1/2 ความซุปตาร์
“ฆ่าฉันดีกว่า…ถ้าจะให้ยอมทาเจลกระปุกนั้น”
“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเกอร์…ถ้านายอยากรีบกลับไปนอน นายต้องลดความเป็นตัวเองลงหน่อย”
“ลดความเป็นตัวฉันเหรอ?” คำบอกของกุลจิราทำให้ไทเกอร์ถึงกับยอมละสายตาจากเกมในโทรศัพท์มือถือ “พูดจริงดิหวาน?”
“ขอโทษที่ขอในสิ่งที่ไม่ควรขอ” หญิงสาวรู้ดีว่าหนึ่งในร้อยข้อที่ไทเกอร์จะไม่ทำคือการลดความเป็นตัวเอง อัตตาเขาน่ะ…สูงเฉียดฟ้า “แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ช่างแต่งหน้านั่น…จดชื่อเอาไว้ด้วย ฉันจะไม่ร่วมงานกับเขาอีก” แบล็กลิสต์ของไทเกอร์ หรือที่น้ำหวานเรียกว่าบัญชีหนังหมา ตอนนี้รายชื่อยาวยิ่งกว่าสะพานเมืองจีนเสียอีก
“นายจะไม่ยอมใช่ไหม? ถ้านายไม่ยอม…ฉันก็ต้องบากหน้าไปขอพี่เกรท เขาด่าฉันแน่นอน…เขาต้องมองว่าฉันเป็นเลขาที่ตามใจจนนายเสียนิสัย แล้วเขาก็จะมองว่าฉันไม่มีน้ำยา กับเรื่องแค่นี้ก็ทำให้นายยอมไม่ได้ คราวนี้ทีมงานทุกคนก็จะโทษว่ามันเป็นความผิดของฉัน…พวกเขาจะเลิกงานช้าเพราะเราไปขอให้เลื่อนเวลาถ่าย แค่เพราะเรื่องลิปสติกไร้สาระนี่ แล้วจากนั้น…”
“พอ! หยุดเลย…ไม่ต้องมาชักแม่น้ำทั้งห้าสิบสองสายเพื่อเกลี้ยกล่อม ความผิดนี้เป็นของใครเธอรู้ดีหวาน”
“เกอร์…” กุลจิราหมดหนทาง เดี๋ยวนี้ไทเกอร์เริ่มไม่ค่อยยอมเธอแล้ว จากที่เมื่อก่อนแค่เธอทำเสียงอ้อนเขาก็จะตัดความรำคาญแล้วก็ยอมรับทางออกที่เธอหามามอบให้ หญิงสาวเข้าไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่ม แต่เว้นระยะห่างไม่ให้ตัวสัมผัสกัน เธอรู้…รู้ดีว่าถ้าไม่นับเรื่องการแสดง ไทเกอร์คนนี้ไม่ชอบให้ใครมาโดนตัว บางทีแม้แต่แฟนที่เขาเคยคบด้วยหากเขาไม่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน…คุณเธอเหล่านั้นก็ใช่ว่าจะมาถูกเนื้อต้องตัวเขาได้ง่ายๆ ช่างเป็นอะไรที่…เยอะเสียเหลือเกิน
“ไม่ต้องอ้อน”
“เกอร์…ขอครั้งเดียว นะๆ แค่ครั้งเดียว…” เขาบอกว่าไม่ต้องอ้อน แต่หญิงสาวก็ไม่ยอมฟัง ทำเสียงออดอ้อนไม่พอ…ยังทำตาใสซื่อกะพริบตาปริบๆ ใส่เขา เขาน่ะหรือจะไม่รู้ว่าภายใต้ใบหน้าหวาน ภาพลักษณ์เหมือนคนอ่อนต่อโลกที่ใครจะรังแกก็ได้ของเธอนั้น…ข้างในคือยัยตัวแสบที่ชอบเล่นกับความรู้สึกคน
“บอกว่าไม่ต้องอ้อน”
“ไทเกอร์คะ หวานขอแค่ครั้งเดียวเอง”
“…” ไม่บ่อยนักหรอกที่กุลจิราจะพูด ‘คะ ขา’ กับเขา และนับครั้งเลยก็ได้ที่เธอจะยอมแทนตัวเองด้วยชื่อเวลาที่คุยกับเขา เธอทำราวกับรู้ว่ามันคือไม้ตาย เธอทำเหมือนรู้ว่าเวลาได้ยินแบบนั้นแล้วเขาจะใจอ่อน
“นะคะ…หวานขอแค่ครั้งเดียว ไทเกอร์ยอมทำตัวว่าง่ายกับหวานสักครั้งได้ไหม?”
“อยากโดนเหรอวะ?” แต่เขาจะไม่ยอม ให้ตายยังไงก็จะไม่ยอมทาลิปสติกแท่งนั้น
“เกอร์ขา…”
“หวาน!” เขากลั้นใจ ทำตัวแข็ง ตาแข็ง จะไม่ยอมอ่อนให้เธอคนนี้เอาชนะความเป็นตัวตนที่เขายึดมั่นเอาไว้เป็นอันขาด
“หวานหมดหนทางแล้วนะเกอร์…”
“หยุด!”
“แค่ทาลิปสติกเอง…”
“บอกให้หยุด!” หยุดอ้อนเขาเดี๋ยวนี้!
“นะคะเกอร์…”
“เอาลิปสติกเธอมา! ฉันไม่ยอมทาลิปสติกต่อจากคนอื่น…แต่ถ้าเป็นของเธอฉันยอมได้! พอใจหรือยัง?” ความพยายามของเขาไม่เป็นผล เขาไม่อาจต้านทานการออดอ้อนและคำพูดเพราะๆ ของกุลจิราได้เลย ไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง
“ของฉันเหรอ?”
“เออ! เอาลิปมันของเธอมา!”
“นายเอาจริงเหรอ?” กุลจิราถามออกมาด้วยความรู้สึกประหลาดใจผสมด้วยความสงสัย เขาพูดจริงๆ หรือแค่หลอกให้เธอดีใจเล่น คนอย่างเขาที่นั่งเถียงเรื่องลิปสติกที่เคยถูกใช้แล้วตั้งนาน อยู่ๆ จะมาใช้ของเธอน่ะหรือ?
“เอาจริง หน้าฉันเหมือนคนพูดเล่นหรือไง? แล้วจะบอกให้นะหวาน…ถ้าฉันคิดจะเอาจริงๆ ขึ้นมา เธอไม่รอดหรอก” เขามีความหมายแฝง ขึ้นอยู่กับว่าใครจะตีความ
“ของฉันก็ไม่ได้ต่างจากของพี่โอ้เลยนะ” หญิงสาวเอ่ยขณะที่ล้วงหยิบลิปสติกสีใสขึ้นมายื่นให้ชายหนุ่ม
“ก็บอกแล้วไง ของเธอฉันยอมได้…ถึงจะเคยถูกใช้มาก่อนแล้ว ก็ไม่เป็นไร”
“รับไปสิ” ไม่รู้ทำไม สายตาและคำพูดของไทเกอร์มันกำกวมพิลึก ยื่นลิปสติกให้อยู่ตั้งนานก็ไม่ยอมรับไปเสียที
“ทาให้หน่อย”
“ฮะ?”
“ทาลิปสติกให้ฉัน” หน้าที่เธอคือคอยช่วยเหลือเขา คอยตอบสนองความต้องการ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร…หน้าที่ของกุลจิรามีเพียงทำตามที่เขาบอก หญิงสาวถอนหายใจออกมา บรรจงทาลิปสติกสีใสลงไปที่ริมฝีปากบางแดง สายตาเธอจับจ้องที่เรียวปากแดงระเรื่ออย่างนึกอิจฉา ผู้ชายอะไร…ดูแลตัวเองดีเสียยิ่งกว่าผู้หญิง ปากนั้นทั้งบางทั้งชุ่มฉ่ำ ที่จริงไม่จำเป็นต้องทาลิปสติกก็ดูสุขภาพดีอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่ก็สูบบุหรี่อยู่เป็นนิสัย
ขณะที่ยัยหน้าหวานกำลังตั้งอกตั้งใจทาลิปสติกราวกับอ่านหนังสือเตรียมสอบ ชายหนุ่มก็มองแต่ใบหน้าเธอ…ไล่มองดวงตากลมๆ จมูกเล็กๆ น่ารัก มองเรียวปากอวบอิ่มที่เขาอยากจะเชยชิมลิ้มรสมาแต่ไหนแต่ไร ทำไมนะ…ทำไมเขาถึงไม่เคยข้ามเส้นคำว่าเพื่อนไปได้เลย แล้วทำไม…เธอถึงไม่เคยหลงเสน่ห์เหลือล้นสุดกร๊าวใจของเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่น คิดแล้วก็น่าหงุดหงิด
“เสร็จแล้ว…เม้มปากหน่อย”
“เธอยังไม่ได้ตอบเลยว่าก่อนหน้านี้หายไปไหนมา”
“ก็ออกไปคุยกับพี่นาย”
“ใคร?”
“ครีเอทีฟไง”
“คุยอะไร? ทำไมต้องคุย?” นาย ไอ้ครีเอทีฟประจำเอเจนซี่โฆษณา แค่ได้ยินชื่อ ได้เห็นหน้าเขาก็รู้แล้วว่าไอ้เวรนั่นเป็นผู้ชายประเภทไหน ก็พวกหน้าหม้อ เห็นผู้หญิงหงิมๆ หน้าหวานๆ อย่างกุลจิราเป็นไม่ได้ ต้องทำตัวสะเหล่อป่าวประกาศว่าเป็นพ่อพันธุ์ที่พร้อมขยายฟาร์ม เข้ามาขายขนมจีบเธอ มันคงไม่รู้…กุลจิราคนนี้ เห็นหน้าหวานๆ ยิ้มเก่งๆ ใครพูดอะไรก็ว่าตามนั้น ที่จริงแล้วไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
ก็เพราะถ้าง่ายจริง…คงเสร็จเขาไปนานแล้ว
“ก็เรื่องทั่วไป เรื่องงาน เรื่องอนาคต”
“เรื่องทั่วไปแถวบ้านเธอเขาคุยถึงอนาคตกันด้วยเหรอ?”
“ก็”
“อนาคตมีไว้คุยเฉพาะกับคนสำคัญ” ไม่ทันที่เธอจะได้ตอบ คนเอาแต่ใจก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน “ทีหลังเวลาใครถามอะไรก็คิดบ้างว่าสำคัญพอให้ตอบไหม ไม่ใช่อะไรๆ ก็บอกเขาหมด”
“รู้แล้ว”
“พูดแบบนี้ทุกที รู้แล้วๆ เวลาสอนอะไรหัดจำบ้างได้ไหม?”
“ตกลงจะเป็นเพื่อนหรือเป็นพ่อ?”
“ไม่เป็นทั้งคู่อะ”
“ฮะ?” เป็นอีกครั้งที่ไทเกอร์ส่งสัญญาณกำกวมแปลกๆ ให้กุลจิราต้องทำหน้าเหวอ หมายความว่ายังไงกัน? ไม่เป็นพ่อน่ะพอเข้าใจได้ แต่ไม่เป็นเพื่อนนี่สิคืออะไร ถ้าสถานะระหว่างเธอกับเขามันไม่ใช่เพื่อนแล้วยี่สิบปีที่ผ่านมาคืออะไร
“เป็นเจ้านายคนจ่ายเงินเดือนแพงๆ ให้เธอไง”
“ชิ!” ได้คำตอบแล้ว เพื่อนน่ะเป็นไหม เวลายี่สิบปีคงตอบได้อยู่ในตัวมันเอง แต่ที่แน่ๆ เขาคนนี้เป็นเจ้านาย…ก็ใช่เธอไม่เถียง เงินเดือนเกือบแสนไม่ได้หากันง่ายๆ ถ้าไม่ใช่เลขาของซุปตาร์ค่าตัวเจ็ดแปดหลัก
จ่ะอีคุณเสือ!
อยากจะถามจริงๆ ว่าคนสำคัญที่ว่านั่นหมายถึงใคร?
ใช่แกหรือเปล่า?
ประเด็นคือเกลียดความไม่ยอมทาลิปคนอื่น แต่ถ้าเป็นลิปของหวานน่ะยอมได้
ไม่ค่อยออกนอกหน้าเท่าไหร่เลยนะ
