บทที่ 13
ธรรมชาติอย่างหนึ่งของข่าวก็คือ มันย่อมหาช่องทางที่จะเปิดเผยตัวเองออกมาให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งและก่อนที่ผมจะกลับไปยังห้องพักในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้น ดูเหมือนทุกคนที่นั่นจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกันอย่างดีแล้ว เด็กหลายคนเข้ามารุมซักถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้อะไรมากพอที่จะตอบข้อซักถามอันไร้สาระนั้นได้ กว่าที่ผมจะหาทางบอกจูลี่ได้ ก็เกือบบ่ายเข้าไปแล้ว...
ผมโทรศัพท์เข้าไปหาเธอก่อน เพื่อจะหาช่วงปลอดคนที่เราจะพบกัน...
และก็อย่างเคย เธอเปิดประตูด้านหลังบ้านให้ผมเข้าไป วันนี้จูลี่ดูมีท่าทางแปลกๆ อ่อนโรยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ผมก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เพราะกำลังตื่นเต้นกับเรื่องของตัวเองมากกว่า เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ปลายเตียง ขณะที่ผมนั่งบนเตียงและเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังอย่างตื่นเต้น...จนผมเล่าเรื่องจบแล้วเธอจึงได้พูดขึ้น
“ฉันดีใจที่มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตคุณ ซึ่งคุณควรจะเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ” ดูเหมือนเสียงพูดตอนท้ายๆ ของเธอจะแห้งหายพิกล
“คุณไม่สบายใจหรือจูลี่?”
เธอลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนหันหลังให้ผมอยู่ตรงหน้าต่าง เป็นครู่ แล้วจึงได้พูดขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่เหมือนพยายามบังคับตัวเองไว้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจขึ้น มันเป็นน้ำเสียงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ฉันลาออกจากที่นี่แล้วละ โอลลอยด์”
“อ้าว...ทำไมล่ะ?” ผมรู้สึกแปลกใจเพราะไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องได้ฟังเรื่องเช่นนี้มาก่อน “ไม่เห็นจำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลยนี่ ถึงยังไงผมก็ยังจะต้องไปมาหาสู่คุณอยู่ดี ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหนก็ตาม”
“เพื่อมานอนด้วย...อย่างนั้นน่ะหรือ?”
“เปล่า” ผมสั่นศีรษะปฏิเสธทันที “จูลี่ คุณก็รู้นี่ว่าผมขอบคุณมาก คุณน่าจะรู้มานานแล้วด้วยซ้ำ แล้วคุณเองใช่ไหมล่ะที่ทำให้ผมต้องเตือนตัวเองอยู่อย่างนั้น”
“โอลลอยด์ ถึงเวลาที่คุณจะต้องสำรวจใจตัวเองเสียทีแล้วละ ฉันจะบอกให้ก็ได้ว่าที่จริงแล้ว คุณไม่ได้ชอบฉันอย่างจริงจังอะไรหรอก คนที่อยู่ในวัยอย่างคุณมักจะชอบผู้หญิงทุกคนที่นอนด้วยทั้งนั้นแหละ” เธอหันมาเผชิญหน้าผมเมื่อพูดต่อสั้นๆ ว่า “เราจะไม่พบกันอีก”
“แต่ผมก็ยังอยากรู้ว่า...ทำไม?”ผมถามเสียงแข็ง
“ถ้าคุณจะรู้ฉันก็จะบอกให้...ฉันคิดมาหลายวันแล้วว่า การนอนกับเด็กผู้ชายอย่างคุณนั้นมันไม่ทำให้ฉันได้อะไรขึ้นมา คุณจะรับรองอะไรหรือทำอะไรเพื่อฉันน่ะเป็นไปไม่ได้แน่ คุณจะแต่งงานกับฉันก็ไม่ได้ด้วย...โดยเฉพาะถ้าฉันเกิดท้องขึ้นมา คุณก็ไม่สามารถรับผิดชอบในชีวิตครอบครัวของเราได้ เท่านี้พอจะเข้าใจหรือยัง...?”
“ฟังนะ โอลลอยด์ เวลานี้วันหยุดในฤดูร้อนก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเราเสียให้หมด คุณเองก็สนุกมามากแล้ว...พอกันที”
ผมเข้าไปจับแขนเธอไว้แต่จูลี่สะบัดออก
“แต่...จูลี่...”
“ออกไป ดอยย์กี้...”
ผมรู้สึกวูบวาบขึ้นมาทันที
“ก็ได้...สวัสดีนะ”
เธอไม่ตอบ ผมรีรออยู่ครู่สั้นๆ แต่แล้วก็เดินไปเปิดประตู ก้าวออกไปจากห้องอย่างคนหัวเสีย ควักบุหรี่จากกระเป๋าออกมาจุดสูบ ได้ยินเสียงเตียงนอนดังลั่นเมื่อเธอโถมตัวลงไป และแล้ว...ผมก็ได้ยินเสียงเธอร้องไห้ ผมหันไปมองประตูบานนั้นอย่างชั่งใจ แต่แล้วก็ตัดสินใจเดินออกไปจากอพาร์ตเม้นท์แห่งนั้น
บนถนน ในท่ามกลางแสงแดดแรงร้อน ผมกลับไม่รู้สึกอะไรกับความร้อนนั้น เพราะหัวใจผมมันเยียบเย็นจนแทบจะหนาวสะท้านเสียด้วยซ้ำ บนสนามในสวนธารณะ ผมทอดตัวลงบนพื้นหญ้า มองขึ้นไปในท้องฟ้าสีครามอันว่างเปล่า หัวใจคร่ำครวญแต่คำว่า...จูลี่...จูลี่...จูลี่...
ผมเขียนจดหมายถึงเจอรี่บอกให้เขารู้ว่า บัดนี้ได้มีญาติเข้ามาอุ้มชูดูแลแล้ว และเขาก็เขียนตอบมาว่า...ดีใจด้วยที่ได้ยินข่าวดีเกี่ยวกับตัวผม ซึ่งต้องนับว่าเป็นข่าวที่ดีอย่างยิ่งสำหรับชีวิตของเด็กกำพร้าอย่างเรา...
แล้วสัปดาห์นั้นก็ผ่านไป...จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายที่ผมจะอยู่ที่นี่ ลุงจะเป็นผู้มารับผมในตอนบ่าย ขณะนี้กระเป๋าเสื้อผ้า หีบห่อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นก็ถูกจัดบรรจุเข้ากระเป๋าที่ยกลงไปวางไว้ที่ห้องผู้จัดการ เตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว
ผมรู้สึกไม่อยากจะย้อนกลับเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้นอีก เสียงเด็กๆ เล่นกันอยู่เอะอะในห้องยิมทำให้ผมหาวิธีฆ่าเวลาได้
ขณะเดินลงบันไดไปข้างล่าง เสียงระฆังบอกเวลาอาหารกลางวันก็ดังขึ้น ผมจึงเดินย้อนกลับเข้าไปยังห้องอาหาร นั่งลงตรงที่ที่เคยนั่ง ก้มศีรษะลงขณะที่คุณพ่อเบิร์นฮาร์ทกระทำนมัสการขอบคุณพระเจ้า ขณะเดียวกันผมก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาในใจ คล้ายๆ กับว่า...ตัวเองไม่เคยได้ย่างกรายเข้ามาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เลยก็ว่าได้ ทุกใบหน้าที่อยู่รอบตัวนั้นก็ดูแปลกๆ แม้กระทั่งโต๊ะหินสีขาวที่ใช้เป็นโต๊ะอาหารและผมได้ทำร่องรอยไว้ ด้วยการใช้กุญแจขูดขีดเชียนชื่อตัวเองไว้ ก็ดูเย็นชืดและแปลกไปอย่างบอกไม่ถูก
ผมไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย ในสมองครุ่นคิดอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น คือผมกำลังเกิดความไม่แน่ใจว่าป้าสะใภ้จะชอบผมหรือไม่...ญาติของผมที่เป็นลูกของคุณลุงจะรู้สึกต่อผมอย่างไร...?
แล้วจู่ๆ ผมก็บังเกิดความรู้สึกเศร้าลึกๆ ขึ้นมาในใจ...แท้จริงแล้ว ผมไม่อยากจากสถานที่แห่งนี้ไปเลย
อาหารดูจะติดอยู่แค่คอ กลืนต่อไปไม่ลงจริงๆ ผมเงยหน้าขึ้นสบตาคุณพ่อเบิร์นฮาร์ท ซึ่งดูเหมือนท่านเองก็เฝ้าจับตาดูผมอยู่ก่อนแล้ว ท่านพยักหน้าอนุญาตให้ผมลุกจากที่นั่งก่อนได้
ผมเดินลงไปในสนามหญ้า สถานที่ๆ เคยวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ อย่างสนุกสนานมาแต่เล็กแต่น้อย เคยยืนเข้าแถวเพื่อเข้าห้องเรียนตรงนี้...แต่บัดนี้ดูมันช่างอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเสียนี่กระไร หูยังแว่วเสียงระฆังเรียกแถว เสียงเด็กวิ่งไล่เล่นบอลกันเกรียวกราวสนุกสนาน แล้วผมก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังวิหารเซ้นท์ เทอเรซ
“รู้สึกแปลกๆ ใช่ไหมโอลลอยด์?” เสียงคุณพ่อเบิร์นฮาร์ทดังขึ้นใกล้ตัว
“ครับ คุณพ่อ”
“พ่อเข้าใจว่าลูกรู้สึกยังไงนะโอลลอยด์ พ่อเองก็เคยเฝ้าดูการเจริญเติบโตของลูกมานานหลายปีเต็มที ตั้งแต่ลูกยังเป็นทารกแบเบาะอยู่ด้วยซ้ำ พ่อยังจำวันที่ลูกหัดเดินครั้งแรกได้ด้วย นึกๆ ไปแล้วมันก็เหมือนกับว่า เพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เอง เมื่อตอนที่ลูกหกล้มครั้งแรกนั้น พ่อยังจำได้ว่าหน้าตาลูกน่าขันมาก เม้มปากแน่นแล้วก็พยายามลุกขึ้นเดินใหม่ ไม่ร้องเลยสักแอะ แล้วก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้น จนเดินได้แข็ง...พ่อต้องนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงทุกครั้งที่ลูกเกิดเจ็บไข้ลง แทบจะไม่ได้หลับได้นอนเลย...
“เมื่อลูกเริ่มโตขึ้น พ่อได้พยายามอย่างยิ่งที่จะปลูกฝังให้ลูกได้รู้จักกับการดำเนินทางแห่งชีวิต แล้วลูกก็เติบโตขึ้นมาอย่างคนที่เข้มแข็งจริงๆ ซึ่งทำให้พ่อภูมิใจในตัวลูกมาก ความพยายามที่จะเป็นทั้งพ่อและแม่ที่ดีของลูกนั้นเป็นผลสำเร็จ พ่อเคยปลอบโยนทุกครั้งที่ลูกรู้สึกผิดหวัง กระตุ้นเตือนให้ลูกได้เชิดหน้าไว้เสมอยามเมื่อถูกมนุษย์ด้วยกันเหยียดหยาม...
“โอลลอยด์...พ่อรู้ว่าพ่อเท่านั้นที่รู้จักลูกดีกว่าใครทั้งหมด ดีเสียกว่าที่ลูกจะรู้จักตัวเองเสียอีก พ่อรู้ทั้งนั้นไม่ว่าเวลาที่ลูกจะทุกข์หรือสุข ซึ่งจะเป็นเพราะอะไรพ่อก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกที่บอกกันไม่ได้...แต่สักวันหนึ่ง ลูกก็คงจะเรียนรู้มันด้วยตัวลูกเอง...
“แล้วพ่อก็เฝ้ามองดูลูกเรียนรู้ความจริงเรื่องนี้ จากวาจาของลูกเองที่ทำให้พ่อได้รู้ว่า ลูกเรียนไปถึงไหนแล้ว...แต่นั่นแหละนะ บางครั้งการศึกษาบทเรียนของชีวิตนั้นก็ทำให้ลูกเจ็บช้ำอย่างมากและในบางครั้งเหล่านั้นที่พ่อเข้าไปช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ก็ได้แต่หวังว่าลูกจะหาทางออกให้กับปัญหาเหล่านั้น ได้ด้วยสติปัญญาของตัวเอง...พ่อหวังเพียงว่า ขออย่าต้องให้ได้เห็นลูกต้องเจ็บปวดจากบทเรียนอันนั้นมากจนเกินไปนัก...แต่บางครั้งความหวัง ความรู้สึกอย่างนั้นมันก็ช่างไม่พอเพียงเอาเสียเลย...”
“คุณพ่อครับ...” หัวใจผมสะท้านสะเทือนไปกับคำพูดของท่าน คำพูดที่บ่งบอกถึงความเมตตากรุณาที่เปี่ยมล้นอยู่ในหัวใจ
