บทที่ 2
หลังจากรับประทานอาหารค่ำกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว มิสซิสแอนน์ก็เหลือบดูนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนหลังตู้น้ำแข็ง จวนจะ 2 ทุ่มแล้ว เธอผลุดลุกขึ้นยืนทันที รู้สึกว่าปล่อยให้คนไข้นอนรออยู่เพียงลำพังนานจนเธอไม่ได้ยินเสียงร้องเลย ดูจะผิดกว่าคนไข้รายอื่นๆ เกือบ 4 ชั่วโมงเห็นจะได้ ต้องนับว่าเป็นคนไข้ที่มีความอดทนดีมาก เพราะเธอไม่ได้ยินเสียงร้องเลย ดูจะผิดกว่าคนไข้รายอื่นๆ
“เป็นยังไงบ้างคะคุณ?” มิสซิสแอนน์เดินเข้าไปในห้องลูบศีรษะเด็กสาวเบาๆ
“”คงไม่เป็นไรค่ะ” เด็กสาวตอบเรียบๆ
“ตอนนี้เจ็บถี่ไหมคะ?” เธอโน้มกายลงจับที่หน้าท้อง
“ก็ประมาณทุกๆ ครึ่งชั่วโมงค่ะ”
“ดีค่ะ รอเดี๋ยวนะคะ”
เธอเริ่มลงมือตระเตรียมเครื่องมือเครื่องใช้เพื่อเตรียมทำคลอด สั่งให้โรเซ่ต้มน้ำร้อนและหาผ้าเช็ดตัวสะอาดๆ ไว้ 2-3ผืน
เที่ยงคืนเห็นจะได้ที่พายุพัดกระหึ่มไปทั่วทั้งเมืองและเป็นช่วงเวลาเดียวกัน กับที่เด็กสาวกำลังจะคลอด ความเจ็บปวดรวดร้าวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง เด็กสาวขบริมฝีปากแน่น มือกำผ้าที่ผูกไว้เหนือเตียง ร่างสั่นสะท้านอยู่ด้วยความเจ็บปวดที่จู่โจมเข้ามาอย่างไม่เคยประสบมาก่อน ใบหน้าซีดเผือด ความหวาดกลัวฉายชัดออกมาทางแววตาที่เบิกกว้าง
ประมาณตี 2 ที่นางผดุงครรภ์ส่งลูกชายคนโตของเธอออกไปตามหมอบูนาเวนตา ที่มีคลินิกอยู่ตรงหัวมุมถนน สั่งกำชับอีกด้วยว่า ขากลับให้แวะไปหาพระสักองค์หนึ่งซึ่งอยู่ที่โบสถ์ใกล้บ้าน
หมอลงมือทำงานทันทีที่มาถึง จำเป็นต้องผ่าตัดเอาเด็ดออก โดยมีนางผดุงครรภ์เป็นผู้ช่วย...
ในที่สุด ทารกน้อยเพศชายตัวเขียวปื๋อคนหนึ่งก็ถือกำเนิดออกมาดูโลก มิสซิสแอนน์ตบก้น จนได้ยินเสียงเด็กร้อง หลังจากนั้นก็ทำความสะอาดให้ ขณะเดียวกัน พระก็เข้ามาทำหน้าที่อยู่ข้างเตียง เธอคุกเข่าลงข้างเตียงนั้นอย่างอ่อนแรงและอธิษฐานเพื่อจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์
อย่างน้อยเด็กสาวคนนี้ก็อายุน้อยเหลือเกิน แต่ใจแข็งอย่างน่าชมเชยมากและคงจะสูญเสียสามีไป เช่นเดียวกับที่เธอเคยสูญเสียมาแล้ว
บนเส้นใยชีวิตที่เบาบางเต็มที เด็กสาวค่อยๆ หันหน้ามาทางนางผดุงครรภ์ผู้มีใจกรุณา เผยอยิ้มน้อยๆ มิสซิสแอนน์ซึ่งอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขน ค่อยๆ วางร่างทารกลงบนเตียงข้างๆ กายผู้เป็นแม่ เด็กสาวถอนหายใจเบาๆ และหลับตาลง
ทันใดนั้น มิสศิสแอนน์ก็นึกขึ้นมาได้ว่า เธอยังไม่ได้ถามชื่อคนไข้ที่นอนอยู่เบื้องหน้าเลย จะปล่อยให้ทารกเกิดมาโดยไม่มีชื่อได้อย่างไร
“คุณ...คุณคะ...คุณชื่ออะไร?”
เด็กสาวเบิกตาขึ้นช้าๆ แววตานั้นเหมือนคนที่ได้กลับมาบ้านอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่จากไปเป็นเวลานาน
“โอลลอยด์ เมวิส” จากนั้นเปลือกตาก็ปิดสนิทลง ขากรรไกรตก ใบหน้าซบลงบนซีกหนึ่งของหมอน
มิสซิส แอนน์อุ้มทารกขึ้นไว้ในอ้อมแขน มองดูนายแพทย์ที่กำลังใช้ผ้าคลุมลงไปบนร่างเล็กๆ ที่น่าสงสารและหันมาพูดกับเธอว่า
“เราต้องทำใบแจ้งเกิด จะให้เด็กชื่ออะไรล่ะ?”
“โอลลอยด์ เมวิสค่ะหมอ” มิสซิสแอนน์ตอบทันที อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็มีสิทธิ์เต็มที่ที่จะใช้ตามผู้เป็นมารดา
น่าเวทนานักที่พอลืมตาขึ้นดูโลกก็ต้องพบกับความโหดร้ายของชีวิตทันที...
อาจเป็นเพราะวิบากกรรมกระมัง...?
บนถนนสายใหญ่ คือที่ตั้งของวิหารเซ้นท์ เทอเรซ
ขณะนั้นเป็นเวลา 08.00น. ในตอนเช้า เสียงระฆังดังกังวานขึ้น เด็กๆ กำลังเข้าแถวกันอย่างมีระเบียบเพื่อจะได้เดินเข้าชั้นเรียน ซิสเตอร์ 2-3คน กำลังเดินลงมาที่สนาม เมื่อนาทีที่แล้วทุกคนยังเล่นกันอย่างสนุกสนาน ตะโกนหัวเราะกันดังลั่น แต่ขณะนี้ทุกอย่างอยู่ในความสงบ ทุกคนต่างเดินเคียงกันเป็นแถวเรียงสองเงียบๆ ขึ้นบันไดไปยังห้องเรียน
เสียงซิสเตอร์แอนน์ดังขึ้นว่า...
“เด็กๆ เตรียมตัว เราจะร่วมกันนมัสการ” จากนั้นทุกคนก็พนมมือไว้บนโต๊ะ ก้มศีรษะลงนมัสการพระเจ้า
ผมถือโอกาสนั้นยิงหนังสติ๊กใส่หลังเจอรี่ โควาน มันเข้าเป้ากลางหลังพอดี...ตลกชะมัด ผมจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเสียให้ได้แต่ก็กลั้นไว้ทัน เพราะตอนนั้นยังอยู่ในช่วงเวลานมัสการ
เจอรี่หันซ้ายหันขวา เพื่อหาว่าใครเป็นตัวการทันทีที่การนมัสการเสร็จลง แต่ผมแกล้งทำเป็นก้มลงหยิบหนังสือทำไม่รู้ไม่ชี้
“โอลลอยด์!” เสียงซิสเตอร์แอนน์ดังขึ้น
ผมลุกขึ้นยืนทันที รู้สึกวางหน้าไม่ใคร่สนิทนัก น่ากลัวซิสเตอร์จะจับได้เสียแล้ว ว่าผมยิงหนังสติ๊กใส่เจอรี่ แต่ไม่ยักใช่ เพราะซิสเตอร์สั่งให้ผมไปเขียนวันที่บนกระดานดำ
ผมเดินออกไปหน้าชั้น หยิบชอร์กขึ้นมาเขียนลงไปว่า
“วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 1925”
“เท่านั้นละโอลลอยด์ ไปนั่งที่ได้”
เช้าวันนั้นผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย อากาศร้อนอบอ้าว โรงเรียนจะปิดเทอมในอีก2-3วันข้างหน้านี้แล้ว ซึ่งผมก็ออกจะดีใจอยู่มากๆ เพราะมันน่าเบื่อจนบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องเรียนกันไปทำไม อีกอย่างหนึ่งผมก็อายุ 13 แล้วและโตกว่าเด็กในวัยเดียวกันมาก
รอให้โรงเรียนปิดก่อน ผมจะไปหาจิมมี่ โคช ซึ่งเขาจะให้งานผมทำ อย่างน้อยก็วิ่งเก็บโต๊ดจากลูกค้าที่เขาไม่มีเวลาไปเอง หรือไม่ก็เฝ้าร้านช่วยขายของเวลาที่เขาไม่ว่าง เผลอๆ ผมอาจจะได้อาทิตย์ละ 10 เหรียญด้วยซ้ำ ผมไม่เห็นจะได้อะไรเป็นเงินเป็นทองขึ้นมาจากการเรียนหนังสือเลย
อย่างเวลาอาหารกลางวันก็เหมือนกัน เด็กอื่นๆ ได้รับอนุญาตให้กลับไปกินอาหารกลางวันที่บ้านได้ แต่ผมกลับต้องไปกินที่โรงอาหารด้านหลังโรงเรียน พวกเด็กกำพร้าต้องมากินร่วมกันที่นี่ทุกคน ซึ่งอาหารกลางวันก็มีนมกับแซนด์วิชและเค๊กก้อนเล็กๆ อีกก้อนหนึ่งเป็นประจำ แต่ที่จริงแล้ว อาหารที่พวกเรากินนั้นดีกว่าของพวกเด็กที่กลับไปไปกินที่บ้านมาก
หลังจากโรงเรียนเลิกตอนบ่าย มันร้อนเกินไป ผมจึงวางแผนที่จะไปว่ายน้ำเล่นที่สะพานท่าเรือ แต่ยังจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อครั้งหลังสุดที่ผมไปที่นั่น
ผมเกือบจะชนะเลิศในการแข่งขันว่ายน้ำอยู่แล้ว เพราะเล่นมันอาทิตย์ละ 7 วันเลยและคุณต้องไม่ลืมว่า ผมเป็นเด็กกำพร้าประจำโรงเรียน เพราะฉะนั้นก็จะต้องกลับไปนอนที่โรงเรียนทุกคืน แต่เพราะผมหายตัวอยู่เป็นประจำ ซิสเตอร์ผู้ดูแลเด็กๆ จึงส่งรายงานการหายตัวของผมให้คุณพ่อเบิร์นฮาร์ท ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลทั้งวัดและคน ผมเลยจัดการตอบจดหมายนั้นเสียเอง โดยบอกว่า “เด็กป่วย” พร้อมทั้งเซ็นชื่อส่งไปเสร็จว่า “เบิร์นฮาร์ท”
ความมันมาแตกตอนที่ซิสเตอร์เกิดใจดีมาเยี่ยมผมเข้า แต่ไม่พบเพราะวันนั้นผมฉลองหนังเสีย 4 เรื่อง พอกลับเข้าโรงเรียนก็พบว่า คุณพ่อเบิร์นฮาร์ทกับซิสเตอร์แอนน์กำลังคอยอยู่แล้ว ผมได้ยินคุณพ่อคำรามออกมาว่า
“นั่นไง...ไอ้ตัวดีมาแล้ว ต้องเอาให้ป่วยขนาดหนักเลย” คุณพ่อเดินตรงเข้ามาหาผม “ว่าไง...ไปไหนมา ไปทะลึ่งอยู่ที่ไหน...หา...?” น่าแปลกที่ว่าน้ำเสียงของท่านทำให้ผมรู้สึกว่า ราวม่านมันสะเทือนขึ้นมาได้เฉยๆ อย่างนั้นแหละ”
“ผมไปทำงานครับ”
“อ๋อ...ทำงาน ไอ้โกหก” ท่านซัดผลัวะลงบนใบหน้าของผม
ซิสเตอร์แอนน์เองก็ตกใจไม่น้อย...
“โอลลอยด์...โอลลอยด์...ทำไมถึงทำอย่างนี้ รู้ไหมว่าฉันหวังเธอไว้มากแค่ไหน?”
ผมพูดไม่ออก คุณพ่อเบิร์นฮาร์ทตบที่กกหูอีกครั้ง
“ตอบครูสิ...!”
คราวนี้ผมเงยขึ้นเผชิญหน้ากับท่านทันที แล้วทุกคำพูดก็หลั่งไหลออกมาจากใจผม
“ครับ...ผมไม่ได้โกหก ผมป่วยจริงๆ ...ผมเบื่อทุกสิ่งทุกอย่าง เบื่อโรงเรียน เบื่อสภาพการเป็นเด็กกำพร้า คุณพ่อเห็นสภาพผมที่นี่ไหมครับ ว่ามันเป็นยังไง นักโทษในคุกที่นี่ยังไงล่ะครับ นักโทษจริงๆ ที่อยู่ในคุกจริงๆ ยังมีอิสรภาพมากกว่าผมเสียอีก ผมทำผิดหรือครับ...เปล่าเลย แล้วทำไมผมถึงต้องถูกกักขังถึงขนาดนี้ ไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ ในพระคัมภีร์บอกไว้ไม่ใช่หรือครับว่า...การพูดความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระจากบาปทั้งปวง...
“คุณพ่อสอนให้เรารักพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงมีเมตตาต่อเราอย่างหาที่เปรียบมิได้ คุณพ่อให้พวกเราเริ่มวันใหม่ด้วยการสวดมนตร์อธิษฐานและขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณที่เราได้เกิดมาเพื่อจะได้อยู่แต่ในคุก...! อยู่อย่างไร้อิสรภาพอย่างนั้นหรือครับ?”
ผมสะอึกสะอื้น ไม่อับอายขายหน้าที่จะร้องไห้อีกต่อไปแล้ว...
น้ำตาคลอเต็มตาซิสเตอร์แอนน์ คุณพ่อเบิร์นฮาร์ทเงียบกริบไปทันที ซิสเตอร์แอนน์เดินเข้ามาโอบผมไว้ในอ้อมแขน
“โอลลอยด์...โอลลอยด์...แล้วเธอไม่เห็นหรอกหรือว่า ที่เราทำทุกอย่างนั้นก็เพื่อช่วยเหลือตัวเธอเอง” เสียงของซิสเตอร์แผ่วเบาราบเรียบ “รู้ไหมว่าสิ่งที่เธอทำลงไปนั้นมันเป็นความผิด...ผิดอย่างมากด้วย”
ความรู้สึกบางอย่างแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยได้สัมผัสความอบอุ่นเช่นนี้มาก่อน อยู่ในอ้อมอกของผู้หญิงที่เคยเห็นเธอเป็นครูคนหนึ่งเท่านั้น แต่พลังหรืออานุภาพแห่งความอบอุ่นนั้น ช่างยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน ผมก้มลงเบียดซุกใบหน้าลงกับทรวงอกของเธอ ซิสเตอร์แอนน์ก้มลงมองดูผมอย่างประหลาดใจและผมก็เงยขึ้นมองหน้าเธอด้วย
“เธอต้องสัญญาว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีก”
“ครับผมสัญญา” ผมตอบออกไปโดยอัตโนมัติ ซิสเตอร์แอนน์จึงเดินเข้าไปหาคุณพ่อเบิร์นฮาร์ท
“เขาได้รับการลงโทษเพียงพอแล้วค่ะ และให้สัญญาแล้ว ว่าต่อไปนี้จะประพฤติตนเป็นคนดี ดิฉันจะอธิษฐานให้จิตวิญญาณของเขาด้วยค่ะ” เธอผลักผมให้ออกห่างและเดินออกไปจากห้อง
ผมหันไปทางคุณพ่อเบิร์นฮาร์ท ท่านมองดูผมอยู่ครู่สั้นๆ แล้วก็บอกว่า
“ไปกินซัปเปอร์เสีย”
จากนั้นท่านก็เดินนำออกไปทางห้องอาหาร
ผมอายุ 13ปีแล้ว ตัวโตกว่าวัยมากและเชื่อว่า บนท้องถนนไม่มีใครตัวใหญ่เกินผมแน่ วันนี้เพิ่งจะเป็นวันแรกที่ไม่ได้ไปเล่นดำน้ำ มันมีความสุขอย่างเหลือเกินเวลาที่เราปล่อยให้ตัวลอยไปตามผิวน้ำ แต่วันนี้ผมจะตั้งใจใหม่ ทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับซิสเตอร์แอนน์ ว่าจะเป็นคนดีตั้งอกตั้งใจเรียน มันตงิดๆ อยู่ในใจอย่างไรไม่รู้ ตอนที่ผมเพิ่งค้นพบความเป็นผู้หญิงของซิสเตอร์ทั้งๆ ที่ผมเพิ่งอายุ 13 ปีเท่านั้น
ตอนที่ผมลงไปที่สนามหน้าโรงเรียนนั้น เด็กๆ ยังไม่ได้เข้าแถว ใกล้กับประตูใหญ่เกมลูกบอลกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น แต่เจอรี่ โควานกับพวกกำลังเดินตามาข้างหลัง ผมได้ยินเสียงหัวเราะก็เลยเหลียวหลังไปมอง
“ขันอะไรกันนักหรือวะ?” ผมถามพาลๆ
“อ๋อ...ใช่...ก็เรื่องหนังสติ๊กนั่นไง คิดว่าฉันไม่รู้สิท่าว่าเป็นฝีมือนาย”
“เออวะ...ยังไงก็ได้”
“เฮ่ย...!” เจอรี่หัวเราะลั่น
แล้วเราก็นั่งลงด้วยกันที่ขอบสนาม ดูเขาเล่นบอลกันจนโรงเรียนเข้า เจอรี่ โควาน เป็นลูกชายนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ส่วนผมคือไอ้เหียกตัวหนึ่งจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของเซ้นท์ เทอเรซ ซึ่งพระเจ้าจับให้เราเข้ามาอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน แล้วยังแถมเป็นเพื่อนสนิทกันอีกด้วย...ชีวิตนี้ช่างน่าแปลกเสียจริง...
