัญญา นานแค่ไหนก็ไม่ลืม” คิมหันต์พยักหน้า ย้ำสัญญา
สองแม่ลูกหอบกระเป๋าใบโตพร้อมลังใส่สัมภาระขึ้นรถประจำทางที่ตัวจังหวัดเข้ากรุงเทพฯเพื่อต่อรถไฟไปหนองคาย บิดาของเด็กหญิงไม่ได้มาด้วย มีเพียงคิมหันต์กับมารดามาส่ง ขึ้นไปบนรถได้ เด็กหญิงก็รีบวิ่งขึ้นปีนเบาะตัวยาวทางด้านท้ายรถในบริเวณที่ยังว่างอยู่ โดยไม่ฟังเสียงเรียกของมารดาที่รี่ตามมาด้วยความห่วง สิตางค์คุกเข่าเกาะกระจกหลังรถประจำทางแล้วมองผ่านออกไปโบกมือให้คิมหันต์ที่ยังยืนส่งพร้อมชูเจ้าแสนดีให้เห็น จับมือมันชูโบกมือให้เด็กหญิงที่น้ำตารินเป็นสาย
นั่นเป็น.....ครั้งสุดท้าย....ที่ได้พบกัน ก่อนผ่านช่วงเวลาเศร้าโศกด้วยความผูกพันนั้น ยาวนานต่อมาอีกนับสิบปี
