บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

นับแต่จำความได้ ผมก็รู้จักตัวเองในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั่นแล้ว ที่จริงชีวิตที่นั่นมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คนข้างนอกเขาคิดๆ กันนักหรอก ตัวผมเองได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี มีเสื้อผ้าชุดดีๆ สวมใส่ มีคนดูแลให้ได้รับการศึกษาเล่าเรียน

และถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยได้รู้จักกับความรักความอบอุ่นในครอบครัวมาก่อน แต่ก็ไม่ได้ใฝ่หามันสักเท่านัก เพราะชีวิตย่อมจัดสรรอะไรๆ ให้เป็นการทดแทนกันอยู่เสมอมาและสิ่งหนึ่ง ในหลายๆ สิ่งที่ผมได้รับจากบทเรียนของการสู้โลกเพียงลำพังคือ...ความกล้าแกร่งซึ่งผมสร้างมันขึ้นมาเป็นภูมิคุ้มกันตัวเอง ความรู้สึกในอิสรเสรีภาพ ซึ่งผมได้รับมาก่อนจะถึงวัยอันสมควรเสียด้วยซ้ำ

ผมหาเงินเพราะมันเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิตอยู่ แต่เงินที่ผมหามาได้นั้น ก็ได้จากการรับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอดเวลา เด็กกำพร้าคนอื่นๆ มักจะโชคดีกว่าผม ตรงที่มีผู้บริจาคเงินให้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเงินของผมจึงมีค่ามาก แล้วใครก็ตามที่ขอยืมเงินผมไปและไม่ยอมใช้คืน ผมจะต่อสู้ฟาดฟันเอาคืนจนได้

อย่างรายของปีเตอร์ ซานเปโร ซึ่งขอยืมผมไป 20 เซนต์ อาทิตย์ต่อมาผมรู้ว่าเขาได้เงินมาไม่น้อย แต่หลบๆ เลี่ยงๆ ไม่ยอมใช้ ผมก็เลยตามไปจนถึงตัว แต่ตอนนั้นเงินเขาหมดแล้ว เพราะฉะนั้นอาทิตย์นี้ อย่างไรเสียผมจะต้องเอาคืนมาให้ได้...

พอถึงตอนบ่ายหลังจากโรงเรียนเลิก ผมก็ลงไปหาเขาที่สนามหญ้าหลังโรงเรียน ตอนนั้นเขามีเพื่อนคู่หูเดินมาด้วย 2คน

“เฮ้ พีท เงินยี่สิบเซ็นต์ว่าไง?”

ปีเตอร์ทำท่าลังเล เขารู้แล้วว่าเขาจะเบี้ยวผมไม่ได้เป็นอันขาด แต่ก็ยังทำปากแข็ง

“เงินอะไรของนายวะ?”

“ก็ที่นายยืมฉันไปไงล่ะ ตอนนี้ขอคืนแล้ว อย่านึกว่าฉันลืมสิ”

“เงินพ่อนายน่ะสิ...” ปีเตอร์ตอบแล้วก็หันไปพูดกับเพื่อนๆ ว่า “ไอ้พวกเด็กกำพร้าระยำพวกนี้น่ารำคาญชะมัดเลย พวกเราต้องทั้งบำรุงทั้งอนุเคราะห์ โรงเรียนจะได้มีเงินเลี้ยงดูพวกมัน แต่มันกลับมาทำใหญ่ใส่เจ้าของโรงเรียนอย่างนั้นแหละ เฮ้ย...เอาสิ...เข้ามาเอาเอง ฉันเตรียมจะให้อยู่แล้วนี่ไง...”

ผมรู้สึกขมขื่นลึกๆ อย่างน้อยก็ไม่ชอบให้ใครโรเซ่กผมว่า...ไอ้เด็กระยำ...เพราะมีคนเรียกอย่างนั้นมามากแล้ว อีกประการหนึ่ง คุณพ่อเบิร์นฮาร์ทมักจะย้ำหัวตะปูอยู่เสมอว่า เด็กๆ อย่างพวกเรานี้โชคดีนักหนา เพราะเป็นลูกของพระเจ้า...ก็ดีอยู่หรอกที่เรามีพระเจ้าเป็นพ่อ...แต่ทำไมถึงถูกเรียกว่า...ไอ้เด็กระยำ...ก็ไม่รู้...ผมทนจนไม่อยากจะทนอีกต่อไปแล้ว...

ผมกระโจนเข้าใส่มันทันที มันตวัดหมัดเข้าใส่กระโดงคาง เป็นผลให้ผมล้มลง มันได้ทีก็กระโจนขึ้นคร่อมตัวประเมวิสหมัดใส่ที่ใบหน้า เลือดกำเดาไหลพรากออกมาทางจมูก ผมใช้เท้ายันเข้าตรงระหว่างขาของมันอย่างแรง หน้ามันซีดเผือด รีบกลิ้งตัวออกไปอีกด้านหนึ่ง คราวนี้เป็นทีของผมบ้าง ผมต่อยมันตรงซอกคอใต้คางพอดี มันผงะหงายลงไปนอนอยู่บนพื้นข้างถนน มือข้างหนึ่งซุกอยู่ระหว่างขาร้องครางอยู่

ตอนนี้ผมทรงตัวขึ้นได้แล้ว ขณะก้มตัวลงไปหามันเลือดจากจมูกไหลเปรอเปื้อนเสื้อผ้าของมันเป็นจุดๆ ผมล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง ควานหาเศษเงินในกระเป๋าออกมาเต็มกำมือและนับจนครบ 20 เซ็นต์ ยื่นให้เพื่อนมันดู

“พวกนายเห็นแล้วนะว่าฉันเอาไปแค่ยี่สิบเซ็นต์เท่านั้น แล้วต่อไปนี้จงอย่าได้มายุ่งกับฉันอีก”

พวกมันมองดูผมที่เดินออกจากตรงนั้นเงียบๆ ใช้แขนเช็ดจมูกไปเรื่อย จนกระทั่งถึงร้านของจิมมี่ โคชที่ผมรับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ อยู่ ตอนที่ผมโผล่เข้าไป โคชกำลังนั่งอยู่หลังแผงขายบุหรี่

“เกิดอะไรขึ้นวะ ไอ้หนู?” เขาถามด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ

“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ มิสเตอร์โคช มีคนบางคนเขาคิดว่าจะล้มผมได้แต่ไม่สำเร็จ” ผมตอบหยิ่งๆ

“เออ...ดีแล้ว ดอยย์กี้ อย่ายอมให้ใครมาล้มเราได้ง่ายๆ เสียศักดิ์ศรีหมด เข้าไปล้างหน้าล้างตาเสีย แล้วทำความสะอาดพื้นให้เรียบร้อย”

ตอนที่ผมเดินคล้อยหลังเข้าไปในห้องน้ำ ได้ยินเสียงเขาพูดแว่วๆ อยู่กับใครคนหนึ่งว่า

“เด็กคนนี้มีคนเอามันอยู่ได้ไม่กี่คนหรอก เพิ่งจะอายุสิบสามเท่านั้น แต่รูปร่างมันใหญ่แล้วก็กล้ากว่าสมัยที่ผมเป็นหนุ่มเสียอีก”

กลิ่นยาเส้นผสมปัสสาวะคละคลุ้งอยู่ในห้องน้ำ ผมล้างหน้าล้างมือลวกๆ ยกชายเสื้อขึ้นเช็ด เสร็จแล้วจึงได้ลงมือทำงานประจำวัน

งานของผมที่ร้านมิสเตอร์โคชนั้น ดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้ชีวิตมีความหมายขึ้น ผมจะเริ่มทำงานด้วยการกวาดและทำความสะอาดพื้น โดยเฉพาะใต้โต๊ะบิลเลียดซึ่งมีอยู่ถึง 8 โต๊ะ โดยที่ผมจะต้องคลานเข้าไปทำความสะอาดใต้โต๊ะเหล่านั้นทีละตัว หลังจากนั้นก็ขึ้นมาปัดกวาดกำมะหยี่ปูโต๊ะอย่างเบามือ ระมัดระวังที่สุด เพราะจะต้องไม่ให้ผิวหน้าผ้าเสียหรือถลอกเป็นอันขาด แล้วจึงจะเช็ดถูขอบโต๊ะที่เป็นไม้จนขึ้นเงาวาววับ

งานขั้นต่อไปคือจัดการแช่เบียร์และโซดาไว้ให้เย็น ซึ่งทั้ง2อย่างนี้ อยู่ในห้องเก็บของใต้ดิน ส่วนมากเวลาลูกค้าสั่งเครื่องดื่มประเภทนี้ มิสเตอร์โคชมักจะใช้ให้ผมเป็นคนลงไปเอา พอประมาณบ่าย 4 โมง โทรศัพท์จะเริ่มดังขึ้น เป็นโทรศัพท์จากคนของมิสเตอร์โคชที่จะรายงานผลการแข่งหมาเข้ามาจากสนาม ซึ่งผมจะต้องจดลงบนกระดานดำที่ติดอยู่บนผนังทางด้านหลัง

บางครั้งผมก็รับใช้ลูกค้าด้วยการออกไปซื้อแซนวิชให้เขาด้วย ผมมักจะไปซื้อร้านที่คุ้นเคยกัน เป็นร้านที่ผมฝากหีบเครื่องขัดรองเท้าเอาไว้ที่นั่นและถ้าใครอยากให้ผมขัดรองเท้า ผมก็จะรีบจัดการให้อย่างดีที่สุด

งานในร้านเช่นนี้ทำให้ผมมีรายได้เฉลี่ยแล้วสัปดาห์ละ 6-8 เหรียญ ซึ่งเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลย มิสเตอร์โคชอนุญาตให้ผมกลับไปกินซัปเปอร์ตอนหนึ่งทุ่มที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้ แต่ไม่ยอมให้อยู่ตอนกลางคืน ซึ่งผมไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด

วันรุ่งขึ้น ปีเตอร์ ซานเปโรไม่ได้โรส แต่ผู้ที่มาคือแม่ของเขาเอง หล่อนยืนอยู่หน้าห้องปากก็พูดกับซิสเตอร์แอนน์แต่สายตาจ้องอยู่ที่ผม หลังจากนั้นซิสเตอร์แอนน์ได้ให้คนพาเธอไปพบครู่ใหญ่ อีกไม่กี่นาทีต่อมา นักเรียนหญิงคนหนึ่งก็เดินถือจดหมายมาให้ซิสเตอร์แอนน์

“แมรี่ ปีเตอร์ จะเป็นคนอ่านหนังสือนำในชั้นตอนที่ครูออกไปข้างนอก อยู่กันดีๆ นะเด็กๆ ...เอ้า...

โอลลอยด์ มากับครู”

ผมเดินตามซิสเตอร์ลงไปพบครูใหญ่ที่ห้องข้างล่าง พอเราโผล่เข้าไปในห้องก็เห็นคุณพ่อเบิร์นฮาร์ท ครูใหญ่และมิสซิสซานเปโรนั่งกันอยู่พร้อมหน้า กำลังพูดคุยกันอยู่ ได้ยินเสียงแม่ของปีเตอร์พูดแจ้วๆ อยู่ว่า

“อย่างน้อยคุณก็น่าจะเก็บเด็กพวกนี้ไว้ให้เป็นที่เป็นทางสิคะ” หล่อนหยุดพูดทันทีที่เห็นผมเดินเข้าไปในห้อง

“มานี่สิ โอลลอยด์” ครูใหญ่เรียก ผมจึงเดินเข้าไปหา

“ฉันได้ยินมาว่า เธอเกิดเรื่องชกต่อยกับปีเตอร์ ซานเปโร จนเขาได้รับบาดเจ็บมากทีเดียว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?”

น้ำเสียงของเธอราบเรียบแต่หนักแน่นมั่นคงยิ่งนัก

“เขาขอยืมเงินผมไปยี่สิบเซ็นต์แล้วไม่ยอมใช้ครับ แล้วเขายังเรียกผมว่า ไอ้เด็กระยำ...ด้วย” ผมทอดเสียงอ่อนๆ ในตอนท้าย อย่างน้อยก็เพื่อให้ใครได้เห็นใจบ้าง

“โอลลอยด์ เธอจะต้องเรียนรู้วิธีควบคุมอารมณ์เสียบ้าง จำได้ไหมว่า จีซัสทรงเทศน์โปรดไว้ว่ายังไง...เมื่อเราถูกตบที่แก้มข้างหนึ่ง จงเอียงอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย ฉันต้องการให้เธอขอโทษคุณนายซานเปโร พูดด้วยว่าเธอเสียใจที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”

...ขอโทษรึ...สบายมาก เรื่องอย่างนี้ผมชำนาญอยู่แล้ว ก็เลยรับคำครูใหญ่อย่างอัตโนมัติและเดินเข้าไปหามารดาของคู่อริ

“ผมเสียใจครับ มิสซิสซานเปโร ผมไม่ได้ตั้งใจทำร้ายปีเตอร์เลย” ผมพูดตั้งยาวขนาดนี้แต่ไม่เห็นหล่อนตอบอะไรสักคำ คนที่พูดแทนกลับเป็นครูใหญ่

“เอาละ โอลลอยด์ สำหรับบทลงโทษที่เกิดจากการชกต่อยกันครั้งนี้ ฉันได้บอกให้คุณพ่อเบิร์นฮาร์ทกักบริเวณเธอเป็นเวลาสองอาทิตย์”

“ตั้งสองอาทิตย์เชียวหรือครับ...?” ผมเผลอร้องออกไปด้วยความตกใจ “ได้โปรดเถอะครับ กรุณาอย่าทำอย่างนั้นเลย...ท่านทำไม่ได้นะครับ”

“เงียบ...!” คุณพ่อเบิร์นฮาร์ทคำรามใส่ผมทันที “ทำไมถึงจะทำไม่ได้?”

“เพราะ...เพราะผมต้องทำงานครับ ทำกับจิมมี่ โคช”

“มีงานทำแล้วรึ?” ท่านพยักหน้าหงึกหงัก “ไหน...บอกมาสิว่าไปทำงานอะไร?”

“ผมทำปัดกวาดและรับใช้ซื้อของครับ”

“อ๋อ...ทำความสะอาดหรอกรึ...ดี...ฉันมีงานทำความสะอาดให้เธอทำเยอะแยะเลย ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

“กลับไปห้องเรียนได้แล้วโอลลอยด์” ครูใหญ่สั่ง

“มาเถอะ โอลลอยด์” ซิสเตอร์แอนน์ซึ่งนั่งเงียบอยู่นานแล้วเอ่ยขึ้น จากนั้นก็เดินนำผมออกจากห้องเงียบๆ เมื่อถึงบันไดที่จะขึ้นไปยังห้องเรียน เธอได้หันกลับมามองและจับมือผมไว้

“อย่าเสียใจนะโอลลอยด์ ทำเฉยๆ ไว้ก่อนแล้วทุกอย่างจะดีเอง”

ผมจูบที่มือเธอด้วยความรู้สึกเต็มตื้น

“ซิสเตอร์ครับ ผมรักซิสเตอร์เหลือเกิน ซิสเตอร์คนเดียวเท่านั้นที่มีความยุติธรรม มีความเข้าใจ...ผมรักซิสเตอร์ครับ”

เธอกุมมือผมไว้แน่น น้ำตาคลอเต็มตา...

“โอลลอยด์ ซิสเตอร์เข้าใจเธอจริงๆ นะ อย่าห่วงเลย”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel