บทที่7.ฉันจำไม่ผิดหรอก
วีรดาเกาหัวตัวเองอย่างงงๆ ที่สิตางค์ทำท่าเหมือนไม่มีความทรงจำที่นี่ แต่แล้วก็พยายามจะพาตัวเองกลับไปที่เดิมที่เคยอยู่
เหมือนว่า อดีตบางอย่างก็ต้องการรื้อฟื้นด้วยตัวเอง
“ซอยนี้แน่นะแก”
วีรดาขับรถมาถึงปากซอยถนนเส้นหนึ่งที่เคยเป็นลูกรัง แต่เวลานี้ราดยางมะตอยเรียบร้อย กลายเป็นถนนสาธารณะ แถมมีป้ายบอกชื่อถนนติดอยู่ที่เสาปูนปากทางเข้าเสร็จสรรพ ดูเจริญหูเจริญตาพัฒนาขึ้นมากกว่าที่สิตางค์บรรยายภาพไว้ก่อนมาถึง
วีรดาจึงต้องถามย้ำไปตลอดทาง ในที่สุด เธอก็จอดรถกึกทันทีที่คนข้างตัวยืนกราน
“ซอยนี่ล่ะ”
“ใช่ ฉันจำไม่ผิดหรอก เข้าไปตรงนี้”
“ไหนแกว่า ถนนเส้นเล็กๆเข้าซอยไม่ลึกมาก”
วีรดาขับรถไปตามถนนลาดยางเลนเดียว สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านเรือน ไม่ใช่รกด้วยพงหญ้าเหมือนที่สิตางค์เคยอยู่ที่นี่ ตัวคนบอกเอง ยังทำหน้าตื่นตกใจ ทุกอย่างเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
“มันหลายปีแล้วน่ะ” เธอบอกทั้งตัวเองและเพื่อนที่ทำหน้าที่พลขับ
“นั่นสิ ฉันก็ลืม แกเล่าว่าย้ายไปหนองคายตั้งแต่เด็ก แกยังโตขึ้น แล้วไอ้ถนนหนทางพวกนี้มันจะไม่เปลี่ยนได้ไง”
“แต่ฉันก็ยังพอจำได้ล่ะ” สิตางค์ยืนกราน หันหน้ามองออกนอกกระจกรถ
“ขับช้าๆนะ แวนด้า ฉันว่ามันอยู่แถวนี้ล่ะ บ้านที่ฉันเคยเช่า”
สิตางค์พยายามทบทวนความทรงจำ กระทั่งผ่านบ้านไม้ใต้ถุนสูงหลังหนึ่ง ตั้งอยู่โดดเดี่ยวปิดร้างท่ามกลางต้นหญ้าที่ขึ้นสูง ไม่มีต้นไม้ใหญ่สักต้น ต้นมะม่วงใหญ่ที่ใครบางคนเคยผูกชิงช้าให้นั่งเล่นก็อันตรธานหายไปแล้ว นอกจากบริเวณบ้านที่บ่งบอกสภาพว่าไม่มีคนอยู่ ยังกั้นอาณาเขตด้วยรั้วลวดหนาม
“จอดตรงนี้ล่ะ แวนด้า” สิตางค์บอกเพื่อน
“หลังนี้หรือ บ้านตัง”
สิตางค์ส่ายหน้า ก่อนหันมองไปอีกฝั่งที่อยู่เยื้องกัน ที่ตรงเคยเป็นบ้านเช่าหลังเล็กๆของสิตางค์กับแม่ ตอนนี้มันได้ปรับเปลี่ยน
กลายเป็นห้องแถวเปิดโล่งทำเป็นร้านขายของชำเล็กๆ
สิตางค์ลงจากรถ เดินช้าๆ ข้ามไปที่ร้านค้า
ความทรงจำที่เธอกับแม่เคยอยู่ที่นี่หมุนย้อนกลับมา ภาพที่เธอเคยนั่งรอพ่ออยู่หน้าบ้านก่อนจะกระโดดโลดเต้นลิงโลดอย่างดีใจ เมื่อวันไหนรถยนต์ของพ่อแล่นเข้ามา ส่วนแม่จะรีบผละจากงานตรงหน้า ไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทันทีที่ได้ยินเสียงรถของพ่อ เพื่อมายืนรอตรงริมประตูบ้าน
น้ำตารื้นๆเอ่อท้น จนต้องรีบป้ายออก ก่อนที่วีรดาจะสังเกตเห็น
“เอาอะไรจ๊ะ หนู”
หญิงวัยกลางคนเดินออกมาต้อนรับลูกค้า ท่าทางคงมาจากกรุงเทพฯ แต่งเนื้อแต่งตัวผิดจากเด็กสาวท้องถิ่น
วีรดาเดินตามมาทางด้านหลัง กระซิบถาม “ตกลงหลังไหนบ้านแก”
“มันกลายเป็นร้านค้าไปแล้ว” สิตางค์กระซิบตอบ
“แล้วนี่ใคร” เพื่อนสาวพยักเพยิดไปที่สาวใหญ่เจ้าของร้าน สิตางค์ส่ายหน้าไปมา
“ว่าไงจ๊ะ” เจ้าของร้านค้าชักงงๆที่ลูกค้าแปลกหน้าสองคนกระซิบกระซาบอะไรกันไม่รู้ นั่นล่ะสิตางค์ถึงรู้สึกตัว
“เอาน้ำ น้ำแดงล่ะกันค่ะ ที่เป็นน้ำหวานชง” เธอหันไปเห็นตู้กาแฟโบราณหน้าร้านค้า “ใส่โซดาด้วยนะคะ บีบมะนาวด้วยจิ๊ดหนึ่ง” วีรดาสำทับ
“เอ่อ คุณป้าคะ” สิตางค์ถามเจ้าของร้านค้าที่ยังไม่เงยหน้าจากแก้วชงน้ำแดงตรงหน้า
“บ้านหลังนั้น” เธอหมายถึงหลังที่รถของวีรดาจอดอยู่ “ไม่มีคนอยู่แล้วหรือคะ”
“โอ๊ย ย้ายไปนานแล้ว ตั้งแต่ป้ามาอยู่ใหม่ๆ หลายปีล่ะ ไม่รู้ไปไหนสิ เขาไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เห็นว่า นานๆล่ะจะมาสักครั้ง ป้าก็ไม่เคยเจอเจ้าของบ้าน สักทีนะ”
.....
“เฮ้อ เช้าๆที่นี่ อากาศสดชื่นจังนะแก”
วีรดาเปรยหลังจากที่เธอตื่นขึ้นมาทีหลังสิตางค์ รายนั้นตื่นเช้ามืด ได้ยินเสียงแว่วๆว่า ลงไปทำอะไรกุกกักอยู่ในครัว ที่มีเครื่องครัวง่ายๆตระเตรียมไว้พร้อมสรรพ เมื่อวานทั้งสองแวะที่ศูนย์การค้าขนาดเล็กแถวนั้นแล้วซื้อของสดแห้งมาตุนไว้หลายรายการ หลังจากได้รับแจ้งจากทางโรงงานแล้วว่า บ้านพักที่เตรียมไว้มีเครื่องอำนวยความสะดวกที่จำเป็นเรียบร้อย
“มีพ่อเพื่อนเยอะก็ดีเงี้ย” วีรดาบอกสิตางค์ หลังจากทั้งคู่ขับรถมาถึงบ้านพักของพวกตนที่ได้รับการจัดเตรียมไว้แล้ว
