บทที่ 6
ผมยืนรอมองตามจนเขาเลี้ยวลับไปตรงหัวมุมถนนแล้ว จึงได้เดินเข้าไปในโรงบิลเลียดของจิมมี่ โคช
ผมแหงนหน้าขึ้นมองดูนาฬิกาที่แขวนไว้ข้างฝาผนังห้อง เพิ่งจะบ่าย 3 โมงเศษเท่านั้น งานจะเริ่มตั้งแต่บ่าย 4 โมง ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ ผมเดินเร็วๆ ออกไปตรงหัวมุมถนนมองหาจิมมี่ เห็นเขากำลังคุยอยู่กับใครคนหนึ่งอยู่ไกลๆ ไม่ได้หันมาทางที่ผมยืนอยู่ด้วยซ้ำ ผมเลยยึดเอาบันไดเก่าๆ หน้าตึกใกล้ๆ นั้นเป็นที่นั่งพัก ตั้งใจว่าจะรออยู่อย่างนั้นจนกว่าจะถึงเวลาทำงาน
ผมควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ พ่นควันช้าๆ เฝ้ามองดูผู้คนที่เดินผ่านหน้าไปมาอย่างเบื่อๆ
ทันใดนั้น ผมก็ได้ยินเสียงเด็กๆ กลุ่มหนึ่งเอะอะเอ็ดตะโรอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม เห็นเด็ก 2-3คนเดินเข้ามาสมทบ เด็กพวกนั้นกำลังรุมล้อมเด็กชาวยิวคนหนึ่งอย่างเมามัน ผมมองดูภาพนั้นอย่างสนใจ แต่ก็บอกตัวเองว่าไม่อยากยุ่ง เด็กๆ กำลังเริ่มตีวงเป็นรูปครึ่งวงกลม
“เฮ้ย...ดูไอ้ครึ่งคนสิโว้ย...!”
“ไอ้พวกฆ่าคน”
“ไล่มันไป...”
เด็กชายคนนั้นยืนปักหลักมั่น ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาบอกแววทระนงอย่างเห็นได้ชัด เด็กที่ตีวงล้อมอยู่ค่อยๆ คืบเข้ามา เขาจึงวางหนังสือที่ถืออยู่ลงกับพื้น หันหลังยันกำแพงไว้ กำหมัดแน่น รูปร่างของเขาเตี้ยและบอบบางกว่าเด็กอื่นๆ เล็กน้อย
“เข้ามาสิ ฉันคว่ำพวกนายได้ก็แล้วกัน” เสียงพูดของเขาไม่บอกความสะทกสะท้านสักนิด
เสียงโห่ฮาป่าดังขึ้น...
“สงสัยจะจูบตีนพวกเราเสียมากกว่าละมั๊ง” มีเสียงหัวเราะดังลั่นตามมา ผมก็เลยลุกขึ้นเดินข้ามถนนไปตรงนั้น ไอ้พรรค์อย่างนี้สิน่าเล่น...
“ไฮ...ดอยย์ค์” คนหนึ่งหันมาทัก
“เออ...วิลลี่”
“สอนไอ้ลูกอี...สักหน่อยสิ”
“เดี๋ยว พวกนายก็ได้ยินมันพูดแล้วนี่หว่า ว่ามันคว่ำนายได้แน่ เพราะฉะนั้นใครก็ได้ต้องแสดงฝีมือหน่อย อย่าเล่นหมาหมู่ฉันไม่ชอบ...”
ทุกคนหันมามองหน้าผม...
“เอ้า...ใครจะเป็นคนลงมือวะ?”
ไม่มีเสียงตอบ...
“โอเค...ถ้าไม่มีใคร งั้นฉันเอง...!”
วงแตกกระจายทันทีเมื่อผมเดินเข้าไป เด็กคนนั้นจ้องหน้าผมเป๋ง ผมการ์ดหมัด เขาก้าวออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง ปาดหมัดเข้าใส่ผมอย่างไม่เป็นท่า ผมซัดเขาลงไปง่ายๆ หมัดเดียวเท่านั้นก็รู้แล้วว่าเขาชกไม่เป็นเอาเสียเลย แต่ก็ยังหลับหูหลับตาหวดซ้ายป่ายขวามาอีก 2-3ที ซึ่งผมก็สกัดไว้ได้ เสียงกองเชียร์ตะโกนลั่น
“คว่ำมันเลยดอยย์กี้”
“เตะมันตรงนั้นแหละ ดอยย์กี้”
ผมถอยออกมาทางด้านหลัง แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า ปากยังคาบบุหรี่อยู่ ที่จริงก็เจตนาจะคาบไว้เหมือนกัน อย่างน้อยก็เพื่อแสดงให้พรรคพวกและเด็กคนนั้นเห็นว่า เรื่องนี้ไม่ยั่นหรอก...
เด็กคนนั้นป่ายหมัดเข้ามาอีก...แต่พลาด...หายใจถี่แรงขึ้น
อา...มันรู้แล้วละว่าเราคว่ำมันได้แน่...ผมคิด...เอ...แล้วทำไมมันไม่วิ่งหนีล่ะ...? ผมแกล้งทำเป็นเซถลา ปล่อยบุหรี่ให้ร่วงจากปาก ชำเลืองตามองก็เห็นเขายังยืนจ้องผมอยู่ ผมจึงเดินเข้าหา ปล่อยหมัดเข้าตรงหน้าอกพอดีแล้วก็ตามหมัดขวาเข้าที่ใต้คาง เขาผงะเล็กน้อย เริ่มเต้นไปมา
“เอามันเลย...เตะมันเลยดอยย์กี้...!”
ช่วงนี้เองที่ผมซัดเขาลงไปนอนบนพื้น แล้วเขาก็เลยนอนอยู่อย่างนั้น
“เฮ้ย...เอามันอีก” เสียงเด็กๆ ร้องบอกและกระชับวงใกล้เข้ามา ผมยืนค้ำหัวเด็กคนนั้นไว้
“ไม่ต้อง มันคว่ำแล้ว”
พวกเด็กๆ มองหน้าผมแล้วก็รู้ว่า ถ้าใครขึ้นเข้ามาตอนนี้ ผมจะเอาจริงๆ ทุกคนเลยไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่มองตากันเงียบๆ
“เอาละ พวกนายสนุกกันพอแล้ว กลับไปเสีย”
พวกเด็กๆ ค่อยๆ ถอยออกไปจากตรงนั้น ผมยืนรอดูอยู่จนพวกมันพ้นมุมตึกไปแล้ว จึงได้เดินไปนั่งลงข้างๆ เขา หยิบซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าส่งให้เขามวนหนึ่ง แต่เขาสั่นหน้าปฏิเสธ ผมจึงหยิบออกมาจุดสูบเอง เราอยู่ในลักษณะนั้นเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง
“ขอบใจนะ”เขาว่า
“ที่ฉันเอานายลงไปนอนกับพื้นน่ะเรอะ?” ผมหัวเราะ
“ที่ให้เกมมันจบง่ายๆ อย่างนี้ต่างหาก แกงค์นี้มัน...”
“อ๋อ...พวกนี้มันไม่มีอะไรหรอก มันชอบเล่นสนุกเท่านั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจอะไรหรอก”
“สนุกงั้นเรอะ?” เขาก้มลงหยิบหนังสือขึ้นมาถือไว้ มองผมหวั่นๆ
“นายน่าจะเรียนชกมวยนะ ถ้าจะต้องอยู่ในละแวกนี้”
เขาเม้มริมฝีปากเหมือนชั่งใจอยู่เป็นครู่ เท่านี้ผมก็รู้แล้วว่าเขาต้องเรียนแน่ๆ
ทันใดนั้น คุณพ่อควินน์ก็โผล่ออกมาจากมุมตึก ผมกระโดดขึ้นยืนอย่างตกใจ
“ฮัลโล...โอลลอยด์” ท่านทักยิ้มๆ
“สวัสดีรับ คุณพ่อ” ผมแตะมือตรงหน้าผากทำท่าคำนับกลายๆ
“เธอชกกับเด็กคนนั้นหรือโอลลอยด์?” ท่านทำเสียงขึงขัง ก่อนที่ผมจะทันตอบ เด็กคนนั้นก็ชิงตอบเสียก่อนว่า
“โอ...เปล่า...เปล่า...ครับคุณพ่อ เราไม่ได้ชกกัน โอลลอยด์เขาสอนมวยให้ผมต่างหาก”
คุณพ่อควินน์หันไปมองดูเขา ก่อนจะพูดเรียบๆ ว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าให้เขาสอนบทเรียนให้เธอเกินขอบเขตก็แล้วกัน เขามักจะลืมตัวเสมอ” ท่านเปลี่ยนน้ำเสียงเมื่อถามต่อไปว่า
“แล้วเราล่ะชื่ออะไร พ่อไม่เคยเห็นเธอที่โบสถ์เลยนี่”
“ผมเป็นยิวครับ ชื่อเลสรี่ย์ เยมี่”
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็คงเป็นลูกของโจ เยมี่สินะ”
“ใช่ครับผม”
“พ่อรู้จักพ่อของเธอ เขาเป็นคนดีนี่ ฝากความระลึกถึงไปด้วยนะ”
“ครับผม”
“เอาละ พ่อต้องไปแล้ว จำที่พ่อสอนไว้นะ อย่าชกต่อยกันมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี” ท่านทำท่าจะเดินออกไป แต่แล้วก็หันมามองทางผม “โอลลอยด์ เอาบุหรี่ออกจากกระเป๋าเสีย เดี๋ยวกางเกงไหม้หมด” แล้วท่านก็เดินผ่านหน้าไป
ผมรีบดึงบุหรี่ออกจากกระเป๋ากางเกง นึกว่าท่านจะไม่เห็นเสียอีก เลสรี่ย์กับผมมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะกันออกมาด้วยความขบขัน
“ท่านเป็นคนดีนะ”เลสรี่ย์ว่า
“ใช่ ดีทีเดียวละ”
เราเริ่มออกเดินเคียงข้างกันไป
“อยู่แถวนี้เหรอ?”
“ใช่ พ่อเราเป็นเจ้าของร้านขายของตรงหัวมุมถนนบรอดเวย์ตัดกับสาย 54ไง”
ขณะนี้เราเดินมาถึงมุมมาถนนสาย 9 แล้ว ผมมองเข้าไปในร้านขายเพชรที่มีนาฬิกาติดผนังอยู่ แล้วก็เห็นว่า มันเลยเวลาบ่าย 4 โมงไปมากแล้ว
“ต้องรีบแล้ว เราต้องทำงาน”
“ถ้าผ่านร้านแวะไปกินโซดากับเรานะ” เขาชวน
“เอาสิ...ไปก่อนนะ” พูดจบผมก็ออกวิ่งเต็มฝีเท้า อย่างน้อยก็ไม่อยากให้มิสเตอร์โคช ตำหนิได้ว่าผมไปทำงานสาย
โรงบิลเลียดของมิสเตอร์โคชยังว่าง ยังไม่มีลูกค้าสักคนหนึ่ง บางทีก็คล้ายกับว่าธุรกิจต้องชะงักไปหมดถ้าถึงตอนบ่าย ผมรีบๆ ทำความสะอาดพื้นห้อง เตรียมสมุดดินสอไว้ รอเวลาที่รายงานผลการแข่งหมาจะส่งเข้ามา
พอ 5 โมงครึ่ง พวกลูกค้าก็ทยอยเข้ามา ผมต้องลงไปห้องใต้ดิน วิ่งหยิบเบียร์ขวดแล้วขวดเล่า ครั้งหลังสุดเมื่อโผล่ขึ้นมา ก็พบว่าซิลค์ เฟนเนลลิกำลังยืนคุยอยู่กับมิสเตอร์โคช เขามองดูผม
“เฮลโล ดอยย์กี้...”
“สวัสดีครับ มิสเตอร์เฟนเนลลิ” ผมรู้สึกภาคภูมิใจมากที่ใครๆ จะหันมามองดูเราเป็นตาเดียว เขาหันไปคุยกับมิสเตอร์โคชต่อ เมื่อเสร็จธุระแล้วก็เดินเข้ามาตรงที่ผมยืนอยู่
“ขัดรองเท้าชนิดพิเศษกันหน่อยเป็นไง ไอ้หนู?”
“ได้ทันทีเลยครับท่าน” ผมวิ่งไปที่ตู้เก็บของ หยิบหีบเครื่องขัดรองเท้าออกมาและเริ่มลงมือบรรจงขัดรองเท้าให้เขาอย่างดีที่สุด มันเงางามจนแทบจะส่องหน้าได้และรู้สึกว่าเขาพอใจมากจนสังเกตเห็นได้ชัด
เขาส่งเงินให้ผมครึ่งเหรียญแล้วก็ถามว่า...ถูกจับโยนออกมาอย่างเมื่อครั้งที่แล้วอีกหรือเปล่า...แล้วเขาก็หัวเราะเสียงดังลั่น มิสเตอร์โคชเดินเข้ามาถามว่าเรื่องอะไรกัน เขาจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังแล้วก็หัวเราะกันอย่างขบขัน
ผมเก็บหีบเครื่องมือขัดรองเท้าเข้าที่แล้วก็เริ่มลงมือจดแต้ม มิสเตอร์โคชกับวีรบุรุษของผมเดินเข้ามา เสียงเขาถามมิสเตอร์โคชว่า
“อ้อ...เป็นคนจดแต้มด้วยหรือนี่?”
“ใช่...แล้วก็ทำได้ดีฉิบห...เลย ตอนนี้รู้งานหมดแล้ว”
มิสเตอร์เฟนเนลลิยิ้มให้
“เออ...พยายามทำดีไว้เถอะ ไอ้หนู สักวันหนึ่งข้างหน้า อาจจะได้เป็นนักธุรกิจใหญ่คนหนึ่งก็ได้นะ” เขาโบกมือให้ผมแล้วก็เดินออกไปจากที่นั้น”
ผมเห็นเขาเปิดประตูรถ ก้าวขึ้นไปนั่งแล้วก็ขับออกไป อา...นักธุรกิจใหญ่ในวันข้างหน้าอย่างนั้นรึ...? ผมครุ่นคิดถึงคำพูดของเขา รู้สึกเหมือนมันสะท้อนก้องอยู่ในหู
ใช่แล้ว หรือไม่ก็เป็นนักการพนันตัวยงในเมืองนี้เลยละ คงจะอย่างนี้ละมังที่มิสเตอร์เฟนเนลลิหมายถึง แต่ผมก็ไม่ชอบเล่นการพนันเสียด้วย บางทีผมอาจจะเอาอย่างเขา คือทำธุรกิจด้านอื่นประกอบไปด้วยจะดีกว่า เพราะว่าสักวันหนึ่ง ที่ผมอาจจะมีรถคันใหญ่กว่าเขาก็เป็นได้
