บทที่ 4
การที่จะหาเรื่องหลบเลี่ยงจากการควบคุมของคุณพ่อเบิร์นฮาร์ทนั้น เป็นเรื่องง่ายสำหรับผมมาก วันสองวันแรกที่ถูกกักบริเวณ ผมพยายามทำตัวให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนคุณพ่อวางใจ อีก 2-3 วันต่อมา ผมก็หาทางออกถนนได้อีก ชนิดที่ไม่มีใครจับได้ด้วยและครั้งนี้เองที่ผมได้พบกับซิลค์ เฟนเนลลิ
เขาเป็นบุรุษที่จัดว่ายิ่งใหญ่คนหนึ่งในละแวกเมืองของเรา ดูเหมือนกิจการสำคัญๆ แทบทุกอย่างจะต้องตกอยู่ในมือเขาทั้งสิ้น เป็นคนทั้งน่านับถือ ทั้งน่ากลัว ผมเคยเห็นเขาไกลๆ 2-3 ครั้งเวลาที่เขาแวะมาที่ร้านของมิสเตอร์โคช ส่วนมากเขาจะมาที่นี่เวลามีธุระสำคัญๆ ที่จะต้องติดต่อ มากกว่าจะเป็นลูกค้าของร้านและทุกครั้งที่มา ก็จะต้องมีคนติดตามมาด้วย 1-2 คนเสมอ
ในความคิดของผม เขาเป็นบุคคลที่น่ารู้จักด้วยเหลือเกิน ท่วงท่าเคร่งขรึม สมาร์ท ท่าทางเหมือนไม่เคยกลัวใครในโลกสักคน ใจของผมยอมรับเขาเป็นวีรบุรุษมาตั้งนานแล้ว
บ่อยครั้งที่ผมจะมาถึงร้านมิสเตอร์โคชเร็วกว่าปกติ แล้วก็เอาหีบขัดรองเท้าออกไปหาเงินพิเศษก่อนถึงเวลาทำงาน อย่างบ่ายวันนี้ก็เหมือนกัน ผมเดินตรงไปทางสามแยกระหว่างบริดจ์เวย์กับถนนสาย 65 ที่กำลังมีไฮด์ปาร์คอยู่ รู้สึกว่าคนพูดจะมีชื่อเสียงพอสมควร เพราะมีคนมาออฟังกันแน่น
ผมและเล็มเข้าไปในบาร์แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่แถวๆ นั้น เราเข้าไปหาลูกค้าคนหนึ่งที่นั่งดื่มเบียร์อยู่
“ขัดรองเท้าไหมครับท่าน?”
ยังไม่ทันที่ลูกค้าคนนั้นจะตอบ เจ้าของบาร์ท่าทางน่ากลัว ไว้หนวดหนาปึก หัวเถิกล้านกลมเกลี้ยงก็ถลาเข้ามาตวาดใส่ผม
“เฮ้ย...ออกไป...ออกไปเดี๋ยวนี้เลย กี่ครั้งแล้วที่ฉันสั่งพวกแกไม่ให้เข้ามากวนลูกค้าที่นี่...ไป...ไปเสียก่อนที่ฉันจะเตะส่งออกไปข้างนอกนั่น...!”
ผมไม่ได้ตอบโต้แม้แต่คำเดียว แต่หันหลับจะเดินออกจากบาร์ แต่ทันใด...มันก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น บ๋อยประจำบาร์ซึ่งอยู่ที่โต๊ะแถวหน้า ทะลึ่งยืดขามาขัดเท้าผมเข้า เป็นผลให้ผมหน้าคะมำไปทันที หีบเครื่องมือขัดรองเท้าตกกระจายลงเต็มพื้น ขวดยาขัดหกรดลงบนพรมปูพื้นทั้งสีน้ำตาลสีดำ ผมตกใจจนลุกไม่ขึ้น พยายามใช้มือกอบน้ำยาที่กำลังไหลออกจากขวด เพื่อไม่ให้เปื้อนพื้นพรมมากกว่านั้น
มีมือของใครคนหนึ่งกระชากคอเสื้อผมจนตัวลอยขึ้นมา ใครคนนั้นโกรธเสียจนพูดแทบไม่เป็นภาษาคน...
“ไอ้ห่า...กูบอกแล้วว่าให้ออกไปก่อนที่กูจะ...” เขาสำลักความโกรธอย่างเหลือระงับ กระแทกร่างผมลงกับพื้นห้องเต็มที่
“ครับ...ครับ...ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้ ให้ผมเก็บหีบเครื่องมือก่อน...”
“ไม่ต้องเก็บ...ออกไปเดี๋ยวนี้ กูจะสอนให้รู้เสียบ้างว่าอย่าได้เข้ามาที่นี่อีก เฮ้ย...จับมันโยนออกไป...!”
“ไม่ไป...เอาหีบเครื่องมือของผมมาก่อนสิ” ผมสะบัดตัวหลุดออกจากอุ้งมือเขา วิ่งกลับเข้าไปในร้าน คว้าแปรง ขวดยาและผ้าขัดยัดๆ ลงไปในหีบเครื่องมือ...แต่พอจะลุกขึ้น เจ้าของบาร์ก็ตบเปรี้ยงลงที่กกหู เล่นเอาชาไปทั้งแถบ
“กูจะสอนให้มึงจำให้ได้สักที ว่าอย่าเข้ามายุ่งในนี้อีก...ไอ้เด็กระยำ...!” ดูเหมือนเขากำลังคลุ้มคลั่งด้วยความโกรธแค้น เขาตบซ้ำลงมาอีก มืออีกข้างหนึ่งก็จับคอเสื้อแน่น ผมพยายามดิ้นแต่ไม่หลุด แม้จะออกแรงอย่างสุดฤทธิ์ แต่รู้สึกว่ายิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บตัวหนักขึ้น
“ปล่อยเด็กนั่นเถอะ โทนี่ ผมจะให้มันขัดรองเท้า” เสียงเรียบๆ แต่มีสำเนียงบังคับกลายๆ ดังมาจากมุมห้อง
ทั้งเจ้าของบาร์และผมหันไปทางเสียงนั้น มือที่กำลังจะตวัดใส่หน้าผมเงื้อค้างอยู่กลางอากาศ แต่มืออีกข้างหนึ่งก็ยังไม่ปล่อยคอเสื้อ ผมไม่รู้ว่าระหว่างเราใครจะแปลกใจกว่ากัน แต่ผมก็ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งท่าทางดีมาก อายุประมาณ 38-40ปี นั่งใช้มือเคาะโต๊ะอยู่ตรงมุมห้อง แต่อีกมือหนึ่งกำลังเล่นอยู่กับสายสร้อยห้อยมีดพกข้างเอว
เขาแต่งตัวด้วยสูทสีดำ สวมหมวกที่ดัดไว้อย่างเข้ารูปน่าดูมาก รองเท้าขึ้นมันปลาบ ขณะที่เขามองดูเราอยู่นั้น ดูเหมือนดวงตาเขาจะหรี่ลงเล็กน้อย ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด...เขากำลังยิ้มให้ มองเห็นฟันขาวเป็นเงาวับอยู่ในแสงสลัวๆ
บุรุษผู้นี้คือ ซิลค์ เฟนเนลลิ...
“ครับ มิสเตอร์เฟนเนลลิ” เจ้าของบาร์กระแอมเบาๆ ปล่อยมือจากผมทันที
ผมยกท่อนแขนขึ้นเช็ดหน้าและเดินเข้าไปหาเขาที่โต๊ะ ไม่ลืมคว้าหีบเครื่องมือติดไปด้วย เมื่อเข้าไปใกล้ จึงได้เห็นว่าที่จริงแล้วเขาไม่ได้นั่งอยู่เพียงลำพัง มีผู้หญิงกับผู้ชายอีกคู่หนึ่งนั่งอยู่กับเขาด้วย แต่งตัวสุภาพเรียบร้อยด้วยกันทั้งคู่
“ผมขัดรองเท้าให้ท่านไม่ได้หรอกครับ” มันช่างสะเทือนใจกับคำพูดประโยคนี้ของตัวเองจริงๆ
“อ้าว...ทำไมล่ะ? เขามองผมอย่างสงสัย
“ผมทำยาขัดหกหมดแล้วครับ”
“อ๋อ เท่านั้นน่ะเรอะ” เขาล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อนอก หยิบซองเงินออกมาเลือกได้ธนบัตรราคา 5 เหรียญออกมาส่งให้ผมใบหนึ่ง
“เอ้า...เอาไปซื้อมา”
ผมมองดูเงินในมือมิสเตอร์เฟนเนลลิแล้วก็มองหน้าเขา ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตัดสินใจเอื้อมมือไปรับ ตอนที่ผมเดินผ่านคนทำความสะอาดที่กำลังเช็ดพื้นห้องอยู่นั้น ได้ยินเสียงคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับเขาพูดว่า
“พนันกันสิบต่อหนึ่ง มันไม่กลับมาแน่”
“ผมรอง” มิสเตอร์เฟนเนลลิพูดพลางหัวเราะเบาๆ
“ฉันไม่เชื่อว่าเด็กพวกนี้จะเคยเห็นเงินมากๆ อย่างนี้มาก่อนหรอกค่ะ” เสียงผู้หญิงว่า
“ก็อาจจะจริง ผมก็ว่าอย่างนั้นก็อายุมันยังน้อยอยู่นี่” มิสเตอร์เฟนเนลลิตอบ
ตอนที่ผมเดินกลับเข้าไปในบาร์อีกครั้งหนึ่ง พบว่ามิสเตอร์เฟนเนลลิกับเพื่อนกำลังนั่งรับประทานอาหารกันอยู่ ผมส่งเงินทอนให้เขา ซึ่งเขาก็รับไปใส่กระเป๋าเงียบๆ
“ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านต้องคอยเลยครับ แต่คนขายเขาไม่มีเงินทอนต้องไปหาแลกให้เขา”
หลังจากนั้นผมก็คุกเข่าลงกับพื้นและเริ่มลงมือขัดรองเท้าให้เขา แอบเห็นเพื่อนของเขาหยิบซองเงินออกมา กรีดนิ้วหยิบธนบัตรออกมาส่งให้ ซึ่งเขาก็รับมาใส่กระเป๋าโดยไม่ได้นับเสียด้วย
“นี่เป็นบทเรียนที่จะสอนให้คุณรู้ว่า อย่ามาท้ากับผู้ชำนาญการอย่างผม” ซิลค์ เฟนเนลลิพูดปนหัวเราะ
“ไอ้หนุ่ม เราน่ะชื่ออะไร?” เขาถามพร้อมกับยื่นเท้าอีกข้างหนึ่งให้ถอดรองเท้าออกขัด
“โอลลอยด์ เมวิสครับ แต่ท่านจะเรียกผมว่าดอยย์กี้ก็ได้ เพื่อนๆ เขาเรียกผมว่าดอยย์กี้กันทั้งนั้น”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็เป็นเพื่อนของเราคนหนึ่งก็แล้วกันนะ ได้ไหมล่ะ...แต่นั่นแหละนะฉันจะสอนให้ จำไว้ว่า มิตรภาพเป็นสิ่งที่คนเราจะประมาทไม่ได้ อย่าชะล่าใจกับมันนักก็แล้วกันไอ้ลูกขาย”
“ผมไม่เข้าใจที่ท่านพูดเลยครับ แต่ท่านก็ดีกับผมนี่ครับ” รองเท้าอีกข้างหนึ่งขัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหญิงที่นั่งรับประทานอาหารอยู่กับเขากำลังเตรียมตัวลุกขึ้นยืน
“เราคงต้องไปแล้วละ ซิลค์ แล้วเจอกันวันหน้านะ”
“สวัสดี...สวัสดี...” ซิลค์ เฟนเนลลิตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เมื่อทั้งคู่เดินคล้อยหลังไปแล้วผมจึงถามเขาว่า
“ท่านชนะหรือเปล่าครับ มิสเตอร์เฟนเนลลิ?”
“หมายความว่ายังไง?”
“หมายถึงที่ท่านพนันกับเขาน่ะครับ ผมได้ยินท่านพูดกัน เขาจ่ายท่านหรือเปล่าครับ?”
“อ้อ...ได้ยินด้วยหรือนี่?” เขาหัวเราะอีก
“ครับ รู้แต้มต่อรองด้วย”
“เอาละ ถ้าอย่างนั้นก็นั่งลง” เขาหัวเราะเสียงดัง “เอาแซนวิชไหมล่ะ...ว่าแต่เราน่ะอยู่ที่ไหน?”
“โรงเลี้ยงเด็กกำพร้าเซ้นท์ เทอเรซครับ?”
“อ๋อ...ก็รู้สึกว่าคุ้นๆ หน้าอยู่นะ เราเคยไปสนามเด็กเล่นกับเขาบ้างหรือเปล่า?”
ผมนึกออกแล้ว...ซิลค์ เฟนเนลลิคนนี้เองที่สร้างสนามเด็กเล่นไว้ 2-3 แห่งตามมุมเมือง เพื่อให้เด็กๆ ได้ไปเที่ยวเล่นฟรีๆ
“ไม่เคยไปเลยครับ ผมทำงานให้จิมมี่ โคชด้วย”
บริกรเดินมาที่โต๊ะ เขาให้ผมสั่งอาหาร ผมเลยสั่งแซนด์วิชกับเบียร์แก้วหนึ่ง
“ยังเด็กอยู่ อย่าเพิ่งกินเบียร์เลย เอาครีมโซดาดีกว่า”
หลังจากนั้นเขาก็นั่งมองดูผมกิน ซึ่งเพียงแค่ครู่เดียวอาหารก็เรียบวุธ เสร็จสรรพแล้วผมก็ลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณมากครับ มิสเตอร์เฟนเนลลิ”
“ไม่เป็นไรไอ้หนู เมื่อตอนเด็กๆ ฉันก็รับจ้างขัดรองเท้าอย่างเราเหมือนกัน” เขาล้วงกระเป๋าหยิบธนบัตรออกมาส่งให้ 2-3ใบ “เอ้า...เอานี่ไป แล้วใช้ให้เป็นประโยชน์นะ”
“ครับท่าน ขอบคุณมากครับ” ผมก้มลงมองเงินในมือแล้วก็ออกประหลาดใจว่า เขาให้ผมทำไมตั้ง 5 เหรียญ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเขามองยิ้มๆ อยู่ก่อนแล้ว ผมก็เลยขอบคุณเขาอีกครั้งแล้วก็เดินออกจากบาร์
