บทที่ 5
เรย์ คัลลาฮัน นักขัดรองเท้ามืออาชีพวัยเดียวกับผมกำลังยืนอยู่ตรงมุมถนนพอดี ผมเดินเข้าไปหาเขา เรย์เป็นคนน่ารักพอสมควร พ่อของเขาเป็นนักการพนันตัวยง เพราะฉะนั้นเมื่อหาเงินได้ เขาจึงมักจะส่งให้แม่ ซึ่งแม่ก็ดูเหมือนจะเก็บไว้ซื้อเหล้าให้พ่ออีกอยู่ดี
“ไฮ...ดอยย์กี้...”
“ไฮ...วันนี้เป็นไงมั่งล่ะ?”
“ไม่ดีว่ะ เพิ่งหาได้สี่สิบเซ็นต์เอง ยืนเมื่อยทั้งบ่ายเลย”
ผมอวดใบละ 5 เหรียญกับเขา
“เฮ้ย...ไปได้มาจากไหนวะนี่?” เรย์ร้องลั่น ดวงตาจ้องเป๋งอยู่ที่เงิน
“เรื่องอย่างนี้มันต้องอาศัยชั้นเชิงกันหน่อย มันอยู่ที่ฝีมือเว้ยเพื่อน” ผมหัวเราะ แล้วก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง
“บา...แกนี่โชคดีฉิบหายเลย”
เราเดินไปตามถนนด้วยกัน ขณะนี้ใกล้ค่ำเต็มทีแล้ว อาคารร้านค้าเริ่มเปิดไฟกันบ้างแล้ว
“ว่างไหมล่ะ...ไปบ้านเราดีกว่า”
ผมรู้ว่าเขาอยากจะให้ผมเดินไปด้วย เพื่อว่าจะได้ไม่โดนมืออาชีพอื่นๆ รังแกเอา แต่พอเราเดินไปถึงอพาร์ตเม้นท์เก่าๆ และขึ้นบันไดเพื่อจะเดินไปตามเฉลียงหน้าห้องเช่าเล็กๆ ที่เขาเรียกว่า”บ้าน” เสียงทะเลาะกันของพ่อแม่เรย์ดังลั่นไปหมด
“ไคร๊ซ์...เอาอีกแล้ว ลงรูปนี้ไม่หยุดง่ายๆ หรอก เราว่าออกไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า”
ผมก็เลยเดินตามเขากลับมาลงบันได แต่แล้วประตูบานหนึ่งซึ่งอยู่ฟากตรงข้ามกับห้องของเรย์ก็เปิดออก เสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องถามมาว่า
“นั่นแกใช่ไหม เรย์?”
“ใช่ครับ” เขาหันมากระซิบกระซาบกับผมว่า “ยายแมรี่ คาสซิดี้ยังไงล่ะ เราคอยวิ่งซื้อของให้แก”
“เออ...ลงไปซื้อเบียร์ให้สัก 2-3 ขวดสิ” หล่อนยื่นหน้าออกมาสั่ง
“ได้ครับ” เรย์ตอบพร้อมกับวางหีบเครื่องมือขัดรองเท้าลงบนพื้น รับเงินมาถือไว้ บอกให้ผมยืนคอยอยู่ตรงนั้นก่อนแล้วเขาก็วิ่งลงบันไดหายตัวไป
“เราไม่ต้องยืนคอยตรงนั้นหรอก เอาหีบเครื่องมือเข้ามาคอยในห้องนี้ก็ได้”
ผมก้มลงหยิบหีบเครื่องมือแล้วก็เดินเข้าไปในห้องนั้นตามคำชวน
“นั่งที่นั่นก่อน เดี๋ยวเรย์ก็กลับมา”
ผมนั่งลง แมรี่เดินเข้าไปในห้องเล็กๆ เอาแก้วใส่น้ำเย็นมาวางให้แล้วก็เดินกลับไป แต่เพียงครู่สั้นๆ หล่อนก็โผล่ออกมาอีก
“อ้าว...ยังไม่มาอีกหรือนี่?”
“ยังครับ” ผมตอบ แต่ตาก็มองอยู่ที่ร่างของผู้หญิงวัยสาวที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า ท่าทางไม่เลวนักหรอก ค่อนข้างสวยเสียด้วยซ้ำ แต่งหน้าทาปากสดใส ผมเป็นสีบรอนซ์ มีลูกผมเป็นไรอยู่บนหน้าผาก ดวงตาสีเขียวเข้มคู่นั้นก็กำลังจ้องมองดูผมอยู่เหมือนกัน ผมชักสงสัยว่าเรย์จะรู้หรือเปล่าว่าหล่อนมีอาชีพอะไร
แล้วความปรารถนาลึกลับก็เกิดขึ้นในใจ...หรือจะลองดู...ว่าแต่เขาขึ้นต้นกันยังไงล่ะ ผมเองก็ไม่เคยมาก่อน แต่การมีเงินตั้ง 5 เหรียญอยู่ในมือนี่ มันทำให้เกิดความทะยานอยากได้ดีพิลึกละ มันทำให้คนไม่เคยอย่างผมใจกล้าขึ้นมาเป็นกอง แล้วก็เลยโพล่งออกไปว่า...
“ผมมีเงินนะ...”
“อ้าว...แล้วยังไง?” หล่อนจ้องตา จนผมขนลุกไปหมด น้ำเสียงของหล่อนบอกความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด
ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรเหมือนกัน ได้แต่จ้องาตอบหล่อนอยู่อย่างนั้น เลยกลายเป็นยืนมองตากันเฉยๆ แล้วแมรี่ก็ถามขึ้นว่า
“ยังเด็กอยู่มากไม่ใช่เรอะ เราน่ะ?”
“ผมอายุ 15 ปี” การพูดโกหกนี่สะดวกปากดีชะมัด เผลอๆ ทำให้ตัวเองพลอยเชื่ออย่างจริงๆ จังๆ ไปด้วยเลยว่า ตัวเองอายุ 15 ปีแล้ว
“แล้วเคยบ้างหรือยังล่ะ?” ดวงตาหล่อนหวานเชื่อม
“เคยสิ ตั้งหลายหนแล้วด้วย” ผมโม้ทับทันที
“โอเค...ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามา” หล่อนตอบตกลงง่ายๆ ทำมือเป็นสัญญาณให้ผมเดินตามเข้าไปในห้องนอน ล้วงเงินจากกระเป๋าผมดื้อๆ เอาไปสอดไว้ใต้หมอน จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าออกต่อหน้าต่อตาผมแล้วก็เดินไปขึ้นนอนบนเตียงง่ายๆ
พอผมเห็นรูปร่างหล่อนเข้า แข้งขาก็สั่นพั่บๆ ขึ้นมาทันที กางเกงก็ช่างถอดยากถอดเย็นเสียนี่กระไร ไม่เหมือนเวลาแก้ผ้ากระโดดน้ำเอาเสียเลย แต่แล้วผมก็ขึ้นไปนอนสั่นเคียงข้างเธอบนเตียงจนได้...แต่ประสาทมันเสียไปหมดแล้ว...เวรจริงๆ
“เร็วๆ เข้าสิ...ฉันไม่ได้มีเวลาให้เราทั้งวันหรอกนะ...เดี๋ยวเรย์ก็กลับมาแล้ว”
หมดหวัง...ประสาทผมมันชักกระตุกมากเกินไป อะไรๆ มันก็พลอยชักกระตุกตามไปหมด ที่จริงแมรี่ก็พยายามช่วยอยู่เหมือนกัน แต่มันก็คือมัน...หลับสบายอยู่อย่างนั้น ในที่สุดหล่อนก็หมดความพยายาม ลุกขึ้นจากเตียงเสียเฉยๆ อย่างนั้นแหละ พอแมรี่หันไปแต่งตัว ผมก็สอดมือเข้าไปใต้หมอน เรื่องอะไรจะจ่ายเงิน ในเมื่อไม่ได้ซื้อของที่ต้องการ...?
ผมยัดเงินเข้ากระเป๋าอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นแต่งตัวอย่างรีบเร่ง จากนั้นเราก็เดินออกจากห้องนอนมาด้วยกัน หล่อนหันมาพูดเย้ยๆ กับผมว่า
“เอาไว้ให้โตกว่านี้อีกสักหน่อยไม่ดีหรือ ถึงตอนนั้นแล้วค่อยกลับมาใหม่ก็แล้วกัน ฉันน่ะเคยพูดอยู่เสมอเลยว่า เด็กๆ อย่างแกจะทำงานอย่างผู้ใหญ่ได้ยังไงกัน?”
ผมรู้สึกเลือดขึ้นหน้าทันที พลุ่งพล่านจะเกือบจะยกหีบเครื่องมือทุ่มใส่หน้าเข้าให้ แมรี่คงเห็นประกายโกรธในดวงตาผมเข้า เลยนิ่งงันไป
“ไม่ต้องโกรธหรอกน่า...”แต่พูดยังไม่ทันขาดคำ ประตูห้องก็เปิดออก เรย์เดินเข้ามาพอดี
“ได้เบียร์มาแล้วละแมรี่”
ผมมองดูหล่อน แมรี่ยังจ้องมองดูผมอยู่ ผมจึงเสก้มลงยกหีบเครื่องมือแล้วก็เลยเดินออกไปจากห้อง ได้ยินเสียงเรย์พูดอะไรอยู่แว่วๆ ได้ยินเสียงหล่อนหัวเราะคิกคัก จากนั้นก็เดินออกมาส่งเรย์ที่ประตู เอาเศษเหรียญส่งให้เรย์เป็นรางวัลที่เขาช่วยซื้อของให้ แต่พอจะปิดประตูหล่อนก็พูดเหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่า
“เอ้า...เอานี่ให้เพื่อนด้วยเป็นค่านั่งคอย” หล่อนชำเลืองมองผมแวบหนึ่งแล้วก็ปิดประตูเสีย
ผมรับเศษเหรียญมาจากเรย์
“เออ...ขอบใจว่ะ” พูดจบผมก็วิ่งลงบันได ไม่หันกลับไปมองเพื่อนอีกเลยด้วยซ้ำ...
บ่ายวันหนึ่ง ผมเดินออกประตูโรงเรียนพร้อมกับเจอรี่ โควาน ดูเขาประหลาดใจมากที่เห็นผมออกจากโรงเรียนมาพร้อมๆ กับเขาได้
“อ้าว...ได้ยินว่าถูกกักบริเวณไม่ใช่หรือ ดอยย์กี้?”
“เมื่อวานนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว”
“เหรอ...ดีนี่...แล้วบ่ายวันนี้มีรายการพิเศษอะไรหรือเปล่าล่ะ?”
ทำไม?”
“เปล่า ถามดูอย่างนั้นเอง”
เราเดินไปด้วยกันเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วเจอรี่ก็พูดขึ้นว่า
“ดอยย์กี้ นายอยากออกไปตากอากาศนอกเมืองกับเราตอนปิดภาคฤดูร้อนนี้ไหมล่ะ?”
“อย่าตลกน่า”
“เฮ้ย...ไม่ได้ตลก พูดจริง...เราขอพ่อให้แล้วด้วยซ้ำ พ่อยังสั่งให้เราชวนนายไปกินอาหารค่ำที่บ้านด้วยซ้ำจะได้คุยกัน”
“เฮ่ย ถึงยังไงทางโรงเรียนเขาก็ไม่อนุญาตให้เราไปหรอก”
“ให้สิ ถ้าพ่อเราขอให้ นายก็รู้ไม่ใช่หรือว่าพ่อเราเป็นอะไร”
ใช่...ผมรู้...รู้จักพ่อของเขาอย่างดีด้วย ไม่ใช่แต่ผมหรอก ใครๆ ก็รู้ว่ามิสเตอร์โควาน นายกเทศมนตรีแห่งนครนิวยอร์ก บุรุษผู้มีใบหน้าประดับไว้รอยยิ้มตลอดกาลเป็นคนอย่างไร ใครๆ ก็ต้องเห็นรูปเขาในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวัน...เสียบดอกคาร์เนชั่นไว้ที่ดุมเสื้อนอก ยิ้มปากกว้างจนเห็นฟันขาวเป็นเงาวับ สัมผัสมือกับใครต่อใครวุ่นวายอยู่ทุกวัน...ใช่...ก็เขาเป็นบุคคลสำคัญนี่นา อยากได้อะไรก็ต้องได้...ก็นายกเทศมนตรีนี่...
เราเดินมาด้วยกันจนถึงโรงบิลเลียดของมิสเตอร์โคชแล้ว ผมหยุดมองเข้าไปข้างใน เห็นแต่เพียงแสงไฟสลัวๆ ที่สาดออกมาจากห้องที่ค่อนข้างมืด อดคิดไม่ได้ว่า สถานที่นี้น่ะหรือที่ตัวเราเองจะใช้เป็นที่พักผ่อนในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน แทนกลิ่นไอธรรมชาติที่เคยใฝ่หา กลิ่นเบียร์ผสมกลิ่นปัสสาวะที่ฉุนจนติดจมูก...
ผมอาจจะฝันมากไปก็ได้ที่จะได้ออกไปท่องเที่ยวในเมืองชนบทกับเจอรี่ มีผู้รับใช้คอยบริการจนแทบไม่ต้องกระดิกตัวทำอะไร ได้ว่ายน้ำ ตกปลา มองเห็นภาพตัวเองโผดำผุดดำว่ายอยู่ในทะเลสาบ ในชีวิต ผมยังไม่เคยว่ายน้ำในทะเลสาบมาก่อน มันเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของผม ความฝันที่พิสุทธิ์
แต่ในความเป็นจริงแล้ว...ที่เล่นน้ำของผมก็คือท่าเรือบนถนนสาย 54 รู้สึกใจหายไม่น้อยขณะที่ตอบเขาว่า
“ขอบใจนะ เจอรี่ แต่เราต้องทำงาน เราได้งานตลอดฤดูร้อนนี่เลย มันจำเป็น...ไม่ใช่ว่ารังเกียจหรอกแต่เราต้องหาเงิน แล้วอีกอย่างหนึ่ง เราไม่ชอบออกนอกเมืองไม่เห็นสนุกเลย”
เจอรี่มองหน้าผมแล้วก็หัวเราะออกมา เขาไม่โง่พอที่จะไม่รู้ความคิดของผมแน่ อ่านใจผมได้ทะลุปรุโปร่งเสียด้วยซ้ำ เขารู้ว่าผมคิดอะไรอยู่...เจอรี่เป็นคนแปลกเขาไม่ใคร่คบหากับใครง่ายๆ นัก แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ค้นไม่พบว่าเพราะอะไรเขาถึงได้มาชอบผมเสียนักหนา แต่นั่นแหละถ้าผมจะมีญาณเล็งเห็นวันเวลาในอนาคตของตัวเองได้อย่างที่เรารู้จักอดีตในชาตินี้ มันคงช่วยให้การรอคอยอนาคตนั้นมีความหมายสมบูรณ์ขึ้นอีกมาก อย่างน้อยก็ในความสัมพันธ์ระหว่างเจอรี่กับผม
“โอเค...”เขาว่า “จะเอาอย่างนั้นก็ได้ ตามใจ...แต่มากินดินเนอร์ที่บ้านสักวันก็แล้วกัน”
ผมสังเกตว่าเขาใช้คำว่า “ดินเนอร์” ไม่ใช่”ซัปเปอร์” ซึ่งทำให้ผมปลื้มใจมาก
“ได้สิ” เมื่อตอบออกไปแล้วผมก็เกิดกริ่งเกรงใจขึ้นมา ไม่แน่ใจว่าจะต้องกล่าวคำว่า...ขอบใจ...เขาอีกสักครั้งจะดีหรือไม่ แต่แล้วก็บอกตัวเองว่า...ไม่เห็นจำเป็นเลย เมื่อกี้เราก็ขอบใจเขาแล้วนี่ แต่ที่ผมพูดกับเขาออกมาดังๆ ก็คือ
“เอาละ เราต้องเข้าไปทำงานเสียทีแล้ว”
“บาย...!” เขาตอบแล้วก็เดินจากไป
