บทที่ 2 เพ้อฝัน
'Worrakit Sutthathinan' นันรดามองชื่อบนบัตรเครดิต พร้อมข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ที่แนบทิ้งเอาไว้ ด้วยหัวใจที่เต้นแรง แม้ว่าจะนั่งมองมันมาร่วมๆ สองสามชั่วโมงแล้วก็ตาม
'แกก็โทรไปเบอร์นี้เลย ถามว่าใช่เสี่ยไหม ให้รู้แล้วรู้รอดไป อย่าบอกนะ...ว่าแกเปลี่ยนใจแล้วอ่ะ' เสียงเพื่อนรักยังคงก้องในหู
เอาจริงๆ เธอก็ไม่ได้เปลี่ยนใจหรอก แต่แค่...ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคือแบบนี้จริงๆ หรือเปล่า
"วรกิต สุทธาธินันท์...จริงๆ ก็คุ้นชื่ออยู่นะ" เธอพยายามนึกให้ออกว่า ชื่อนี้เป็นชื่อของใคร เพราะเหมือนตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เหมือนเธอจะได้ยินนามสกุลนี้อยู่ตลอด
"ไม่หรอก อาจจะแค่คล้ายๆ มั้ง ไม่ใช่หรอก" เธอพยายามบอกตัวเอง และหยิบเอาต่างหู น้ำหอม เงินสด หรือของแทนใจของเขาขึ้นมาดูทีละชิ้น เผื่อจะนึกออกว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
เก็บมันเข้ากล่องแห่งความทรงจำตลอดกาลหรือ...กดโทรออกที่เบอร์นี้และบอกถึงความต้องการของตัวเอง
มันก็ดูไม่ง่ายทั้งสองทางนั่นแหละ
"มีอะไรรึเปล่าลูก ทำไมมานั่งตากยุงอยู่ตรงนี้" น้ำเสียงเชิงบ่นของมารดาอย่าง นันทิดา ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ทำให้เธอต้องรีบเก็บของพวกนั้นลงกล่องเล็กๆ ที่ตัวเองเลือกเอาแต่ของที่คิดว่าพอจะใช้ได้และมีค่ามาไว้ ตามคำแนะนำของโสพรรณ
"เปล่าแม่ แค่อยากจะนั่งเล่นรับลมเฉยๆ"
"เครียดเรื่องงานรึเปล่า ถ้าหาในกรุงเทพไม่ได้ก็อยู่กับแม่นี่แหละ มาช่วยกันทำงานในสวน เก็บผักวันหนึ่งก็ได้หลายตังอยู่" ความห่วงใยของบุพการีทำให้เธอซาบซึ้งได้เสมอ แต่เธอทนตากแดดไม่ไหวแล้วจริงๆ
"โถแม่ หนูทำอะไรได้บ้างล่ะ เป็นภาระพ่อกับแม่มากกว่า ผักก็ทำช้ำไปหลายโล แทนที่จะได้ขาย ได้เอามากินเองเฉย" เธอว่าพลางถอนหายใจ ก่อนจะโผเข้ากอดมารดาด้วยความรู้สึกขอโทษจากใจ
"ไม่เป็นไรหรอก ใหม่ๆ ก็แบบนี้ ฝึกไปนานๆ เดี๋ยวก็ชำนาญเอง ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไปทำงานแถวในตัวอำเภอไหมล่ะ ไปเป็นเสมียนก็ได้ เขารับเยอะแยะ แม่ล่ะไม่อยากให้ลูกอยู่ไกลบ้านมากหรอกนะ แม่อยากให้อยู่ด้วยกัน"
แม้มารดาจะคิดอย่างนั้น แต่คนที่รู้ว่าสังคมการทำงานเป็นยังไงอย่างเธอ ไม่อยากจะเสียเวลาให้กับบริษัทไหนทั้งนั้น เธอไม่อยากทำงาน อยากนอนกินเงินอย่างเดียว!
"แม่ หนูถามอะไรหน่อยสิ" เธอถามขึ้นไปอีกทาง หลังจากมองไปยังของในกล่องเล็กที่ถูกซ่อนเอาไว้
"หือ ถามอะไร" หันมามองหน้าบุตรสาว ที่พลิกมานอนหนุนตักตัวเองด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
"แม่จำ เสี่ยที่ส่งของให้หนูตอนเรียนมหาวิทยาลัยได้ไหม" ผู้เป็นมารดาทำสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนทำสีหน้าเหมือนนึกออก
"จำได้สิ คนที่ส่งของมาให้เยอะๆ น่ะ ทำไมเหรอ"
"แม่ว่า...ถ้าตอนนั้นหนูยอมเป็นเด็กเสี่ย ชีวิตตอนนี้หนูจะเป็นยังไง?" มารดาหัวเราะพลางส่ายหน้า "ก็คงจะมีบ้าน มีรถ มีเงินใช้ สุขสบายไปแล้วมั้ง"
"จริงเหรอแม่! แสดงว่าตอนนั้นแม่อยากให้หนูเป็นเด็กเสี่ยจริงๆ เหรอ?" นันรดาลุกขึ้นนั่งมองมารดาเต็มตา ส่วนฝั่งมารดาก็ได้แต่หัวเราะไม่หยุด
"ไม่จริงสิ จะบ้าเหรอ แม่ก็แค่หยอกๆ ลูกเล่นก็เท่านั้น"
"อ้าว เป็นงั้นไป" ยิ่งได้เห็นสีหน้างอๆ ของบุตรสาวก็ยิ่งหัวเราะใหญ่ "ทำไม คิดเสียดายเสี่ยเขาขึ้นมาเหรอ?"
นันรดาสะดุดกึกใหญ่ หลบสายตามารดา ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้า
"ก็ทำงานมันเหนื่อยนี่แม่ มันไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นเลย ทั้งๆ ที่ทุ่มเทขนาดนี้"
"หนูก็แค่คิดว่า...ทำไมหนูถึงไม่เลือกสิ่งที่เขาทุ่มเทให้ เพราะการทำงานก็ต้องแลกเปลี่ยนแรงกายลงไป ไม่ต่างอะไรกับการเป็นเด็กเสี่ยอยู่ดี" ความน้อยใจประปรายในคำพูด จนนันทิดาต้องถอนหายใจออกมา และดึงบุตรสาวเข้ามากอดปลอบ
"มันก็แค่ช่วงชีวิตหนึ่งเองลูก ไม่ใช่ทั้งหมดซะหน่อย อย่าน้อยใจขนาดนั้นเลยนะ"
"หนูก็แค่เสียดายเวลา 10 ปีที่ทุ่มเทให้บริษัทน่ะแม่...ฮึก...เขาทำกับหนูเหมือนหนูไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้บริษัทเลย...ฮือ" แล้วน้ำตาของหญิงสาวก็นองหน้า ร่ำไห้ออกมาจนตัวโยน ไม่มีแล้วความเข้มแข็งที่พยายามสร้าง ซึ่งมารดาเองก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร ปล่อยให้บุตรสาวได้ระบายความรู้สึกอย่างเต็มที่
"เอาจริงๆ นะแม่ ถ้าตอนนี้เสี่ยเขาอยากจะเลี้ยงดูหนู หนูก็จะยอมเป็นเด็กเสี่ยเลย ไม่กินแล้วศักดิ์ศรีหนูอยากสบาย"
นันทิดาหัวเราะออกมาได้อีกรอบ เมื่อบุตรสาวพูดออกมาแบบนั้น
"เอาสิ แม่สนับสนุน ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ"
"เฮ้ย จริงเหรอแม่! แม่ก็สนับสนุนจริงๆ เหรอ?"
"จริงสิ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว อยากทำอะไรก็ทำเลย ชีวิตเป็นของหนู โตแล้วเผชิญชีวิตของตัวเองได้แล้วนะลูกนะ" นันทิดาไม่รู้หรอกว่าบุตรสาวเอาจริงหรือแค่ประชดไปอย่างนั้น แต่เธอก็คิดอย่างที่พูดจริงๆ เอาที่บุตรสาวสบายใจ ท่านพร้อมที่คอยอยู่เบื้องหลังเสมอ ไม่ว่าเธอจะเลือกทางไหนก็ตาม
"ขอบคุณนะคะแม่..." เธอสวมกอดมารดาแน่นๆ อีกครั้ง
"ว่าแต่ ทำไมตอนนั้น แม่ถึงไม่ยอมให้หนูทิ้งของขวัญที่เสี่ยเขาให้มาเหรอคะ?" เธออดที่จะสงสัยไม่ได้
"ก็...ไม่รู้สิ เห็นน้ำใจเขามั้ง ขนาดพ่อกับแม่เขาก็ยังส่งของมาให้เลย แม่รู้สึกว่าเขากำลังจีบหนู มากกว่าจะให้ไปเป็นแค่เด็กที่เขาเลี้ยงเอาไว้เท่านั้นนะ"
"จริงเหรอแม่! ทำไมหนูถึงไม่เคยรู้เรื่องที่เขาส่งของมาให้พ่อกับแม่เลยล่ะ?"
"ก็หนูรังเกียจเขาจะตาย จะเอาของไปทิ้ง แม่ก็เสียดาย กลัวว่าถ้าบอกไป หนูจะมาห้ามไม่ให้พ่อกับแม่รับของเขาอีก" ส่วนบิดาของเธอนั้น ภรรยาว่ายังไงก็ว่าตามอย่างนั้่น ไม่ได้ข้องขัดอะไรอยู่แล้ว
"มันก็จริง..."
"แต่แม่ว่า ป่านนี้แล้ว เสี่ยเขาคงได้เด็กใหม่หรือไม่ก็ตายไปแล้วรึเปล่าลูก อย่าหวังให้มันมากนักเลย แม่กลัวหนูผิดหวัง ช่วงนี้เหนื่อยก็พักเถอะนะ อย่าเพิ่งคิดอะไร มีแรงแล้วค่อยไปต่อ" นันรดานิ่งไปสักพัก มันก็จริงอย่างที่มารดาว่า
สภาพของเธอตอนนี้ ไม่ได้ดูสวยสดใหม่ แม้ว่าจะยังซิงอยู่ก็ตาม ถึงเสี่ยเขาจะมีชีวิตอยู่ เขาก็คงไม่ได้สนใจจะรับเธอไว้ดูแลเหมือนตอนนั้นแล้ว
"ก็จริงของแม่นะ หนูเพ้อไปเองแหละ เสี่ยที่ไหน เขาอยากจะมาเลี้ยงสาวสามสิบหนังเหนียวแบบหนูกัน" นันทิดาหัวเราะลั่นอีกรอบ
"ดูว่าตัวเองเข้า ไปๆ รีบเข้าบ้านดีกว่า เดี๋ยวเป็นไข้ป่านะ ยุงตัวใหญ่ขนาดนี้" แล้วเธอก็เดินตามมารดาเข้าบ้านไป ก่อนจะเหลือบมองบัตรเครดิตและเบอร์โทรของเสี่ยเป็นระยะ
ความหวังสุดท้ายของเธอ มอดลงอีกครั้ง...
เธอต้องตื่นจากฝัน และลืมเรื่องในอดีตไปเท่านั้นสินะ
'เสี่ยคะ หนูชื่อแนนนะคะ ตอนนี้เสี่ยยังมีชีวิตอยู่ไหมคะ หนูได้เรียนรู้แล้วค่ะว่าชีวิตมันยาก ตอนนั้นหนูยังเด็ก ไม่ได้ไตร่ตรองให้ดี แต่ตอนนี้หนูพร้อมแล้วค่ะ'
แต่ไม่หรอก...เธอขอฝันต่ออีกสักหน่อย ด้วยการพิมพ์ข้อความและส่งไปที่เบอร์ที่ไม่รู้ว่ายังถูกเปิดใช้หรือปิดบริการไปแล้ว
เธอขอสักหน่อย...ขอฝันต่ออีกสักหน่อย สักหน่อยก็ยังดี...
