ตอนที่ 7
ฟ่งเหนียงถอนใจยาว ดูท่าจะหนักมจมาก
"ข้าคงรับไว้มิได้ ข้ามิรู้จักหัวนอนปลายเท้าของนางแม้แต่น้อย หากรับไว้...ข้าเกรงจะมีภัยในภายหลัง"
ฉันแทบหมดแรง ที่ได้ยินฟ่งเหนียงปฏิเสธ แต่ฉันไม่ยอมแพ้หรอก ฉันต้องตื๊อขออยู่ที่นี่ให้ได้
"น่าเสียดายนัก...ความจริงที่ข้ามาลั่วหยาง ก็เพื่อเผยแพร่ศิลปะการร่ายรำของบ้านเมืองข้า เพราะเสี่ยวฉินบอกว่า...นางเป็นนางรำของสำนักฟ่งอู่ ข้าจึงตามนางมา เมื่อท่านไม่ต้อนรับ...ก็ช่างเถอะ คงมีสำนักนางรำสักแห่งที่ยอมรับข้า ขอบคุณนะเสี่ยวฉิน...ข้าขอลา..."
ฉันพูดแล้วทำทีจะหันหลังออกจากสำนัก ใจก็รอให้นางเรียก เดินมาจนจะออกนอกประตูอยู่แล้ว...นางถึงเรียก
"ช้าก่อน...แม่นาง"
ฉันหยุดเดิน...นึกดีใจที่คำพูดฉันได้ผล เสี่ยวฉินเดินมาดึงแขนฉัน
"เจ้าคิดมาแลกเปลี่ยนศิลปะการร่ายรำจริงหรือ"
ฉันพยักหน้า ฟ่งเหนียงเดินมาหาฉัน
"เช่นนั้น...เจ้าจงร่ายรำให้ข้าดูก่อน"
โชคดีที่ฉันเคยเรียนการฟ้อนรำตอนเรียนมัธยม คงต้องรื้อฟื้นความรู้มาใช้เอาตัวรอดแล้ว ฉันตั้งท่ารำตามที่เคยเรียนมาให้ดูอ่อนช้อย ฟ่งเหนียงและพวกนางรำ มาดูด้วยความสนใจ
"เอาล่ะ...พอแล้ว ๆ"
ฟ่งเหนียงเอาไม้ตีพื้น ฉันหยุดรำ มายืนตรงหน้านาง
"ท่าร่ายรำเจ้าดูแปลกตา แต่ก็ดูมิเลว ตกลง...ข้ารับเจ้าเข้ามาอยู่ในสำนัก เจ้าเรียกว่าอันใดหรือ"
"ข้าชื่อจวงฝูหยง หรือจะเรียกข้าว่ามี่มี่ก็ได้"
"ดี...วันนี้เจ้าพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ค่อยเริ่มเรียน"
"ขอบคุณฟ่งเหนียง...ขอบคุณ"
ฉันดีใจจนโค้งแล้วโค้งอีก นางเพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อย
"เสี่ยวฉิน...เจ้าพานางไปที่ห้อง ดูแลเรื่องเสื้อผ้ากับอาหารของนางด้วย"
เสี่ยวฉินย่อตัวคำนับ ฉันก็คำนับด้วย เฮ้อ...โล่งอกไปที ไม่งั้นฉันคงต้องอดตายอยู่ที่นี่ก่อนจะได้กลับบ้านแน่ ๆ
เสี่ยวฉินพาฉันเข้าไปในตัวบ้าน ซึ่งกว้างใหญ่โอ่โถงมาก นางพาฉันเดินทะลุตัวบ้านออกไปทางด้านหลัง ผ่านสวนดอกไม้ ศาลา จนมาถึงเรือนพักที่ปลูกเรียงราย...มีสองชั้น
เสี่ยวฉินพาเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง เดินไปถึงห้องริมขวาสุด
"เจ้าอยู่ห้องนี้นะ"
เสี่ยวฉินบอกแล้วเปิดประตูเข้าไป ข้างในห้องกว้างพอสมควร มีเตียงติดผนัง มีโต๊ะเครื่องแป้งเตี้ย ๆ มีตู้อยู่อีกฟากหนึ่ง ตรงกลางเป็นโต๊ะกลมกับเก้าอี้ 2-3 ตัว
"เจ้าโชคดีมาถูกจังหวะ เจ้าของห้องนี้เพิ่งได้ไปเป็นอนุของท่าน อู่อี้จง...ห้องนี้จึงว่าง"
ฉันพยักหน้า ฟังเงียบ ๆ ไม่ออกความคิดเห็น จะมาอยู่ที่นี่ต้องใช้ปัญญาให้มากกว่าปาก
"เจ้าพักก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน"
"ขอบใจนะเสี่ยวฉิน รบกวนเจ้าแล้ว"
เสี่ยวฉินยิ้มให้ นางเดินออกไป...ปิดประตูให้ด้วย ฉันเดินดูรอบ ๆ ห้อง แล้วมานั่งที่เตียง
"เฮ้อ...ก็คงต้องอยู่ไปก่อนแหละ ดีกว่านอนข้างถนนล่ะนะ แต่เราจะกลับบ้านยังไงล่ะ ป่านนี้พวกทางโน้นจะเป็นยังไงบ้างด็ไม่รู้ จะคิดว่าเราตกน้ำตายไปหรือเปล่านะ"
ฉันนั่งรำพึงอย่างเศร้าสร้อย ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย ฉันมองกระเป๋าที่สะพายติดตัวมา กระเป๋าใบเก่งที่ฉันใช้ใส่ของสารพัด และไม่เคยห่างตัว ฉันเอากระเป๋ามาเทข้าวของลงบนโต๊ะ
ของบนโต๊ะมีมือถือ ที่ชาร์จแบตแบบโซล่าเซลล์ที่ด็อกเตอร์ให้ สายชาร์จ แว่นปรับแสงของเขา ไฟแช็คโซล่าเซลล์ ไฟฉายแบบชาร์จมือ กระเป๋าเงิน ปากกาลูกลื่นสองด้าม ลิปสติก 2 แท่งที่ยายมะนาวซื้อให้
ฉันเคยสงสัยว่าตัวเองจะบ้าหอบฟางเอาของพวกนี้ไปไหนมาไหนด้วยทำไม แต่ตอนนี้...ของพวกนี้อาจมีประโยชน์กับฉันที่นี่ก็ได้ ฉันเอามือถือมากดเปิด มันเปียกน้ำ ไม่รู้จะยังใช้ได้ไหม แต่ถึงจะเปิดได้ ก็คงโทรไม่ได้ ที่นี่ไม่มีสัญญาณมือถือนี่ มีไว้ก็ไม่มีประโยชน์
ฉันถอนใจ...เพราะสนใจอยากรู้เรื่องราชวงศ์ถังมาก ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ย้อนเวลามาในสมัยนี้จริง ๆ ต่อให้ตอนนี้เป็นราชวงศ์โจวก็เถอะ อีกไม่นานก็จะกลับไปเป็นราชวงศ์ถังเหมือนเดิม เอาวะ...ไหน ๆ ก็มาแล้ว ลองสนุกกับที่นี่สักพัก อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก ฉันคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว นอกจากต้องปรับสภาพให้ได้เพื่อความอยู่รอด
ฉันมาใช้ชีวิตเป็นนางรำของสำนักฟ่งอู่ ทุกวันต้องฝึกหนัก เพื่อให้ยืนได้มั่นเวลาร่ายรำ ถึงจะหนักก็ต้องทน ฉันต้องเรียนรู้ทุกอย่าง ทั้งดนตรี ร่ายรำ โคลงฉันท์ บทกวี
เสี่ยวฉินบอกฉันว่า สำนักนี้มีท่านอู่ซานซือหนุนหลัง นางรำทุกคนล้วนเป็นเด็กกำพร้าหน้าตาดี บางคนถูกซื้อตัวมา บางคนสมัครใจมาเอง ทุกคนจะได้กินอยู่และฝึกฝนศิลปะทุกอย่าง เพียงเพื่อเอาใจเหล่าท่านอ๋อง
เวลามีงานเลี้ยง...ทุกคนจะได้เข้าไปแสดงในวังหลวง หากนางใดโชคดีถูกใจท่านอ๋อง หรือชนชั้นสูงคนใด ก็จะได้ไปเป็นอนุ และจะต้องจ่ายค่ากินอยู่เป็นเงิน 100 ตำลึงอีก
พูดง่าย ๆ ที่นี่คือสถานที่ฝึกนางบำเรอ โดยสอนการร่ายรำบังหน้า ฉันตกใจมาก...ที่ได้รู้ความจริง แต่จะหนีก็คงไม่ทันแล้ว ก็คงต้องไปตามน้ำก่อน แล้วหาทางแก้ทีหลัง
