2
บทที่ 2 นางเอกตัวจริง
ความสงบนิ่งของหนิงชิงรั่วทำให้บรรยากาศในห้องอึดอัดยิ่งกว่าเดิม หนิงเจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่สวีลู่มองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ พวกเขาคาดหวังจะเห็นน้ำตา การอ้อนวอน หรือแม้กระทั่งการปฏิเสธความจริงอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่ใช่ปฏิกิริยาที่เย็นชาราวกับกำลังฟังเรื่องของคนอื่นแบบนี้
‘นังเด็กนี่มันเป็นอะไรไป? ปกติโดนดุนิดหน่อยก็ร้องไห้จะเป็นจะตายแล้วนี่’ เสียงความคิดของสวีลู่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด
ก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรต่อ ประตูห้องพักผู้ป่วยก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา พยาบาลคนหนึ่งนำร่างของเด็กสาวคนหนึ่งเข้ามา เธอสวมชุดของโรงพยาบาลที่ดูโคร่งกว่าตัวไปมาก เรือนร่างผอมบางราวกับจะปลิวลม ใบหน้าซีดเซียว ดวงตากลมโตคู่สวยฉายแววหวาดระแวงและสับสน มองไปรอบๆ อย่างไม่แน่ใจ
เธอคนนั้นคือหนิงเวยอัน
ทันทีที่สวีลู่เห็นใบหน้าของหนิงเวยอัน ซึ่งมีเค้าโครงคล้ายกับเธอในวัยสาวอย่างชัดเจน กำแพงความเย็นชาที่เธอแสดงต่อชิงรั่วก็พังทลายลง น้ำตาไหลทะลักออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
"ลูกแม่..."
หนิงเวยอันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียกนั้น เธอค่อยๆ หันมามองสบตากับสวีลู่ ดวงตาคู่นั้นเริ่มมีน้ำตาคลอหน่วยขึ้นมาอย่างช้าๆ ริมฝีปากสั่นระริก "คุณป้า..."
"ไม่ใช่คุณป้า ฉันคือแม่ของลูก แม่แท้ๆ ของลูก" สวีลู่โผเข้าไปกอดร่างที่ผอมบางนั้นไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะสลายไป
"ลูกเวยอันของแม่ ในที่สุดแม่ก็ได้เจอลูกแล้ว"
หนิงเจิ้งเองก็มีแววตาอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาก้าวเข้าไปลูบศีรษะของหนิงเวยอันเบาๆ "พ่ออยู่นี่แล้วนะลูก ไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป"
ฉากการพบกันที่แสนซาบซึ้งดำเนินไปราวกับในละครโทรทัศน์น้ำเน่า หนิงจางที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เปลี่ยนท่าทีเกเรเป็นพี่ชายผู้พิทักษ์ทันที "ใครมันทำให้น้องสาวฉันต้องลำบากแบบนี้ ฉันจะไปกระทืบมัน"
หนิงชิงรั่วยืนมองภาพนั้นนิ่งๆ ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเหมือนในชาติก่อนอีกแล้ว ในทางกลับกันเธอกลับรู้สึกว่ามันน่าสมเพชสิ้นดี
และแล้วเธอก็ได้ยินมันอีกครั้ง เสียงความคิดที่แท้จริงของ "นางเอกผู้น่าสงสาร" คนนั้น
‘สมบูรณ์แบบ น้ำตามาถูกจังหวะพอดี ดูหน้าสวีลู่สิ...เหมือนจะขาดใจตายเลย ตลกชะมัด พวกโง่ในตระกูลหนิงนี่หลอกง่ายจริงๆ แค่แสดงละครนิดหน่อยก็เชื่อสนิทใจ’
ความคิดอันชั่วร้ายนั้นสวนทางกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาอย่างสิ้นเชิง
‘ส่วนนังนั่นหนิงชิงรั่วสินะ หน้าตาจืดชืดไม่เห็นจะสวยตรงไหน คอยดูเถอะ...ฉันจะเอาทุกอย่างที่เป็นของแกมาให้หมด แล้วถีบหัวส่งแกไปเป็นขอทานข้างถนน’
หนิงเวยอันค่อยๆ คลายอ้อมกอดจากสวีลู่ แล้วหันมามองทางหนิงชิงรั่วที่ยืนเงียบอยู่ ทันทีที่สบตา เธอก็แสร้งทำเป็นตกใจกลัว รีบหลบไปอยู่ด้านหลังของสวีลู่ทันที
"คุณแม่คะ...ผู้หญิงคนนั้น...เธอคือ..." น้ำเสียงของเธอสั่นเครือราวกับลูกกวางตัวน้อยที่หวาดกลัว
สวีลู่หันขวับมามองชิงรั่วด้วยสายตาแข็งกร้าว "ไม่ต้องกลัวนะลูกเวยอัน เขาเป็นแค่คนนอกที่อาศัยบ้านเราอยู่ชั่วคราว เดี๋ยวเขาก็ไปแล้ว"
คำว่าคนนอกถูกเน้นย้ำอย่างชัดเจน ราวกับคมมีดที่กรีดลงบนความสัมพันธ์ตลอดสิบเก้าปีที่ผ่านมา
แต่หนิงชิงรั่วกลับไม่รู้สึกอะไรเลย ตรงกันข้ามมุมปากของเธอกลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ ที่แทบไม่มีใครสังเกตเห็น เป็นรอยยิ้มที่เย็นเยียบและเต็มไปด้วยความหมายที่ซ่อนเร้น
เธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่แสร้งทำเป็นหวาดกลัวของหนิงเวยอัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท
"ยินดีที่ได้พบ...คุณหนูหนิงตัวจริง"
คำพูดธรรมดาๆ แต่การเน้นคำว่า "ตัวจริง" ทำให้หนิงเวยอันใจกระตุกวูบหนึ่ง เธอรู้สึกราวกับว่าการแสดงทั้งหมดของตนเองได้ถูกมองทะลุปรุโปร่ง แต่ความรู้สึกนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อสวีลู่ดึงเธอเข้าไปกอดปลอบอีกครั้ง
"เรากลับบ้านกันนะลูก กลับบ้านของเราที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ลูกควรอยู่" สวีลู่พูดพลางจ้องเขม็งมาทางชิงรั่ว
“นี่คือผลตรวจดีเอ็นเอค่ะ หนูเป็นลูกของพวกคุณจริง ๆ” หนิงเวยอันเอ่ยทั้งน้ำตา หนิงชิงรั่วยิ้มที่มุมปากดูละครลิงอย่าสนุก
“แม่เชื่อแล้ว” สวีลู่เสียใจอย่างมากที่เป็นเช่นนี้ 19 ปีมานี้หล่อนเลี้ยงลูกใครกันแน่ หนิงเจิ้งพลันเก็บอาการ เหตุใดเด็กคนนี้ถึงได้กลับมาเล่า
“ต้องโทษโรงพยาบาลนั่นที่ทำให้เราได้พลาดจากลูกเกิดการผิดพลาดสลับตัวเด็ก” สวีลู่เอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย หนิงจางก็สงสารน้องสาวที่แท้จริงอย่างมาก มีเพียงหนิงเจิ้งที่รู้ความจริงอะไรบางอย่าง
“หนูไม่เคยมีความสุขเลยค่ะ” หนิงเวยอันเล่นบทเจ้าน้ำตา เธอยังเล่าอีกว่าครอบครัวนั้นทุบตีเธอ
“ชิงรั่วเห็นไหม เพราะเธอลูกสาวของฉันถึงต้องทรมานเช่นนี้” สวีลู่ด่ากราดชิงรั่ว แต่หนิงชิงรั่วยังสงบนิ่งราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตระกูลหนิงทั้งสามคนพากันประคบประหงมหนิงเวยอันออกจากห้องไป โดยไม่มีใครหันมามองหนิงชิงรั่วอีกเลยแม้แต่คนเดียว ราวกับว่าเธอเป็นเพียงอากาศธาตุที่ไร้ตัวตน
เมื่อประตูห้องปิดลง ทิ้งไว้เพียงความเงียบ หนิงชิงรั่วก็หัวเราะออกมาเบาๆ
ละครลิงฉากใหญ่เพิ่งจะเปิดม่านน่าสนุกจริงๆ
