บท
ตั้งค่า

บทที่ 12

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมรีบลงมาข้างล่างก่อนที่ใครๆ จะตื่นและหยิบหนังสือพิมพ์เช้าที่คนส่งเอามาวางไว้ให้ พาดหัวตัวใหญ่อยู่บนหน้านึ่งนั้น เหมือนกำลังตะโกนใส่หน้าผม

“...เฟนเนลลิถูกตามล่า...”

มีรูปของซิลค์ เฟนเนลลิอยู่ในกรอบทางด้านขวามือ ใต้ลงมาเป็นข่าวที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ซิลค์ เฟนเนลลิ เจ้ามือการพนันระดับโลก ถูกตามล่าสังหารโดยฝ่ายตรงข้ามและถูกยิงที่หน้าอกได้รับบาดเจ็บสาหัส จิมมี่ โคช เจ้าของสถานบิลเลียดซึ่งเป็นเพื่อนคู่หู ได้รับบาดเจ็บจากการตามล่าครั้งนี้ด้วย อาการสาหัสมากโดยถูกยิง 2 นัดเข้าตรงหัวใจพอดีและทนพิษบาดแผลไม่ไหว ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันวานที่หน้าสถานบิลเลียดของจิมมี่ โคช...

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตามหาเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่กับจิมมี่ โคช ซึ่งตำรวจเชื่อว่าเป็นประจักษ์พยานในคดีสังหารโหดคราวนี้ได้อย่างดี

รายงานข่าวกล่าวว่า ขณะนี้ซิลค์ เฟนเนลลิถูกส่งตัวไปรับการรักษาพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลรูสเวลล์ อาการยังอยู่ในขั้นอันตราย แต่ก็พอให้การได้ โดยได้ตอบคำถามของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ว่า...พอจะรู้ตัวหรือไม่ว่าใครเป็นผู้ประสงค์ร้ายต่อเขา ซึ่งเฟนเนลลิตอบว่า...ไม่ทราบและไม่สงสัยใครเลย เพราะเขาเป็นคนที่ยุ่งอยู่เฉพาะแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น...

ผมวางหนังสือพิมพ์ลง พอจะเข้าใจแล้วว่า เฟนเนลลิต้องการที่จะเตือนไม่ให้ผมเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้...ควรจะยุ่งแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น...

แล้วสัปดาห์นั้นก็ผ่านไปโดยไม่มีใครมารบกวนผมเลย ความรู้สึกของผมดีขึ้นมาก ความกังวลใจค่อยหายไปและรู้สึกปลอดภัยขึ้นถึงขนาดกล้าที่จะเดินถนนได้บ้างแล้ว หนังสือพิมพ์ยังติดตามข่าวของเฟนเนลลิอยู่เรื่อยๆ และรายงานข่าวครั้งล่าสุดกล่าวว่า...อาการเขาดีขึ้นมากจะออกจากโรงพยาบาลได้ในอีก 3 สัปดาห์...

โรงบิลเลียดของมิสเตอร์โคชปิดไปแล้ว และงานของผมก็สิ้นสุดตามไปด้วย สำหรับเงินจำนวนสุดท้ายที่ได้มา ผมเปิดบัญชีใหม่ขึ้นอีกบัญชีหนึ่ง...ถึงแม้ผมกับจูลี่จะพบกันอยู่บ้าง แต่เราก็หลีกเลี่ยงที่จะพูดกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

แล้วเฃ้าวันหนึ่งก็มาถึง ผมออกจะประหลาดใจอยู่มากที่ คุณพ่อเบิร์นฮาร์ทเดินเข้ามาถึงในห้อง

“โอลลอยด์ หลังอาหารเช้าแล้วไปพบพ่อที่ออฟฟิซหน่อยนะ”

“ครับผม”

เมื่อก้าวเข้าไปในห้องทำงานของท่าน ผมก็ต้องแปลกใจอีกที่เห็นว่ามีใครต่อใครอยู่ในห้องนั้นหลายคน รวมทั้งอาจารย์ใหญ่ คุณพ่อควินน์กับคนแปลกหน้าอีกคนหนึ่ง ดูเหมือนทุกคนกำลังรอคอยผมอยู่ ความรู้สึกกังวลใจกลับมารบกวนผมอย่างมากมาย โดยเฉพาะคนแปลกหน้าคนนั้น อาจเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตามตัวผมก็ได้

“คุณพ่อต้องการพบผมหรือครับ?”

“ใช่ โอลลอยด์...นั่งสิ รู้จักกับคุณบูเชลเตอร์เสีย ท่านเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสอบสวนของมูลนิธิอนุเคราะห์เยาวชน...นี่ไงครับ เด็กคนที่เรากำลังพูดถึง” ท่านหันไปบอกมิสเตอร์บูเชลเตอร์

บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดลง ผมรอจะให้ใครพูดอะไรออกมาสักคำหนึ่ง แต่รู้สึกว่าทุกคนต่างก็รอที่จะให้มีผู้เริ่มต้นพูดกันทั้งนั้น จนในที่สุด อาจารย์ใหญ่ก็เอ่ยขึ้นว่า

“โอลลอยด์ เธอเป็นเด็กที่อยู่กับเราที่นี่มานาน ครูจำได้ว่าครั้งแรกที่รู้จักเธอนั้น เธอยังเป็นทารกแบเบาะอยู่ แต่ขณะนี้ครูมีอะไรบางอย่างที่อยากจะถาม อันที่จริงครูก็ไม่อยากพูดนักหรอก แต่ว่าจำเป็น โอลลอยด์ เธอตอบครูสักคำได้ไหมว่า เธอเคยคิดที่จะเป็นอย่างอื่นบ้างไหม นอกเหนือจากการเป็นคาธอลิคที่ดี...?”

“ไม่เคยคิดเลยครับ”

“นั่นไง...เห็นไหมล่ะ” คุณพ่อควินน์หัวเราอย่างผู้ชนะ “เหมือนที่ผมพูดไหมล่ะ?”

อาจารย์ใหญ่หันไปทางคุณพ่อควินน์ แล้วก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า

“ถ้าจะมีใครสักคนหนึ่งเดินเข้ามาและบอกเธอว่า เธอเป็นคนในศาสนาอื่น เธอจะทำยังไง?”

“ศาสนาอื่นหรือครับ...ผมคงไม่เชื่อหรอกครับ”

“โอลลอยด์ เธอเคยคิดถึงพ่อแม่หรือจำอะไรที่เกี่ยวกับพ่อแม่เธอได้บ้างไหม?”

ผมไม่เข้าใจว่าอาจารย์ใหญ่จะต้องมาตั้งคำถามอย่างนี้กับผมทำไม ในเมื่อท่านก็พูดอยู่เมื่อครู่นี้เอง ว่าท่านรู้จักผมตั้งแต่ยังเป็นเด็กทารกนอนแบเบาะอยู่ แต่ผมก็ตอบท่านอย่างสุภาพว่า

“ไม่ได้เลยครับ”

“เอาละ ถ้าอย่างนั้นครูจะอธิบายให้เธอฟัง คือมิสเตอร์บูเชลเตอร์ ท่านเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนเกี่ยวกับประวัติและพ่อแม่ของเด็กทุกคนที่ถูกส่งเข้ามาอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าที่นี่ทุกคน ซึ่งการทำงานของท่านได้ช่วยสงเคราะห์ชีวิตเด็กๆ เหล่านั้นมาแล้วมากมายและวันนี้ ท่านก็มีอะไรบางอย่างที่จะบอกเธอเหมือนกัน”

อาจารย์ใหญ่หันไปสบตากับมิสเตอร์บูเชลเตอร์ ท่าทางของเขาออกจะอึดอัดอยู่ไม่น้อย ก่อนจะเริ่มต้นว่า

“คืออย่างนี้นะโอลลอยด์ เรื่องของเธอนั้นเราทำมาหลายปีแล้ว แต่เมื่อยังไม่ได้เรื่องเราก็หยุดไว้ก่อน จนกระทั่งเมื่อถึงเกณฑ์ที่เธอจะต้องเข้าโรงเรียนและเราก็ส่งเธอเข้าเรียนที่เซ้นท์ เทอเรซนี่จนจบ และขณะนี้ก็ถึงเวลาที่เธอจะต้องเข้าเรียนต่อในวิทยาลัยแล้ว ซึ่งการเรียนต่อจากนี้ เราจำเป็นจะต้องสืบเสาะหาหลักฐานเกี่ยวกับตัวเธอหรือผู้ปกครองของเธอให้มากที่สุด...” เขาหยุดเว้นระยะครู่สั้นๆ

“นอกเสียจากว่า...เราจะทำไม่ได้จริงๆ เธอจึงจะอยู่ในความอนุเคราะห์ของเราต่อไปได้ แต่ถ้ายังมีญาติพี่น้องที่หากันพบ เราก็จำเป็นต้องส่งเธอให้กับญาติพี่น้องนั้นๆ ...”

“เอาละ...เพื่อให้เรื่องสั้นเข้า ผมขอพูดอย่างรวบรัดว่า เวลานี้เราได้พบญาติพี่น้องของเธอแล้วและพวกเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ เขาเป็นลุงของเธอเอง...พี่ชายของแม่ยังไงล่ะ...เราได้ติดต่อกับลุงของเธอมาระยะหนึ่งแล้ว ก็เลยได้ทราบเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวเธอ โดยลุงได้ส่งจดหมายมาเล่าให้เราทราบ เกี่ยวกับเรื่องของน้องสาวที่เดินทางมานิวยอร์กวันที่เธอเกิดพอดี...”

“แม่ของเธอตายหลังจากที่คลอดเธอได้ไม่ถึงชั่วโมง ซึ่ง...หลักฐานสำคัญที่บอกได้ว่าเป็นแม่ที่แท้จริงของเธอและเป็นน้องสาวของลุง ก็คือแหวนวงนี้...ซึ่งเราเก็บรักษาไว้อย่างดี เพื่อมอบให้เธอในโอกาสต่อไป ที่จริงมันก็ไม่ใช่แหวนที่มีค่าอะไรหรอก เป็นแหวนทองเกลี้ยงธรรมดา...” เขาหยุดเว้นระยะอีกครั้งก่อนพูดต่อ

“ซึ่งลักษณะของแหวนที่ลุงของเธอได้บอกมาในจดหมายนั้น ตรงกับแหวนวงที่เราเก็บรักษาไว้...และบัดนี้ เราจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ลุงของเธอได้ขอให้เราจัดการให้เธอไปอยู่กับท่าน เราได้สืบดูแล้วและได้รู้ว่าท่านเป็นสุภาพบุรุษที่ดีมากคนหนึ่ง เป็นคนที่รู้จักรับผิดชอบในหน้าที่ มีลูกสาวสองคนละมีบ้านดีๆ ให้เธออยู่...เธอคงเข้าใจนะ ว่าเราหมายถึงอะไร”

“แต่โอลลอยด์” คุณพ่อควินน์เอ่ยขึ้นทันทีที่มิสเตอร์บูเชลเตอร์พูดจบ ราวกับสิ่งที่กำลังกังวลอยู่ในใจของท่านขณะนี้ กำลังจะทะลักออกมา

“โอลลอยด์...ลุงของเธอไม่ได้เป็นอย่างที่เราเป็นกันหรอกนะ เขาไม่ได้อยู่ในความเชื่ออย่างเรา...เข้าใจไหมโอลลอยด์...เขาไม่ได้นับถือศาสนาเดียวกับเรา”

“ไม่ได้นับถือศาสนาเดียวกันกับเราหรอกหรือครับ?” ผมถามท่านอย่างงุนงงด้วยความไม่เข้าใจอะไรเลย

“ก็ไม่ใช่น่ะสิโอลลอยด์ เขาไม่ได้เป็นคาธอลิค”

ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่นั่นเองว่าพวกผู้ใหญ่พูดเรื่องอะไรกัน เสียงคุณพ่อควินน์พูดต่อว่า

“คือตามกฎแล้ว เธอจะต้องไปอยู่กับเขาทันทีที่เรื่องจบลง ซึ่งเราทุกคนได้ยอมรับความจริงเรื่องนี้กันแล้ว แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่พ่ออยากจะเตือนเธอก็คือ เมื่อไปแล้ว...จงอย่าลืมสิ่งที่เธอได้เรียนรู้ไปจากที่นี่นะ

โอลลอยด์ จงอย่าลืมโบสถ์ อย่าลืมพระเจ้า เพราะพระองค์เป็นผู้ถนอมกล่อมเกลี้ยงให้เธอเป็นคนดีขึ้นมา จงเป็นคาธอลิคที่ดี ใครจะว่าอย่างไรก็อย่าไปสนใจ เข้าใจไหม?”

“ครับ คุณพ่อ” ผมรู้สึกงุนงงหนักขึ้นกว่าเดิม

“เอาละ ตอนนี้ คุณลุงของเธอกำลังรออยู่ที่ห้องข้างนอกพร้อมที่จะพบกับเขาหรือยังล่ะ?” อาจารย์ใหญ่ถามเสียงเรียบ

“ครับ อาจารย์” ผมตอบได้ทันที หัวใจสั่นระรัวที่ผมจะไม่ใช่คนตัวคนเดียวในโลกแล้ว อย่างน้อยผมก็มีญาติ มีครอบครัว ผมไม่ใช่...ไอ้เด็กระยำ...อีกต่อไปแล้ว...ผมมีครอบครัวแล้ว...!

เสียงมิสเตอร์บูเชลเตอร์ พูดกับใครคนหนึ่งอยู่ในห้องข้างนอกว่า

“เชิญครับ มิสเตอร์เมวิส”

ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทางประตู เขาเป็นคนร่างสูงสัก 6 ฟุตเห็นจะได้ ผมบาง ไหล่กว้าง ใบหน้าเอิบอิ่ม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาดูราวกับมีม่านหมอกบางๆ แผ่กั้นไว้

ทันทีที่เราสบตากัน ผมก็เกิดความรู้สึกประหนึ่งว่า บาปของผมได้ถูกไถ่จนหมดสิ้นแล้ว ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมด้วยแววแห่งความรัก ความเมตตากรุณา ความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด จนผมเกรงไปว่า เขาอาจไม่ชอบผมอย่างที่ใจผมได้เริ่มผูกพันกับเขาเข้าแล้ว

เขายื่นมือมาให้ผมสัมผัส อุ้งมือนั้นอบอุ่น เต็มไปด้วยความเข้าใจระหว่างกันที่ลึกล้ำ ซึ่งกระแสนั้นได้ผ่านเข้าสู่หัวใจของเราทั้งสอง ราวกระแสคลื่นไฟฟ้าที่ถ่ายเทเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

“เธอนี่เองที่ชื่อดอยย์กี้”

“ครับผม”ผมตอบเสียงสั่น น้ำตาออกมาคลอเต็มตา หัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ความรู้สึกที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยในชีวิต

เมื่อมาถึงเวลานี้ผมได้ตระหนักแน่ในหัวใจว่า เลือดที่ไหลผ่านอยู่ในร่างกายของผมนั้น มีสายเลือดของเขาปนอยู่ด้วย...ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

ผมไม่รู้จนกระทั่งอีก 2-3วันต่อมา ว่าผมเป็นยิว...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel