บทที่ 8
เช้าวันเสาร์ต่อมา มิสเตอร์โคชทิ้งให้ผมเฝ้าร้านอยู่เพียงลำพัง เขาพาภรรยากับลูกๆ ไปส่งที่สถานีรถไฟเพื่อเดินทางไปตากอากาศนอกเมือง และจะอยู่ที่นั่นตลอดฤดูร้อนที่กำลังมาถึง
ผมทำงานไปเรื่อยๆ จัดโต๊ะให้เรียบร้อย แช่เบียร์ไว้ให้เย็น ปัดกวาดพื้นห้องจนสะอาด หลังจากนั้นก็ล้างห้องน้ำ เช็ดกระจกตู้ใส่เหล้า ขณะกำลังจะล้างกระจกหน้าต่าง โดยเอาแปรงจุ่มน้ำยาค่อยๆ ไถกระจกให้ใสก็ได้ยินเสียงเรย์ร้องทักอยู่ข้างล่าง
“เฮ้...ท่าเหมือนคนล้างกระจกมืออาชีพเลยนี่หว่า เพื่อน”
“ก็ต้องมีลูกเล่นบ้างสิ จำเขามาน่ะ...มันต้องมีวิธีการกันหน่อย” ผมร้องตอบอย่างภาคภูมิใจแล้วค่อยๆ ไต่มาจากของหน้าต่างเพราะงานเสร็จพอดี
“เข้ามาก่อนสิ มิสเตอร์โคชไม่อยู่หรอก”
เจอรี่กับเรย์เดินเข้ามาในร้าน ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เด็กอย่างพวกเขาได้เข้ามาในสถานที่เช่นนี้
“ขอเราเล่นบิลเลียดหน่อยได้ไหม ดอยย์กี้?” เรย์ถาม
“ไม่ได้ นายยังเด็กอยู่ ที่นี่เขามีกฎว่าเด็กห้ามเล่น เห็นประกาศนั่นไหมล่ะ ถ้าเรามีเด็กเข้ามาเล่นก็จะต้องถูกปิดทันที
“งั้นบ่ายนี้ไปว่ายน้ำเล่นกันไหมล่ะ?” เจอรี่ถาม
“คงได้มั้ง บ่ายๆ นายลองแวะเข้ามาสิ ถ้างานไม่ยุ่งนักจิมมี่คงอนุญาตให้เราไปได้”
“โอเค ถ้างั้นเราไปก่อนนะ แล้วจะแวะมาหานายอีกที”
บ่ายวันนั้นอากาศค่อนข้างร้อน มิสเตอร์โคชกลับเข้ามาอย่างอารมณ์ดี ผิวปากดังลั่นไปหมด อาจจะเป็นเพราะปลอดทั้งเมียและลูกก็เป็นได้ และเพราะว่าเราไม่มีอะไรที่จะต้องทำมากนัก เขาจึงอนุญาตให้ผมออกไปเที่ยวได้สัก2-3ชั่วโมง
เรา3คน เดินไปตามถนนที่ตัดเข้าท่าเรือ ผมเห็นเลสรี่ย์เดินอยู่ไม่ไกลนัก
“เฮ้...มาร์ตี้”
เขาเดินเข้ามาหา ผมจึงจัดการแนะนำให้เขาได้รู้จักกับเพื่อนๆ และชวนเล่นน้ำด้วยกัน
“ไปก็ได้ ถ้าคนอื่นๆ ไม่ขัดข้อง”
“เฮ่ย ไม่หรอก อย่าห่วงไปหน่อยเลยน่า”
ที่สะพานท่าน้ำ มีพวกเด็กๆ นั่งกันอยู่เต็มไปหมด มีบางคนที่ผมรู้จัก ปีเตอร์ ซานเปโรกับพวกของเขาก็อยู่ที่นั่นด้วยแต่เราไม่ได้พูดกันแล้วผมก็ไม่สนใจมันด้วย
เราถอดเสื้อผ้าออกแล้วก็ลงไปลอยคอกันในน้ำ ว่ายออกห่างจากตลิ่งเล็กน้อยเพื่อหนีเศษขยะที่ลอยอยู่ใกล้ๆ รู้สึกอุ่นสบายเสียเหลือเกิน เจอรี่ โควานร้องบอกผมว่า
“ถ้านายไปเที่ยวนอกเมืองอย่างที่เราชวน นายจะได้ว่ายน้ำในทะเลสาบด้วย สะอาดกว่านี้มาก”
เสียงเครื่องบินดังก้องอยู่เหนือศีรษะ เราแหงนหน้าขึ้นมอง กู่ตะโกนใส่เครื่องบินกันอย่างสนุกสนาน
“สงสัยนักบินจะเป็นรัค เมวิสเบอเกอร์ว่ะ”
“ไม่มีทาง ถ้าใช่ก็เทวดาน่ะสิ รัค เมวิสเบอเกอร์ตายไปตั้งนานแล้ว”ผมว่า
“เฮ้ย...ยังไม่ตาย” เลสรี่ย์ตะโกนตอบ “ยังอยู่ เมื่อเร็วๆ นี้ยังยิงเครื่องบินเยอรมันตกเลย”
“เอาเถอะน่า ยังไงๆ เราก็ต้องยอมรับว่าอเมริกามีเครื่องบินที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมที่สุดในโลกและนักบินอเมริกันเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” เรย์ตะโกนตอบมา
เราว่ายน้ำเล่นกันอยู่พักใหญ่ เสร็จแล้วก็ขึ้นมาผึ่งแดดกันอยู่บนท่าเรือ ทุกคนเปลือยกายหมดเพราะตรงนั้นห่างจากถนนมาก ไม่มีใครสามารถมองเข้ามาเห็นได้ เมื่อถึงแล้วเราก็ลงนอนนิ่งๆ กันอยู่เป็นครู่ แดดร้อนเปรี้ยงผมก็เลยเอาเสื้อมาปิดหน้าไว้
มีเงาๆ หนึ่งทาบลงมาบนร่าง เสียงถามกระชากๆ ดังมาว่า
“ใครอนุญาตให้ไอ้ยิวห่...นี่มาเล่นน้ำที่ท่าของกูวะ?”
ผมกำลังคิดอยู่ว่า ใครคนนั้นคงจะพูดกับเลสรี่ย์ก็เลยนอนเฉยอยู่อย่างนั้น จะดูสิว่ามันจะเอาอย่างไรกัน...
“เฮ้ยพรรคพวก...มาตรงนี้หน่อย...มาดูสิว่า ไอ้ลูกยิวมันทำด้วยอะไร?”
มีเสียงฝีเท้าเดินเรียงกันเข้ามาหยุดอยู่ไม่ไกลจากที่เรานอนอยู่เท่าไรนัก
“เฮ้ย...ตลกดีไหมล่ะ...?”แล้วก็มีเสียงหัวเราะเฮฮาดังลั่นขึ้น ผมดึงเสื้อออกจากใบหน้าแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง เจอรี่ เรย์และเลสรี่ย์ นั่งอยู่ใกล้ๆ ทุกคนแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว มีแต่ผมเท่านั้นที่ยังแก้ผ้าอยู่
“ถ้านายหมายถึงเราละก็ จะบอกให้ว่าเราชื่อดอยย์กี้ เมวิสและไม่ใช่ยิวด้วย สงสัยอะไรอีกไหม?”
“เออ...ไอ้นี่เอง เด็กจากเซ้นท์ เทอเรซยังไงล่ะ” เด็กคนหนึ่งร้องขึ้น
“เออสิวะ ผมเดินเข้าไปชิดตัวมัน...
“เฮ้ย ขอโทษโว้ย ก็กูไม่ชอบยิวนี่หว่า อยากเจอสักตัวแถวนี้จะได้เตะให้ตกท่าเลย”
ก่อนที่ผมจะทันตอบ มาร์ตี้ก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมายืนเคียงข้าง
“กูนี่ละวะยิว เอา...เข้ามาเตะให้ตกท่าเลยสิ”
เด็กคนนั้นสูงกว่ามาร์ตี้เล็กน้อย ขณะนั้นมาร์ตี้กำลังยืนหัวหลังให้แม่น้ำ เจ้าคนหนึ่งพุ่งตัวเข้ามาหมายจะผลักมาร์ตี้ให้หงายหลังลง แต่มาร์ตี้ถอยหลบทัน เจ้านั่นพุ่งเข้ามาเร็วเกินไปก็เลยถลาลงน้ำไปแทน พวกเราหัวเราะกันลั่นไปหมด
“เป็นไง...รู้สึกว่ายิวจะสมาร์ทไปหน่อยสำหรับพวกแกนะ ห่ะ...”
เจ้านั่นว่ายกลับเข้ามาและพยายามไต่ขึ้นบนบก เกาะขอบท่าเอาไว้แต่พลาด เป็นผลให้หงายหลังกลับลงไปในน้ำอีก เราก็เลยได้หัวเราะกันอีก
เราเล่นสนุกกันอยู่พักใหญ่จึงได้แต่งตัวเตรียมกลับบ้าน เจอรี่กระซิบผมเบาๆ ว่า
“อย่าลืมนะ พรุ่งนี้เสร็จจากโบสถ์เช้าแล้ว นายต้องไปบ้านเราจะได้พบกับพ่อ”
ตอนที่ผมก้าวเข้าไปในร้าน มิสเตอร์โคชกำลังยุ่ง ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการหลายคนแล้ว
“เฮ้ย...! ลงไปเอาเบียร์เย็นๆ ขึ้นมาสักสองสามขวดสิ...เร็วๆ ด้วย” เขาสั่งเสียงดังลั่น แต่ก็แย้มยิ้มดีและผมก็รับคำสั่งนั้นด้วยความเต็มใจ อดคิดถึงซิลค์ เฟนเนลลิขึ้นมาวูบหนึ่งไม่ได้
วันอาทิตย์โคชจะปิดร้าน 1 วัน ผมเองก็ไปไหนตลอดช่วงเช้าไม่ได้ จะต้องอยู่ทำพิธีนมัสการเพราะผมเป็นเด็กใน หลังจากเสร็จพิธีนมัสการเมื่อเวลาใกล้เที่ยงแล้ว ผมจะต้องกลับไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เพื่อรอเวลาอาหารค่ำและบางทีผมก็ออกไปสนามโปโล ไม่ก็ไปดูหนังหรือดูบอลตามเรื่อง สำหรับอาทิตย์นี้ผมสัญญากับเจอรี่ไว้ว่าจะไปพบกับพ่อเขาที่บ้าน
พ่อของเจอรี่เป็นนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กอย่างที่ผมได้บอกไว้แล้ว เขาสังกัดพรรคเดโมแครท เป็นคนที่ประชาชนให้การสนับสนุนมากคนหนึ่ง ท่าทางเขาเป็นมิตรกับผู้คนอยู่มาก พร้อมที่จะสัมผัสมือและฉีกยิ้มได้ถูกจังหวะอยู่เสมอ บอกตรงๆ ว่าผมไม่ได้ชอบเขาเลย เพราะมีเบื้องหลังที่ฝังใจอยู่กับเขามานานแล้ว นานเสียก่อนที่ผมจะได้รู้จักกับเจอรี่ โควานผู้ลูกเสียอีก
ตอนนั้นอยู่ในช่วงเวลาระหว่างการหาเสียงและมิสเตอร์โควานผู้นี้แหละ ที่ได้มาพูดที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในวันขอบคุณพระเจ้าและร่วมรับประทานอาหารค่ำด้วย เขาปราศรัยได้ไพเราะเพราะพริ้ง ชนิดที่เด็กๆ อย่างเราไม่มีวันที่จะเข้าใจคำพูดแบบนั้นได้เลย แต่เราก็ไม่แคร์กันนักเพราะห่วงที่จะได้กินอาหารดีๆ กันมากกว่า
ประมาณสัก 3 ทุ่มเห็นจะได้ ที่เขาขอให้ผมช่วยหยิบซิการ์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อนอก พอเอามาส่งให้เขาก็ส่งเหรียญ 25 เซ็นต์ให้ผม
“นี่สำหรับการประพฤติตนเป็นเด็กดี” เขาพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน
“ขอบคุณครับ” ผมตอบเบาๆ แล้วก็เกิดนึกขึ้นมาได้ว่าครูสอนไว้อย่างไร ผมก็เลยเดินไปหย่อนเหรียญนั้นลงในกล่องรับบริจาค พอมิสเตอร์โควานเห็นผมทำอย่างนั้นเข้า เขาทำท่าพออกพอใจมาก
“แหม...หนูนี่เป็นเด็กดีเหลือเกิน...ไหน...มานี่หน่อยสิ...หนูชื่ออะไร?”
“โอลลอยด์ เมวิสครับ”
“อา...โอลลอยด์...ดีละ นี่เงินอีก 5 เหรียญสำหรับการบริจาคบำรุงโบสถ์ แต่ก่อนที่หนูจะเอาเงินนี้ไปหย่อนลงในกล่อง บอกสิว่าหนูอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันคริสตมาส?”
“รถรางไฟฟ้าครับ” ผมตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด เพราะสิ่งนี้อยู่ในใจมานานนักแล้ว
“อา...ได้สิ...หนูจะได้รถรางไฟฟ้า รู้ไหม...ผมก็มีลูกชายอายุขนาดหนูนี่แหละอยู่ที่บ้านและเขาก็อยากได้อยู่เหมือนกัน เลยได้พร้อมกันสองคนเลย” เขายิ้มให้ผมอย่างอบอุ่น เอาเงิน 5 เหรียญ ยัดใส่มือผมให้ผมเอาไปใส่ลงในกล่อง
หลังจากนั้นผมก็ตั้งหน้าตั้งตานับวัน จนกระทั่งถึงวันคริสตมาส ในตอนเช้าวันนั้นตอนที่ผมลงไปดู
คริสตมาสต้นใหญ่ที่ตั้งอยู่ในห้องอาหาร หัวใจผมเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าจะต้องได้รถรางไฟฟ้า แต่มองเท่าไรก็ไม่เห็น บางทีเขาอาจจะยังไม่ส่งมาก็ได้ ผมไม่ยักคิดว่าเขาจะลืมสัญญา
จนวันผ่านไปผมก็ยังไม่ได้รถรางไฟฟ้าสักที แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่เลิกหวัง จนกระทั่งถึงเวลาเข้านอนนั่นเอง ที่ผมเกิดความรู้สึกผิดหวังขึ้นมาอย่างจริงจัง ผมซุกหน้าลงกับหมอนร้องไห้เงียบๆ
คุณพ่อเบิร์นฮาร์ทเดินเข้ามาในห้องตอนนั้นพอดี
“เป็นอะไรหรือโอลลอยด์?” น้ำเสียงที่อบอุ่นของท่านเป็นมิตรร่วมทุกข์ร่วมสุขอย่างจริงใจ ทำให้ผมน้ำตาไหลพรากออกมามากขึ้น
ผมลุกขึ้นนั่งและเล่าเรื่องรถรางไฟฟ้าให้ท่านฟังด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นด้วยแรงสะอื้น ท่านนั่งฟังเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ปลอบว่า
“โอลลอยด์ ไม่ต้องร้องไห้ อย่าเสียน้ำตาให้เรื่องเล็กน้อยอย่างนี้เลย ลูกผู้ชายเขาไม่ร้องไห้เพราะเรื่องเล็กน้อยหรอก อีกอย่างหนึ่งตอนนี้พ่อได้ยินมาว่า คุณเอลเดอแมน โควาน กำลังหาเสียงอยู่ในฟลอริด้า เขาไปตั้งแต่เดือนก่อน เขาอาจจะยุ่งอยู่กับงานของเขามากกว่าจะมาคิดถึงเรื่องนี้ก็ได้” พูดจบท่านก็ลุกขึ้นยืนข้างเตียงผม
“เอาละ นอนเสีย...เราต้องรักษาตัวให้แข็งแรง พรุ่งนี้พ่อจะพาไปเล่นรถที่สวนสาธารณะ ตอนนี้หิมะกำลังตกด้วย ลูกจะเห็นเองว่า ขนาดจะยื่นหัวออกไปนอกรถยังไม่ได้เลย”
ผมมองเห็นภาพตัวเองกำลังเล่นรถอยู่ในปุยหิมะ น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว ผมล้มตัวลงนอนในเตียงอย่างว่าง่ายแต่ก่อนจะหลับ ผมได้ยินคุณพ่อเบิร์นฮาร์ทพูดกับใครอยู่แว่วๆ ในห้องโถง
“พ่อไม่แปลกใจหรอก ที่นักการเมืองจะผิดสัญญากับประชาชน แต่พ่อไม่เห็นด้วยที่เขาทำให้หัวใจเล็กๆ ต้องสลายเพราะการไม่รักษาสัญญาของเขา” จากนั้นไฟในห้องโถงกลางก็ดับลง
นับแต่วาระนั้นเป็นต้นมา ผมก็ผูกใจเกลียดเอลเดอแมน โควาน ทั้งๆ ที่ยังเป็นเด็กอย่างนี้แหละ
