บท
ตั้งค่า

บทที่ 11

ในตอนบ่ายวันนั้น ขากลับจากที่ผมไปเก็บโต๊ดแล้ว ผมก็เดินผ่านท่าเรือที่ถนนสาย 54 เด็กๆ กำลังเล่นน้ำสนุกสนานเสียงดังลั่นไปหมด ผมหยุดยืนมองภาพนั้นอย่างกระหาย เด็กๆ กำลังดำผุดดำว่าย นี่ถ้าไม่ต้องรีบเอาโต๊ดไปส่งให้กับมิสเตอร์โคชแล้ว ผมก็คงต้องลงไปเล่นด้วยแน่ๆ

“อยากลงไปเล่นน้ำกับพวกนั้นบ้างหรือ ดอยย์กี้?” เสียงคุ้นหูดังขึ้น ขณะเดียวกัน มือหนักๆ ก็ตบลงบนไหล่ ผมหันไปมองและพบว่า ซิลค์ เฟนเนลลิยืนอยู่ตรงหน้า

“ครับท่าน แต่ผมต้องทำงาน”

“นั่นสินะ ฉันก็รู้ว่าเธอรู้สึกยังไง เด็กๆ ก็อย่างนี้ทุกคนนั่นแหละ อยากว่ายน้ำ เล่นบอล ยิงนกตกปลาไปตามเรื่อง แต่เธอก็คงทำไม่ได้หรอก จริงไหม...ที่เป็นอย่างนี้เพราะอะไรรู้ไหมดอยย์กี้ ก็เพราะเธอเป็นคนที่รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ยังไงล่ะ...ลองคิดเปรียบเทียบดูระหว่างตัวเองกับเด็กพวกนั้นสิว่า มันเปรียบกันได้หรือเปล่า...เด็กพวกนั้นน่ะไม่ได้มองวันในอนาคตหรอก แต่เธอไม่ได้เป็นอย่างพวกเขาแน่ เธอต้องการจะก้าวไปข้างหน้าและเวลานี้เธอก็กำลังเรียนที่จะให้รู้วิธีการอยู่แล้วว่าเป็นยังไง ซึ่งเธอก็รู้คำตอบแล้ว...

“เวลานี้ที่เธอยังต้องการก็แค่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ สำหรับชีวิตตามประสาเด็ก แต่สักวันหนึ่งข้างหน้าเธอก็จะต้องได้มากกว่านั้นแน่ ลองคิดดูสิว่าเวลานี้เธอรู้ความต้องการของตัวเองหรือยัง ว่าอยากทำอะไรต่อไปในอนาคต...

“เธอคงสงสัยว่าฉันรู้ความคิดเธอได้ยังไง ฉันจะบอกให้เธอรู้ก็ได้ว่า การที่ฉันเข้าใจอะไรได้ง่ายๆ อย่างนี้ เป็นเพราะเมื่อตอนเด็กๆ ฉันก็เป็นอย่างเธอเหมือนกัน...”

“อย่างนั้นหรือครับ มิสเตอร์เฟนเนลลิ” ผมอดย้อนถามด้วยความแปลกใจไม่ได้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่คนระดับเขา ลดตัวลงมาพูดคุยอย่างยืดยาวกับผม

“มิสเตอร์เฟนเนนลลิครับ เวลานี้ผมยังไม่รู้เลยว่าตัวเองอยากเป็นอะไร แต่ที่แน่ๆ คือผมไม่อยากเป็นอย่างเด็กพวกนั้น”

“ดีมาก ดอยย์กี้ ดีมาก...แล้วนี่เธอกำลังจะไปไหนล่ะ?”

“กลับไปร้านครับ”

“ถ้าอย่างนั้นไปรถฉันก็ได้ เดี๋ยวฉันจะแวะลงที่ร้านด้วย จะให้เธอขัดรองเท้าชนิดพิเศษให้สักหน่อยยังไงล่ะ”

ผมเดินตามเขาไปขึ้นรถอย่างว่าง่าย รู้สึกภูมิใจขึ้นมาอีก ตอนที่ลงจากรถแล้วมีสายตาของใครหลายคนมองตาม

และขณะที่ก้มหน้าก้มตาขัดรองเท้าอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเฟนเนลลิพูดกับโคชอยู่ว่า

“เด็กคนนี้ดีนะ” “ดีทีเดียว...สอนง่าย”น้ำเสียงของโคชทำให้ผมตัวพองขึ้นอีกพะเรอ

ที่จริงแล้วผมไม่อยากรับเงินจากมิสเตอร์เฟนเนลลิเลย แต่เขาก็คะยั้นคะยอจนผมต้องรับไว้ จากนั้นโคชก็สั่งให้ผมลงไปเอาเบียร์ที่ห้องใต้ดินขึ้นมา

ผมไม่รู้ว่าคนทั้งสองมีอะไรที่ติดต่อกันอย่างลึกซึ้งอยู่บ้าง เพราะทุกครั้งที่มิสเตอร์เฟนเนลลิมาหา โคชเป็นต้องพาเขาเข้าไปคุยหลังร้านเสมอ แต่ผมก็รู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่เห็นเขาเดินเข้ามาในร้าน อย่างน้อยบรรยากาศส่วนตัวของผมก็ดูจะอบอุ่นขึ้นมาก...

ฤดูร้อนปีนั้นมันก็เหมือนๆ กับฤดูร้อนของทุกๆ ปีในนิวยอร์ก เหงื่อออกชุ่มโชกจนเนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะ อ่อนเพลีย ผู้คนอารมณ์เสียใบหน้าบึ้งตึงเหมือนสวมหน้ากาก เด็กๆ เอะอะเอ็ดตะโรอยู่ตามถนน ในสวนสาธารณะและชายหาดเต็มไปด้วยผู้คน หนังสือพิมพ์รายงานข่าวอุณหภูมิของอากาศอยู่ทุกวัน โรงเรียนปิดภาคและบรรยากาศเต็มไปด้วยความเครียดเคร่ง

ฤดูร้อนในนิวยอร์กปีนี้ ใครจะคิดอย่างไรก็ตามแต่สำหรับผมแล้วยอมรับว่า ผมรักฤดูร้อนปีนี้เสียจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อถึงปลายฤดูคือเดือนสิงหาคมด้วยแล้ว ผมมีเงินเก็บอยู่ในธนาคารถึง 700 เหรียญ มีแฟนหนึ่งคน ซื้อสูทแบบล่าสุดไว้ถึง 2 ชุด และเมื่อกระเป๋ามีเงินอัดแน่น ก็สามารถจะเข้าไปกินอาหารในร้านใหญ่ๆ เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกผู้ดีมีเงินเข้าได้ อยากไปไหนก็ได้ไป อยากทำอะไรก็ได้ทำ ใครๆ ก็ต้องมองผมอย่างทึ่ง

บัดนี้ ผมได้กลายเป็นคนที่มีความหมายขึ้นมาบ้างแล้ว ชักจะมีคนยกให้บ้าง ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยคิดต้องการเลย...

ช่วงนี้เองที่ผมเริ่มคิดถึงการเรียนต่อขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ที่จริงแล้วก็ไม่ค่อยอยากเรียนเท่าไรนัก เพราะถ้าจะว่าไปแล้วการหาเงินมันสนุกกว่า แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังเตือนตัวเอง ว่ามันยังไม่น่าจะเป็นการเพียงพอ อายุยังน้อยเกินกว่าจะเลิกเรียนเสียกลางคัน

แล้วผมก็มองเห็นทางออกขึ้นมาจนได้ บางทีผมอาจจะเลือกเรียนรอบเช้าและออกไปหาเงินรอบบ่ายก็ยังได้ ถ้าทางวิทยาลัยอนุญาต ซึ่งก็ไม่น่าจะขัดข้องอะไร...เมื่อคิดหาวิธีการอย่างนี้ได้ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก เพราะอย่างน้อยก็ยังสามารถหาเงินโดยไม่ต้องเสียการเรียนได้

บ่ายวันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม เป็นวันสุดสัปดาห์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผมได้รับทั้งส่วนแบ่งและค่าจ้างจากโคชอีก 84 เหรียญ มันยังอุ่นๆ อยู่ในกระเป๋า วันนี้ลูกค้าแน่นร้านเป็นพิเศษ แต่โคชกลับบอกผมตอนประมาณ 2 ทุ่มว่า

“วันนี้ฉันเหนื่อย ปิดร้านเร็วหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวจะจับรถไปเยี่ยมลูกเมียเสียหน่อย”

“ถ้าอย่างนั้นผมประกาศเลยนะครับ”

เขาพยักหน้า ผมจึงออกเดินไปรอบๆ โต๊ะบิลเลียด

“หมดเวลาแล้วครับ...หมดเวลาแล้ว”

อีกไม่กี่นาทีต่อมา ทั้งห้องก็เงียบลงเมื่อผู้คนต่างทยอยกันออกไปหมด เขาเปิดลิ้นชักใส่เงินหยิบออกมานับแล้วก็ยัดใส่ลงในกระเป๋ากางเกง

“ไปกันเถอะ”

ขณะที่เขากำลังช่วยผมปิดหน้าร้านอยู่นั่นเอง ที่รถของซิลค์ เฟนเนลลิเข้ามาจอดเทียบลงตรงหน้า เขาก้าวตรงเข้ามาหาเราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งเป็นลักษณะปกติของเขา

“วันนี้ปิดร้านเร็วหน่อยหรือจิมมี่?”

“ครับ ว่าจะไปเยี่ยมเมียสักหน่อย”

“ดี...มีอะไรให้ผมบ้างไหมล่ะ?”

“อ๋อ...แน่นอน”โคชหัวเราะหึๆ อยู่ในคอ “คุณก็รู้จักผมนี่ซิลค์ ไม่ผิดหวังหรอกน่า เตรียมพร้อมอยู่เสมอ” เขาล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกง ดึงปึกเงินที่รัดไว้ด้วยหนังยางปึกหนึ่งออกมาส่งให้ ขณะนั้นผมยังไม่เสร็จจากงานปัดกวาด จึงหันหลังและเดินกลับเข้าไปในร้าน

ผมได้ยินเสียงเร่งเครื่องดังสนั่น จนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ผมจึงหันกลับไปดู ก็พอดีเห็นท่าทีของคนทั้งสองที่กำลังชะงักงัน พร้อมกับที่มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด...!

ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว มิสเตอร์โคชปล่อยปึกเงินหล่นจากมือทันที ใบหน้าซีดเผือด

ผมก้มลงเก็บเงินปึกนั้นซึ่งจังหวะนั้นเองที่มีเสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งหรือสองนัด ด้วยความตกใจผมผวาเข้าไปจะช่วยเขา แต่ร่างของมิสเตอร์โคชเลื่อนลงไปบนพื้นหน้าร้านเสียแล้ว มือที่กุมหน้าท้องไว้ชุ่มโชกด้วยเลือด ผมหันมาทางมิสเตอร์เฟนเนลลิ แต่ก็เห็นเขากำลังเอามือกุมตรงหน้าอก มีเลือดไหลออกมาแดงฉาน ร่างงองุ้มไปข้างหน้า มืออีกข้างหนึ่งตกลงข้างตัวเลือดสาดกระเซ็นมาถูกตัวผมด้วย

สัญชาตญาณผลักให้ผมออกวิ่งทันทีโดยไม่ได้หยุดคิดแม้แต่น้อยและไม่ได้หันกลับมามองข้างหลังอีกเลยด้วย ผมไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งมาหยุดตรงหน้าอพาร์ตเม้นท์ของมาร์ตี้ได้อย่างไร หัวใจแทบหยุดเต้นด้วยความหวาดกลัว

จูลี่เปิดประตูออกมารับและผมก็กระโดดเข้าไปในประตูนั้น พร้อมกับกระแทกปิดเสียงดังลั่น

“อะไร...ดอยย์กี้ เกิดอะไรขึ้น?” เธอร้องถามด้วยความตกใจ

ผมไม่ตอบ เดินผ่านเธอเข้าไปในห้องนอนและทิ้งตัวลงบนเตียง เหนื่อยแทบขาดใจ

“เกิดอะไรขึ้น ดอยย์กี้...นั่นเลือดอะไร...เธอไปทำอะไรมา?”

“เปล่า...”ผมผลุดลุกขึ้นนั่ง “ใครไม่รู้ยิงนายผมกับมิสเตอร์เฟนเนลลิ”

“ทั้งสองคนเลยรึ...ใครกันล่ะ?”

“ไม่รู้” ผมลุกขึ้นยืนแล้วก็เพิ่งรู้สึกตัวว่ากำอะไรอย่างหนึ่งไว้ในมือ เมื่อก้มลงดูจึงเห็นว่าเป็นปึกเงินของมิสเตอร์โคชนั่นเอง มันชื้นไปด้วยเหงื่อ ผมยัดมันลงในกระเป๋าและเดินไปหยุดตรงหน้าต่าง มองออกไปข้างนอกอย่างระแวง

“ไม่รู้ว่ามีใครตามผมมาหรือเปล่า”

“โธ่ ดอยย์กี้ เธอนี่ยังเด็กอยู่มากเลยนะ กลัวตายถึงขนาดนี้เชียวหรือนี่?”

“ผมไม่ได้กลัว” ดูเหมือนมันจะเป็นคำพูดที่ผมพยายามจะปลอบใจตัวเองมากกว่า จูลี่เดินเข้ามาโอบร่างผมไว้และผมก็ซุกหน้าลงไปบนทรวงอกเธอ สัมผัสความอบอุ่นปลอดภัยจนไม่อยากขยับเขยื้อน...

แต่แล้วทันใด ความหวาดหวั่นก็ถาโถมเข้าใส่ผมอีก จนเหงื่อแตกออกมาทั้งตัว ปากคอสั่นเหมือนลูกนก

ครู่ต่อมา ผมจึงได้นั่งลงบนเก้าอี้และเริ่มใช้ความคิด...คงจะไม่มีใครเห็นเราเข้ามาที่นี่หรอก...พวกนั้นคงจะตามเฟนเนลลิมากกว่า มันไม่รู้จักเราแน่...มันจำเป็นต้องเก็บโคชด้วย เพราะเขาเห็นพวกมันเข้า...ก็เราไม่ได้เห็นนี่นา...มันไม่ได้ต้องการเก็บเราแน่...แต่บางที...ตำรวจอาจจะต้องการตัวเราบ้างก็ได้...แต่เราไม่ได้เห็นอะไรเลยนี่...เอาละ ตราบใดที่ปิดปากสนิทตราบนั้นเราก็คงปลอดภัย...

ผมเฝ้าแต่คิดซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนี้ จูลี่ปล่อยให้ผมนั่งจมอยู่กับความคิด เธอเดินกลับออกไปห้องข้างนอก ผมนึกถึงเงินขึ้นมาได้ จึงควักออกมานับ...653 เหรียญ ผมยัดมันลงกระเป๋า ก็พอดีกับที่จูลี่ถือถ้วยกาแฟเข้ามา

“เอ้า...ดื่มนี่เสียหน่อยจะได้ดีขึ้น”

“ตอนนี้ผมดีขึ้นแล้วละ...”ผมตอบพร้อมกับเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เธอ “แต่คงต้องเปลี่ยนเสื้อสักหน่อย เพราะตัวนี้มันมีแต่เลือด มีเสื้อของมาร์ตี้สักตัวไหมล่ะ?”

เธอไม่ตอบ แต่รับเสื้อของผมแล้วก็เดินออกไปจากห้อง เพียงครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกับเสื้อของมาร์ตี้...มันคับไปหน่อยแต่ผมพอใส่ได้

“ขอบใจนะจูลี่ ผมจะต้องไปแล้ว...ก่อนที่ใครๆ จะมา”

“ไม่ต้องรีบหรอก เขาไปตากอากาศนอกเมืองกันหมดนอกจากมิสเตอร์กาเบลล์ และเขาก็คงไม่กลับมาก่อนตีหนึ่งด้วย”

...แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่ได้รั้งรออยู่ จูบเธอลวกๆ ก่อนที่จะค่อยๆ เปิดประตูออกไปข้างนอก และหาทางกลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

เมื่อไปถึง ผมเปิดประตูหลังอย่างแผ่วเบาและเดินเข้าไปในห้องโถงที่เงียบสงัด พวกเด็กๆ คงนอนกันหมดแล้ว ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและซุกตัวลงไปในเตียง...ขอบคุณพระเจ้าที่รอดตายมาได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel