บทที่ 9
ตอนที่ผมได้พบกับเจอรี่เป็นครั้งแรก มันเป็นช่วงเวลาก่อนหน้าที่พ่อของเขาจะได้รับการเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรี ผมไม่รู้จะจัดการกับเขาอย่างไรดี เพราะเขาเป็นคนน่ารัก เปิดเผยและไม่เข้าใจว่า ทำไมพ่อจึงให้เขาออกจากโรงเรียนราษฎร์และเอามาเข้าที่เซ้นท์ เทอเรซ น่าจะเป็นเพราะเขาไม่รู้จักนักการเมืองดีพอ ทั้งๆ ที่พ่อของตนเองก็เป็นนักการเมือง ผมชอบลูกแต่เกลียดพ่อเอามากๆ
ในที่สุดก็ตัดสินใจว่า ถึงอย่างไรก็ต้องสู้กันสักตั้ง ผมก็เลยท้าเขาชกเอาดื้อๆ แต่พอชกกันไปได้หน่อยเดียว ผมก็รู้สึกว่าไม่เห็นจะได้อะไรขึ้นมา ก็เลยชวนเขาเลิกเสียกลางคัน
“อย่าชกกันให้เมื่อยเลย ถึงยังไงเราก็ชอบนายอยู่นั่นเอง” เขาก็ไม่รู้เหตุผลอีกนั่นแหละ ว่าทำไมผมต้องทำอย่างนั้น อาจจะเห็นผมบ้าไปแล้วก็เป็นได้ เขายิ้มขณะที่ตอบผมว่า
“เออดี เราก็ชอบนายเหมือนกัน”
จากนั้นมิตรภาพระหว่างเราก็ฟักตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ประมาณสักปีหนึ่งได้แล้วที่เราเรียนร่วมกันมาโดยตลอด มาถึงวันนี้เขากำลังขอร้องให้ผมไปพบกับพ่อของเขา แถมยังให้ไปเที่ยวตากอากาศกับเขาอีกด้วย ผมเองก็ไม่เคยบอกให้เขารู้เลยว่า ผมไม่ชอบพ่อเขาเอามากๆ ผมหวังแต่ว่าเจอรี่จะลืมคำชักชวนนั้นเสีย แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น พอทำนมัสการรอบสุดท้ายจบเขาก็เดินเข้ามาหา
“พร้อมหรือยังค่ะ ดอยย์กี้?” เขาถามพร้อมกับยิ้มให้ผมอย่างสุภาพ
“เออ...”
“ถ้าอย่างนั้นจะรออะไรอยู่อีกล่ะ เราไปกันได้เลย”
และแล้ว ผมก็เข้าไปถึงอาณาบริเวณบ้านของเขาจนได้ คนรับใช้คนหนึ่งเดินสวนออกมา
“เฮลโล...คุณหนูเจอรี่”
“เออ...โรเบิร์ต พ่ออยู่ไหน?”
“ในห้องสมุดครับ กำลังรอคุณหนูอยู่พอดี”
ผมเดินตามเจอรี่เข้าไปในห้องสมุดของบ้าน ทั้งพ่อและแม่ของเขาอยู่พร้อมหน้ากันทั้งสองคน พ่อของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย ยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าและดวงตาก็ยังเป็นประกายวาววับ ผมเพิ่งนึกออกเดี๋ยวนี้เองว่า เจอรี่ถอดแบบวิธีการยิ้มมาจากพ่อนั่นเอง แต่เขามีท่าทางสงบ เคร่งขรึมกว่ามาก ริมฝีปากบางเหมือนแม่และสุภาพอ่อนน้อมเหมือนกัน
“มาแล้วหรือลูก พ่อกับแม่คอยกินอาหารกลางวันอยู่”
“ขอบคุณครับพ่อ นี่เพื่อนผมครับ ดอยย์กี้ที่ผมเล่าให้ฟังไงครับ”
ทั้งพ่อและแม่ของเขามองดูผม ซึ่งทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเนื้อตัวดูจะรุ่มร่ามขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เสื้อผ้าก็ดูสกปรกผิดหูผิดตาไปอย่างไรไม่รู้
“ยินดีที่ได้รู้จักหนู” พ่อของเขาทักผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและผมก็จำไม่ได้ ว่าตอบออกไปว่าอย่างไร ก็พอดีกับที่คนรับใช้เดินเข้ามาบอกว่า อาหารพร้อมแล้ว เราจึงเดินออกไปห้องอาหารพร้อมกัน
“โต๊ะอาหารตัวใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง มีชามแก้วขนาดใหญ่จัดดอกไม้สดไว้สวยงามตั้งอยู่ตรงกลาง ทุกที่นั่งมีมีด ส้อม ช้อน จัดไว้เป็นหมวดหมู่ มากเสียจนผมไม่รู้จะใช้อะไรถูก ต้องคอยมองเจอรี่จะได้ทำตามซึ่งที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรนัก
เมื่อจบรายการอาหารคาวแล้ว เรามีไอศกรีมเป็นของหวาน จนเมื่อเสร็จจากการรับประทานแล้วจึงได้กลับไปที่ห้องสมุดอีกครั้งหนึ่ง
“เจอรี่บอกฉันว่า อยากให้หนูไปพักที่บ้านนอกเมืองของเราด้วย” มิสเตอร์โควานพูดกับผม
“ครับท่าน ผมขอบคุณมาก แต่เสียใจเหลือเกินที่ผมไปด้วยไม่ได้หรอกครับ”
“อ้าว...ไปไม่ได้หรอกหรือ...เป็นการผิดกฎของ...เอ้อ...สถานเลี้ยงเด็กกำพรร้าอย่างนั้นหรือ?”
“อ๋อ...เปล่าหรอกครับท่าน เพียงแต่ว่าผมรับจ้างทำงานไว้ตลอดฤดูร้อนและไม่อยากทิ้งไปเท่านั้นเอง”
“แต่บ้านนอกเมืองสบายกว่าที่หนูจะทำงานอยู่ในเมืองมากนะจ๊ะ”มิสซิสโควานว่า
“ครับท่าน ผมทราบครับ แต่ผมมีค่าใช้จ่ายมากและกำลังจะเข้าไฮสกูลเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ อีกประการหนึ่งผมอยากมีเงินด้วยความสามารถของผมเอง ท่านคงเข้าใจนะครับ คือผมหมายถึงว่า ผมอยากเป็นอย่างคนอื่นๆ เขาบ้าง ไม่อยากรับการบริจาคอยู่ตลอดเวลา ต้องขอประทานโทษด้วยนะครับคุณนาย ที่ผมพูดอย่างนี้อาจจะหยาบคายไปหน่อย”
มิสซิสโควานเอื้อมมือมาจับผมไว้
“ไม่หรอกหนู ไม่ได้หยาบคายอะไรเลยดอยย์กี้ ฉันกลับเห็นว่าหนูเป็นเด็กดีที่ใช้ได้ทีเดียวนะจ๊ะ”
ผมตื้นตันจนไม่รู้จะตอบท่านอย่างไร มิสเตอร์โควานและภรรยา นั่งคุยกับผมอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงได้ปล่อยเราให้อยู่ด้วยกันตามลำพัง เจอรี่จึงพาผมขึ้นไปยังห้องส่วนตัวของเขา
เราเก้กังๆ กันอยู่พักหนึ่ง แล้วเจอรี่ก็ตัดสินใจว่า
“เราขึ้นไปห้องข้างบนกันดีกว่า มีห้องกีฬาอยู่ข้างบนนั้น เล่นกันได้สนุกไม่มีใครว่าอะไรหรอก”
สิ่งแรกที่ปะทะสายตาเมื่อก้าวเข้าไปในห้องกีฬา คือรถรางไฟฟ้าคันใหญ่ที่วางอยู่บนพื้นห้อง มันสมบูรณ์แบบทีเดียว บนรางมีทั้งสะพานลอยและถ้ำลอด มีสถานีอยู่ถึง 3 แห่ง
“โอ้โฮ...ไอ้นี่น่าเล่นมาก”
“ใช่” เจอรี่ตอบ “พ่อซื้อมาให้เราสามปีแล้ว ก่อนจะไปฟลอริด้าเสียอีก เล่นไหมล่ะ?”
ผมมองดูมันเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง ก้าวเข้าไปหามันอย่างลืมตัว และแล้วอะไรบางอย่างก็ฉุดกระชากลากถูสติอารมณ์ของผมให้กลับคืนมา ทั้งๆ ที่มันเหมือนเปลวไฟที่แผดเผาวูบวาบอยู่ในหัวใจ
ถูกแล้ว...มิสเตอร์โควานไม่เคยลืมลูกชายของเขาเลย ของขวัญชิ้นนี้สำหรับลูกชายของเขาต่างหาก
“ไม่เล่นหรอก” เสียงผมสั่นระรัว “ในห้องนี้ร้อนออก ไปว่ายน้ำเล่นกันดีกว่า”
เทอมหน้านี้แล้วที่ผมจะต้องเข้าเรียนต่อในไฮสกูล เจอรี่ตั้งใจว่าจะเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยโฮเดย์ วอชิงตัน ซึ่งอยู่ที่เมืองไฮท์ ผมกับเลสรี่ย์ก็เลยวางแผนที่จะเข้าตามเขาไปด้วย แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่ได้คิดที่จะฝักใฝ่กับการเรียนมากนัก คิดแต่เพียงว่า ถ้าอายุครบ 17 เมื่อไร ก็เห็นจะเลิกเรียนเสียที ความปรารถนาของผมมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คือหาเงินให้รวยเป็นเศรษฐีให้ได้
การมอบประกาศนียบัตรของเซ้นท์ เทอเรซนั้น ทำกันแบบเรียบๆ ง่ายๆ นักเรียนทุกคนมีพ่อแม่พี่น้องมาร่วมแสดงความยินดีกันทั้งนั้น พวกเขานั่งกันอยู่เป็นกลุ่มในห้องประชุมใหญ่ ทุกคนหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างชื่นบาน...แต่ผมไม่มีใครเลย...
เมื่อมองดูคนอื่นๆ แล้วหัวใจของผมก็ห่อเหี่ยวลงไปอีก...ความรู้สึกเหงาในใจนั้นมันร้ายกาจนัก ผมถามตัวเองว่า นี่เราเป็นคนไร้ญาติขาดมิตรถึงเพียงนี้เชียวหรือ...ผมขึ้นไปรับประกาศนียบัตรอย่างโดดเดี่ยวจริงๆ คล้ายๆ กับเราบังเอิญต้องทำงานอะไรสักอย่างหนึ่งที่ไม่ใคร่เต็มใจนัก
ผมกำลังจะเดินออกจากห้องโถงภายหลังจากที่ได้รับประกาศนียบัตรเรียบร้อยแล้ว ก็พอดีกับที่มีมือของใครคนหนึ่งตบลงบนไหล่เบาๆ เมื่อผมหันไปมองก็เห็นว่าเป็นคุณพ่อเบิร์นฮาร์ทกับคุณพ่อควินน์ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะ ดอยย์กี้”
ผมยิ้มออกทันที รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลออกมาเสียให้ได้...พูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองดูท่าน คุณพ่อเบิร์นฮาร์ทก็ดูจะอ่านใจผมออก
“นี่คงคิดว่าเราจะไม่มาสินะดอยย์กี้” ท่านยิ้มขณะกล่าวต่อว่า “เราไม่เคยขาดงานอย่างนี้หรอก ไม่ว่าจะเป็นเด็กคนไหนของเราที่ได้รับประกาศนียบัตร เราจะต้องมาร่วมแสดงความยินดีกับเขาด้วยทุกครั้งจริงไหม คุณพ่อ?” ท่านหันไปถามย้ำกับคุณพ่อควินน์
“ใช่สิ และเราก็ภูมิใจในตัวเธอมากด้วย ดอยย์กี้”
“ขอบคุณครับ คุณพ่อ” ผมพูดได้เท่านั้นจริงๆ
คุณพ่อเบิร์นฮาร์ทโอบไหล่ผมไว้และพาเดินออกไปข้างนอก คุณพ่อควินน์อวยพรให้ผมโชคดีอีกครั้งก่อนจะขอตัวแยกไป ปล่อยเราทั้งสองไว้ตามลำพัง
“โอลลอยด์ พ่อมีของขวัญจะให้”
ผมรู้สึกประหลาดใจจนงงงัน
“ครับ”
“ยื่นมือมาสิ...เอ้า...นี่ของขวัญของเธอรักษาไว้ให้ดีนะ”
ห่อของขวัญที่อยู่ในมือผมนั้นงามจับตา ผมกระชับมันไว้ในอุ้งมือด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
“เปิดดูได้ไหมครับ?”
ท่านพยักหน้าเบาๆ
นาฬิกาข้อมือ...!...เรือนทองนั้นต้องแสงอาทิตย์เป็นประกายงดงามอย่างยิ่ง ผมไม่เคยเห็นนาฬิกาเรือนไหนที่สวยเหมือนเรือนนี้มาก่อนเลย มือสั่นสะท้านขณะที่ผมทาบมันลงกับข้อมือ
“ชอบไหมล่ะ?” คุณพ่อถามยิ้มๆ
“ครับ คุณพ่อ...ผม...ผม...ขอบพระคุณมากครับ”
ท่านยิ้ม คล้องแขนผมไว้ขณะพาเดินไปยังสนามด้านหน้าของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ผมลอบขำเลืองมองนาฬิกาอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า...มันช่างสวยเหลือเกิน...
