พ่อครู : 2
วันต่อมา
หลังจากคุณหมอตรวจอย่างละเอียดอีกครั้งและพบว่าผ้าแพรปลอดภัยไม่พบอาการแทรกซ้อนก็ให้เด็กน้อยกลับบ้านได้ หากแต่พอออกจากโรงพยาบาลนภากลับพาผ้าแพรขับรถข้ามจังหวัดไปที่นครปฐม และขับลึกเข้าไปยังเส้นทางเปลี่ยวสิ้นสุดที่ป่าแห่งหนึ่งที่ถูกสร้างเป็นวัดแลดูมีอายุ บรรยากาศที่นั่นเย็นสงบ แต่ก็มีความวังเวงปะปน
"นมัสการพระคุณเจ้า"
ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลนภาลองเล่าเรื่องที่ผ้าแพรเจอมาให้คนไข้อีกเตียงหนึ่งฟัง คนไข้คนนั้นเป็นยายแก่ ๆ จึงแนะนำเธอมาที่วัดนี้เพื่อปรึกษาพระปัญญาธรรมที่ธุดงจากที่อื่นมาจำวัดอยู่ที่นี่
"เจริญพร พาเขามาถึงที่นี่เลยรึ"
พระปัญญาธรรมยิ้มให้ผ้าแพรอย่างเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่นภากลัว ทำเอาเธอรีบหันซ้ายแลขวา มองด้านหลังว่ามีใครตามมาด้วย
"พระคุณเจ้ามองเห็น...เหรอคะ" ถามไปมองรอบกายไปด้วยความวิตก
"หลวงพ่อขอวันเกิดตัวเล็กหน่อย"
พระปัญญาธรรมมองผ้าแพรอย่างอ่อนโยนก่อนจะวางกระดาษกับปากกาไว้ตรงหน้า
นภารีบไหว้แล้วรับมาเขียนวันเดินปีเกิดรวมถึงชื่อลูกสาวแล้วส่งคืน
"ชดใช้กรรมยังไม่หมดแต่มาเกิดก่อนเวลา เด็กคนนี้สีกาขอมาหรือ"
นภาเบิกตากว้างยามที่ครุ่นคิดถึงคำว่า 'ขอมา' ที่หลวงพ่อถาม แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะใช่สิ่งนี้หรือไม่จึงสนทนากลับ
"ดิฉันเป็นคนท้องยากแต่กลับแท้งง่าย ก่อนจะมีลูกสาวคนนี้ดิฉันต้องเสียลูกไปถึงสองคน ตอนที่อุ้มท้องเด็กคนนี้ดิฉันจึงมักสวดมนต์ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยคุ้มครองและส่งลูกมาเกิดค่ะ"
พระปัญญาธรรมได้ฟังจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
"สีกาต้องทำใจ เด็กคนนี้เกิดก่อนเวลาที่ควรมาเกิด เขาเลยมาเพื่อทวงคนของเขากลับไป"
"พระคุณเจ้าหมายถึงอะไรคะ"
ผ้าแพรคือลูกที่เธออุ้มท้องมาถึงสิบเดือน สิบสามวันกว่าจะคลอดได้ แถมยังเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม จะบอกว่ามีคนมาทวงลูกเธอคืนได้ยังไง
"เด็กคนนี้เดิมทีชาติก่อนสร้างกรรมหนักแม้จะชดใช้มามากแล้วแต่ยังไม่หมดกรรม พอมาเกิดก่อนเวลาจึงมีสิ่งที่เรียกว่าเจ้ากรรมนายเวรในชาติก่อน ๆ ตามมา จะอยู่ได้ไม่เกินเบญจเพส"
นี่ก็หมายความว่าลูกสาวเธอจะอยู่ได้ไม่เกินอายุ 25 ปี
"พระคุณเจ้ามีอะไรช่วยแก้กรรมต่อชะตาผ้าแพรได้ไหมคะ"
หัวอกคนเป็นแม่ได้ยินเช่นนี้มีหรือจะไม่ร้อนใจขอเพียงมีสิ่งที่ช่วยชีวิตลูกสาวได้ ไม่ว่าต้องการอะไรเธอยอมทำและยอมแลก
"ชื่อเล่นนี้ไม่ดีนัก เปลี่ยนเป็น วันใหม่ จะได้มีชีวิตในวันต่อ ๆ ไป"
นภาลูบศีรษะลูกสาวด้วยความอ่อนโยนพร้อมเอ่ย
"ต่อไปหนูชื่อวันใหม่นะลูก"
เด็กน้อยแสนฉลาด พอได้ยินนภาเอ่ยบอกก็รีบก้มลงกราบพระปัญญาธรรมทันที
"สวมสิ่งนี้ไว้ตลอดเวลา ห้ามถอดแม้ตอนนอน"
กำไลลูกประคำสีน้ำตาลเข้มถูกวางลงบนพานทอง
"นี่คือสิ่งใดหรือคะ" นภาเอ่ยถามอย่างสงสัย
"นี่คือลูกประคำว่านพะตะบะ ทำพิธีปลุกเสกมาแล้ว 7 วัน 7 คืน อาบแสงจันท์ทรงกลดมาแล้ว 7 ครั้ง ช่วยคุ้มภัยกันผีร้ายไม่ให้เข้าใกล้คนที่สวมมันได้"
ช่างเป็นเครื่องรางที่ดีแสนดี นภารีบยกมือไหว้หยิบกำไลนั้นมาเตรียมสวมใส่ข้อมือน้อยให้ลูกสาว ทว่าต้องชะงัก เมื่อขนาดของกำไลนั้นใหญ่กว่าข้อมือวันใหม่มาก
"กำไลนี้ร้อยด้วยเส้นไหมแดงเจ็ดป่าช้า มีความยืดหยุ่นตามสภาพข้อมือของผู้สวมใส่"
นภาเข้าใจแล้วจึงค่อย ๆ สวมกำไลประคำนั้นให้ลูกน้อยทันที
"มีอะไรที่เราสองแม่ลูกต้องปฏิบัติอีกไหมคะ"
"หมั่นทำบุญกรวดน้ำแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร ทุกวันพระหรือพระจันทร์เต็มดวงหากเป็นไปได้อย่ายืนใต้แสงจันทร์โดยไร้อะไรกำบัง"
คำเตือนและข้อปฏิบัติจากพระคุณเจ้า 55 พรรษาท่านนี้ ทำให้นภาใจชื้นขึ้นมา แต่เพื่อความสบายใจก่อนกลับ นภาจึงหันมาหาลูกสาวพร้อมถาม
"วันใหม่ หนูยังเห็นคุณน้าคนสวยอยู่ไหมคะ"
เธอตั้งใจเรียกชื่อใหม่ของลูกสาวดัง ๆ ราวกำลังบอกวิญญาณอาฆาตว่านี่ไม่ใช่คนที่เขาต้องการ
วันใหม่หันมองรอบศาลาพร้อมเอ่ย
"ไม่ค่ะ คุณน้าคนสวยไม่อยู่แล้ว"
คำตอบของลูกสาวทำให้หัวใจที่หนักอึ้งของคนเป็นแม่ที่พะว้าพะวงห่วงความปลอดภัยโล่งขึ้นมาทันที
"หากเด็กคนนี้สามารถอยู่จนครบวันเกิด 26 ปีได้ ทุกอย่างจะจบลง กำไลประคำนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป จะเก็บไว้หรือส่งคืน ก็สุดแล้วแต่ใจตัดสิน"
"ขอบพระคุณพระคุณเจ้ามากค่ะ ดิฉันกับลูกกราบลา"
สองแม่ลูกกราบลาพระปัญญาธรรมเสร็จก็ค่อย ๆ คลานเข่าออกไป
"ปล่อยวางเถอะโยม อดีตชาติคืออดีตที่ไม่มีวันกลับไปแก้ไข"
เพล้ง!
ทันทีที่พระปัญญาธรรมเอ่ยกับวิญญาณที่ยืนอยู่ด้านนอกศาลาจบ ลมที่ไม่ได้กิดจากธรรมชาติก็พุ่งเข้าใส่พระคุณเจ้าทันที หากแต่กลับทำอะไรท่านไม่ได้ จึงมีเพียงแก้วน้ำเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะหมู่บูชาหล่นแตกแทน
