บทที่ 14
“ผมไม่ทราบจะบอกคุณพ่อว่าอย่างไร...บอกได้แต่เพียงว่า คุณพ่อเป็นมนุษย์ที่วิเศษสุดในชีวิตผม...ที่ผมเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาทุกวันนี้ก็เพราะคุณพ่อ ซึ่งถ้าผมจะใช้คำว่า...ขอบพระคุณมันก็คงไม่เพียงพอหรอกครับ”
“พ่อไม่อยากได้ยินคำนั้นจากลูกหรอก โอลลอยด์”ท่านพูดยิ้มๆ “ณ ที่นี้ คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ทุกอย่างได้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระผู้เป็นเจ้าทั้งนั้น...พ่อรู้ว่า ณ สถานที่แห่งนี้ คือที่รวมแห่งคุณงามความดีทั้งหลายทั้งปวงที่บังเกิดขึ้นในโลก แล้วเราก็เอาความดีงามเหล่านั้นมาเป็นเครื่องมือในการสั่งสอนอบรมคนอื่น...
“แต่นอกกำแพงนั่นออกไป...จำไว้นะลูก...มันจะเป็นสถานที่ซึ่งลูกจะต้องใช้เวลาในการศึกษานานกว่าในนี้มากนัก...
“เราทุกคนที่อยู่ในเขตรั้วแห่งนี้ เหมือนกับอยู่ในที่ซึ่งปิดกั้นเราไว้จากโลกภายนอก อยู่ในกระแสธารแห่งธรรมะ มีชีวิตที่รักสงบ ปราศจากอันตรายใดๆ ทั้งปวง และเราก็ไม่เคยแตะต้องสิ่งสกปรกโสมมที่อยู่ข้างนอกนั่นด้วย...
“ตราบใดที่ลูกยังอยู่ในสถานที่นี้ เราก็ย่อมจะช่วยกันแนะนำตักเตือนลูกได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่ลูกจะต้องออกไปอยู่ข้างนกนั้น ใครเล่าที่เขาจะช่วยลูก ใครจะเป็นผู้ที่คอยปกปักรักษาให้ลูกพ้นจากภัยอันตรายที่มนุษย์ด้วยกันเองเป็นผู้สร้างขึ้นมา...
“ไม่มีหรอกโอลลอยด์ ข้างนอกนั่นจะเต็มไปด้วยสิ่งที่เราต้องผจญด้วยตัวเองทั้งนั้น มันจะมีเหตุการณ์ใหม่ๆ แปลกๆ เกิดขึ้นให้เราต้องเผชิญกับมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน” ท่านควักผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าขึ้นมาเช็ดขอบตา
“เอาละ พ่อก็ได้พูดความในใจออกมาให้ลูกรู้หมดแล้ว นี่ลูกไปลาคุณพ่อควินน์หรือยังล่ะ...อาจารย์ใหญ่ด้วยแล้วก็ครูทุกๆ คนด้วยนะ...เออ...เราคงคิดถึงลูกกันมากทีเดียวละ”
“ครับ คุณพ่อ ผมก็คงคิดถึงทุกคนที่นี่เหมือนกัน ผมไปบอกลาครูทุกท่านมาตั้งแต่เช้าแล้วละครับ”
“ดีลูก...เดี๋ยวเราค่อยพบกันใหม่ตอนที่ลูกจะไปอีกทีหนึ่งก็แล้วกัน”
“คุณพ่อครับ...”
“อะไรหรือ โอลลอยด์?” ท่านหันมามองผม
“คุณพ่อครับ เป็นความผิดบาปไหมครับที่คนเราต้องเกิดมาเป็นยิว?”
ท่านมองหน้าผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนเมตตา ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ช้าๆ ว่า
“ไม่เลยลูก...มันไม่ใช่บาปอย่างแน่นอน จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไงในเมื่อ แม้แต่คนที่นับถือศาสนาเดียวกันกับเราจะพยายามลืม แต่เขาก็ปฏิเสธความจริงในข้อที่ว่า แม้จีซัส ไครส์เอง ก็ทรงถือกำเนิดมาเป็นประชาชนชาวยิว”
“แต่...คุณพ่อครับ...”ผมรู้สึกลังเลใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมเมื่อผมเป็นยิวเหมือนกับจีซัส ไครส์เป็น ผมจึงเข้าโบสถ์ไม่ได้ ชาวยิวคนอื่นๆ ก็เข้าไม่ได้เหมือนกันล่ะครับ...ผมเป็นห่วงว่าต่อไปนี้ คงจะไม่มีโอกาสได้สารภาพบาปอีกต่อไปและถ้าวันหนึ่งผมต้องตายลงแล้วผมจะไม่ตกนรกหรือครับ?”
ท่านจับแขนผมไว้ กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงต่ำๆ ว่า
“โอลลอยด์ ลูกจงจำไว้อย่างหนึ่งว่า สวรรค์นั้นไม่ได้มีที่เฉพาะแต่พวกของเราชาวคาธอลิคเท่านั้นหรอกลูก สวรรค์เป็นสถานที่ซึ่งจะต้อนรับผู้กระทำคุณงามความดีทุกคน...พ่อชอบที่จะเชื่อว่า ประตูสวรรค์นั้นเปิดสำหรับมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม มิได้เฉพาะเจาะจงว่าจะต้องนับถือพระเจ้าองค์ใดด้วยซ้ำ...
“ตราบใดที่มนุษย์ยังเชื่อฟังคำสั่งสอน ไม่ว่าจะจากศาสดาองค์ใดในโลก ตราบใดที่มนุษย์ยังมุ่งมั่นแต่จะกระทำความดีงาม อยู่ในแสงสว่างแห่งธรรมะ ทุกคนก็จะได้ขึ้นสวรรค์กันทั้งนั้น...
“ประพฤติตนเป็นคนดีนะลูก จงรักษาญาติและเพื่อนของลูกไว้ ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ชอบที่ควรเท่านั้น เราไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวอะไร เข้าใจที่พ่อพูดไหมลูก?”
“เข้าใจครับ คุณพ่อ”
“ดี...เอาละ ถึงเวลาที่พ่อจะเข้าไปดูข้างในเสียที เกือบหมดเวลาอาหารกลางวันแล้ว ลูกจะเดินเล่นอยู่ก่อนก็ได้แล้วเดี๋ยวเราค่อยพบกัน”
เด็กๆ เริ่มทยอยกันออกจากโรงอาหาร เดินตามกันออกมายังสนามเป็นแถว ผมมองดูภาพนั้นเงียบๆ แล้วก็เดินเลี่ยงไปทางโรงยิม
จากประตูทางเข้า ผมเหลียวมองไปรอบๆ ห้องซึ่งเคยเป็นสถานที่เล่นสนุกในวัยเยาว์ของผมมาก่อน เด็กกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นบาสเก็ตบอลกันอยู่ มีปีเตอร์ ซานเปโรอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขา อย่างน้อยเราก็ควรได้กล่าวคำอำลากันสักหน่อย ผมอยากขอให้เขาลืมความหลังที่เคยมีเรื่องผิดพ้องหมองใจกันมาและเลิกแล้วต่อกัน อย่าได้เป็นศัตรูคู่อาฆาตต่อไปอีกเลย
แต่เมื่อผมย่างเท้าเข้าไปในห้อง เด็กทั้งกลุ่มก็เลิกเล่นทันที ทุกคนหันมาจ้องมองผมเป็นตาเดียว บรรยากาศดูอึดอัดอย่างไรพิกล ผมรู้สึกเสียวสันหลังอยู่เหมือนกัน พยายามสกัดกั้นสัญชาตญาณที่กำลังตื่นตัวไว้อย่างสุดความสามารถ อย่างน้อยผมก็ไม่อยากให้คนอื่นๆ สังเกตเห็นได้ ว่าผมสัมผัสความผิดปกตินั้นได้
ผมเดินเข้าไปในกลุ่ม หยุดลงตรงหน้าปีเตอร์ยื่นมือออกไปให้เขา
“เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะนะ พีท”
ปีเตอร์ทำเป็นมองไม่เห็นมือที่ผมยื่นให้ แต่เขาก็ก้าวเข้ามาหาผมก้าวหนึ่ง
“ได้สิ” เขาคำราม ตวัดหมัดใส่คางผมทันทีโดยที่ผมไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ซึ่งทำให้ผมกระเด็นลงไปนอนอยู่กับพื้นห้อง จากนั้นทั้งมือทั้งเท้าอีกหลายคู่ก็ประเมวิสใส่ผม มันช่วยกันจับผมตรึงไว้กับพื้นโดยมีปีเตอร์ยืนค้ำหัว
“แก...ไอ้ลูกอีกดอก...”มันหัวเราะใส่หน้า “เลี้อยเข้ามาอยู่ร่วมกับพวกเราในโรงเรียนนี้เพื่อตบตาตลอดเวลา” มันซัดผมเข้าที่สีข้างทั้งรองเท้า ความเจ็บปวดรวดร้าวแผ่ซ่านไปทั้งตัว มันตบหน้าซ้ำเข้าให้อีก
ตอนที่มันก้มลงตบนั่นเอง ที่ผมสะบัดแขนหลุดออกมาได้ข้างหนึ่งก็กระชากเสื้อมันไว้ แต่มันก็กระชากกลับได้ทันและตบด้วยหมัดซ้ำเข้าให้อีก กระชากผมขึ้นมาจากพื้นห้อง ทันทีที่ยืนขึ้นได้ ผมก็เอามือข้างที่หลุดเป็นอิสระค้ำคอมันไว้...มันถอยเซไปติดผนังห้อง
ตอนนั้นเองที่เด็กคนอื่นๆ เข้ามารุมกินโต๊ะผมทางข้างหลัง ซัดผมตรงซอกคอเข้าเต็มที่แต่เลือดเข้าตาเสียแล้ว ผมไม่สนใจใครทั้งสิ้น เป็นครั้งแรกที่ผมซัดคู่ต่อสู้โดยไม่ต้องหยุดคิดแม้แต่นิดเดียว ความเกลียดชังที่ก่อรูปอยู่ในหัวใจมานาน ทะลักทะลายออกมาตามแรงกำปั้น ผมบีบคอมัน กระแทกหัวมันกับผนังห้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
แต่มันก็ไม่ร้อง ใจเด็ดพอที่จะยืนตัวงองุ้มขณะที่ตวงกำปั้นเข้าใส่ท้องผมอยู่เป็นระยะๆ ทั้งใบหน้าผมเต็มไปด้วยเลือด มันไหลออกมาท่วมปากท่วมจมูก เปรอะเปื้อนเสื้อผ้าแดงเถือกไปหมด ตอนนี้เองที่คนอื่นๆ ช่วยกันดึงผมออกมา...เราเลยล้มกลิ้งไปบนพื้นห้องด้วยกัน เสื้อแสงผมขาดวิ่นยับเยิน แต่ผมไม่แคร์อะไรอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกที่มีอยู่ขณะนั้นเพียงประการเดียวก็คือ...ผมต้องฆ่ามัน...ฆ่ามันให้ได้...!
ผมจับหัวมันกระแทกซ้ำลงบนพื้นซีเมนต์...แต่ก่อนที่จะซัดมันซ้ำลงไปอีก ก็มีมือของใครคนหนึ่งมากระชากไหล่ผมไว้ เสียงเอะอะที่ดังอยู่รอบๆ ตัวเงียบกริบลงทันที คุณพ่อเบิร์นฮาร์ทดึงตัวผมออกจากร่างปีเตอร์ที่นอนหงายอยู่บนพื้นห้อง
“ใครเป็นคนก่อเรื่องขึ้น?” เสียงของท่านเต็มไปด้วยกังวานเฉียบขาด น่ากลัว
“ปีเตอร์ครับ” เสียงเด็กคนหนึ่งตอบท่านอย่างหวาดๆ “ปีเตอร์บอกว่าเขาจะต้องสอนบทเรียนให้ไอ้ยิวสกปรกนี่ก่อนครับ”
“อย่างนั้นเรอะ...พวกเธอกลับไปเข้าห้องเรียนเดี๋ยวนี้” เสียงของท่านบอกความโกรธจัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วท่านก็หันไปทางปีเตอร์ “เธอกลับไปบ้านได้แล้ว และอย่าได้เหยียบเข้ามาในห้องยิมนี้อีกเป็นอันขาด ห้องนี้สำหรับเด็กที่อยู่ประจำโดยเฉพาะเท่านั้น”
เมื่อทุกคนออกไปจากห้องหมดแล้ว ท่านจึงได้หันมาพูดกับผม
“ไม่ต้องไปสนใจใครทั้งนั้น ไอ้พวกนี้ยังต้องสั่งสอนกันอีกมาก...ไปล้างหน้าล้างตาเสียลูก ลุงของเจ้ามาคอยอยู่แล้ว ถึงยังไงลูกก็ต้องไป เราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว”
เสียงของท่านขาดหายไปเฉยๆ ผมมองท่าน เลือดกำเดาหลั่งไหลออกมาอีก ความเจ็บปวดรวดร้าวกำลังทำร้ายผมอย่างสาหัส แต่ผมก็ฝืนใจเดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ คุณพ่อเบิร์นฮาร์ทเดินตามเข้าไปด้วย ช่วยหยิบกระดาษเช็ดหน้าให้
และนี่หรือ...คือการเริ่มต้นความเป็นคนสัญชาติยิวของผม...
ลุงของผมยืนอยู่ที่นั่น เคียงข้างท่านคือสุภาพสตรีผู้หนึ่งที่กำลังส่งยิ้มมาให้ผมอย่างใจดี คงจะเป็นป้าสะใภ้ของผมแน่ๆ แต่ยิ้มของท่านดูจะเลือนหายไปจากใบหน้าทันที ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ...และผมก็รู้ว่าสาระรูปตัวเองขณะนี้ ก็น่าที่ใครต่อใครจะตกใจไปตามๆ กันได้...ทั้งเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น ยับเยิน เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด อย่างน้อยก็ป้าสะใภ้ผมคนหนึ่งละ ใบหน้าของท่านเผือดซีดอย่างเห็นได้ชัด
ผมพยายามกัดฟันระงับความเจ็บปวดที่กำลังรุกรานหนักขึ้นทุกที เดินข้ามห้องตรงไปยังท่าน มีเสียงอื้ออึงดังขึ้นในหู ความเจ็บปวดแทรกแปลบปลาบเข้าไปในทรวงอก ใบหน้าของใครต่อใครหลายคนลอยสับสนวนเวียนกันไปหมด...พร่าเลือนบ้าง...กระจ่างชัดบ้าง...คุณพ่อเบิร์นฮาร์ท...คุณลุง...ป้าสะใภ้...ปีเตอร์...มาร์ตี้...เรย์ม่อน...เจอรี่...พ่อของเจอรี่...เกรย์...ซิสเตอร์แอนน์...คุณพ่อควินน์...จิมมี่ โคช...เฟนเนลลิ...จูลี่...
ผมพยายามที่จะเผยอเปลือกตาขึ้นไว้ แต่รู้สึกมันช่างหนักหนาเสียเหลือเกิน น้ำตาทำไมถึงไหลพรากมากมายอย่างนั้นก็ไม่รู้ จะยกมือขึ้นเช็ดก็ไม่ได้เสียด้วย ไม่รู้ว่ามือหายไปข้างไหน...
แต่แล้ว ผมก็ลืมตาขึ้นจนได้ แต่ก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องที่มีผนังสีขาว ป้าสะใภ้ คุณลุงและคุณพ่อเบิร์นฮาร์ทกำลังจ้องมองผมอยู่
ตรงสุดมุมห้อง นางพยาบาลคนหนึ่งนั่งอยู่ที่นั่น ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า นางพยาบาลเข้ามาอยู่ในห้องส่วนตัวผมทำไม ผมอ้าปากพยายามจะพูด
“อย่าเพิ่งลูก” คุณพ่อเบิร์นฮาร์ทแตะนิ้วลงบนริมฝีปากผม “ไม่ต้องพูดหรอก โอลลอยด์ ตอนนี้ลูกกำลังอยู่โรงพยาบาลรูสเวลล์...นอนนิ่งๆ นะ...หมอบอกว่าซี่โครงหักไปสามซี่...อย่าขยับตัวนะลูก”
ผมมองไปทางผนังห้อง ปฏิทินที่แขวนอยู่ตรงนั้นบอกว่าวันที่ 1 กันยายน 1925
ตรงกับวันเกิดครบรอบปีที่ 14 ของผมพอดี...
