1
กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจาง ๆ คือสิ่งแรกที่หนิงชิงรั่วสัมผัสได้เมื่อสติของเธอค่อยๆ กลับคืนมาเปลือกตาหนักอึ้งราวกับมีเหล็กถ่วง ก่อนจะพยายามปรือขึ้นช้าๆ ภาพที่เห็นคือเพดานสีขาวสะอาดของห้องพักผู้ป่วยระดับวีไอพี และใบหน้าที่คุ้นเคยซึ่งยืนล้อมรอบเตียงของเธออยู่
พ่อหนิงเจิ้ง แม่สวีลู่ และหนิงจาง
ทุกคนอยู่ที่นี่ครบ แต่ทำไมบรรยากาศถึงได้เย็นเยียบราวกับน้ำแข็งขั้วโลกเช่นนี้?
"ชิงรั่ว ฟื้นแล้วเหรอ" หนิงเจิ้งเป็นคนแรกที่เอ่ยปาก น้ำเสียงของเขาเรียบสนิท ไร้ซึ่งความห่วงใยใดๆ ในแววตาที่มองมา มีเพียงความเฉยชาและซับซ้อนที่เธอไม่เข้าใจ
หนิงชิงรั่วพยายามจะยันตัวลุกขึ้น แต่ความเจ็บแปล๊บที่ท้ายทอยทำให้เธอต้องนิ่วหน้า เธอนึกออกแล้ว เธอพลัดตกบันได ศีรษะกระแทกพื้นและหมดสติไป
"ไม่ต้องลุกหรอก" สวีลู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่ต่างกัน "ฟังเรื่องสำคัญก่อน"
หนิงเจิ้งยื่นเอกสารฉบับหนึ่งมาตรงหน้าเธอ "นี่คือผลตรวจ DNA ที่หมอเพิ่งนำมาให้ พ่อว่าแกควรอ่านดู"
หนิงชิงรั่วรับมันมาด้วยความงุนงง ในใจพลันรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีอย่างรุนแรง ขณะที่สายตาไล่ไปตามตัวอักษรบนกระดาษ สมองของเธอก็ขาวโพลนไปชั่วขณะ
ความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่าง นายหนิงเจิ้ง และ นางสาวหนิงชิงรั่ว มีความเป็นไปได้ 0%
เป็นไปไม่ได้
ราวกับถูกหินใหญ่ทุบลงกลางศีรษะ โลกรอบตัวเธอหมุนคว้าง เธอไม่ใช่ลูกของตระกูลหนิงเรื่องตลกอะไรกัน เธอใช้ชีวิตในฐานะคุณหนูหนิงชิงรั่วมาตลอดสิบเก้าปี
"หมายความว่ายังไงคะ..." เธอมองหน้าทุกคนด้วยแววตาสั่นระริก หวังว่าจะได้เห็นใครสักคนปฏิเสธเรื่องนี้
แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับเป็นความเงียบอันน่าอึดอัด และในวินาทีนั้นเอง เสียงประหลาดก็ดังขึ้นในหัวของเธอ
ไม่ใช่เสียงเดียว แต่เป็นเสียงของทุกคนในห้อง
‘ดีแล้ว ผลออกมาแบบนี้จะได้จัดการให้จบสิ้นเสียที เรื่องยุ่งยากนี่จะได้ไม่กระทบกับราคาหุ้นของบริษัท’ นั่นคือเสียงความคิดของหนิงเจิ้ง ผู้เป็นพ่อของเธอ
‘ลูกเวยอันของฉัน ลูกน่าสงสารของแม่ ต้องทนลำบากอยู่ข้างนอกตั้งนาน ส่วนนังตัวปลอมนี่กลับมาเสวยสุขแทน น่ารังเกียจที่สุด’ นี่คือเสียงในใจของสวีลู่ ผู้เป็นแม่
‘เหอะ ที่แท้ก็เป็นแค่พวกรากหญ้า มิน่าล่ะถึงได้ดูโง่ๆ เซ่อๆ ไม่เหมือนพวกเราเลยสักนิด ต่อไปนี้บัตรเสริมของฉันก็ไม่มีใครมาคอยบ่นแล้วสินะ’ และนี่คือความคิดของหนิงจาง น้องชายที่เธอคอยตามใจมาตลอด
ความจริงอันโหดร้ายที่เคลือบด้วยยาพิษถาโถมเข้าใส่จิตใจของหนิงชิงรั่วจนแทบแหลกสลาย และทันใดนั้นเอง ภาพความทรงจำอันเจ็บปวดก็ฉายชัดขึ้นมาในหัว
ภาพของตัวเธอในอีกหลายปีข้างหน้า ถูกขับไล่ออกจากบ้านอย่างไร้ค่า ต้องระหกระเหินหางานทำ ถูกกลั่นแกล้งสารพัด ภาพของเธอที่ป่วยหนัก นอนซมอยู่ในห้องเช่าเก่าๆ แคบ ๆ ในวันที่ฝนตกหนัก
และภาพสุดท้าย คือเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขจากคฤหาสน์ตระกูลหนิงที่กำลังจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้ คุณหนูตัวจริงหนิงเวยอัน ขณะที่ลมหายใจของเธอกำลังจะหมดลงอย่างเดียวดาย
ไม่ใช่นั่นไม่ใช่ความฝันนั่นคือชาติที่แล้วหนิงชิงรั่วเบิกตากว้าง ความเจ็บปวดที่ท้ายทอยและความสับสนในสมองหายไปปลิดทิ้ง ถูกแทนที่ด้วยความกระจ่างแจ้งอันเย็นเยียบ เธอได้กลับมาเกิดใหม่ กลับมายังจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมทั้งหมด
เธอไม่ได้ตกบันไดเอง แต่ถูกหนิงจางแกล้งผลักลงมา และการตรวจร่างกายครั้งนี้เองที่ทำให้ความจริงเรื่องสายเลือดถูกเปิดโปง
"ชิงรั่วถึงแกจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ตระกูลหนิงก็เลี้ยงดูแกมา" หนิงเจิ้งเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเสแสร้ง แต่ความคิดของเขากลับดังสวนขึ้นมาในหัวเธอ
‘ยังไงก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ของตระกูลไว้ก่อน ค่อยหาทางส่งไปไกลๆ ทีหลัง’
สวีลู่เสริมขึ้น "ลูกสาวตัวจริงของเรา เวยอัน เธอลำบากมามากพอแล้ว"
‘แกต้องชดใช้ให้ลูกของฉัน’
หนิงชิงรั่วค่อยๆ ละสายตาจากแผ่นกระดาษแล้วเงยหน้าขึ้นมองพวกเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้ในดวงตาของเธอไม่มีความเสียใจหรือสับสนหลงเหลืออยู่เลย มีเพียงความสงบนิ่งที่ลึกล้ำจนน่าขนลุก
เธอไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้อ้อนวอน ไม่ได้กรีดร้องเหมือนที่เคยทำในชาติที่แล้ว
"หนูเข้าใจแล้วค่ะ"
น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นเรียบง่ายแต่ชัดเจน ทำให้ทั้งสามคนชะงักไปเล็กน้อย พวกเขาคิดว่าจะได้เห็นฉากร้องไห้ฟูมฟายเสียอีก
หนิงชิงรั่วมองใบหน้าของคนที่เธอเคยเรียกว่า ครอบครัวทีละคน คนที่มอบความตายอันน่าอนาถให้เธอในชาติก่อน
ชาตินี้เธอจะไม่ยอมให้มันซ้ำรอยเดิมอีกเธอไม่ใช่หนิงชิงรั่วคนโง่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว ตระกูลหนิงหนี้ชีวิตที่พวกคุณติดค้างฉันไว้ ถึงเวลาที่ต้องชดใช้แล้ว
