2
“หูว จริงเหรอคุณ...สาธุ ดีนะที่ไม่โดนตบ” ว่าพร้อมรีบกระดกน้ำส้มคั้นหวานชื่นใจให้รินตามลำคอไป เชิงหวังดับความขยาด
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเข้ม มองกิริยาและคำพูดของเธอด้วยความไม่เข้าใจ เธอทำเหมือนไม่ได้แคร์ว่าเขาจะมีใคร แต่ก็ทำเหมือนดีใจที่ได้แต่งงานกัน
“แพนเขาไม่ใช่พวกชอบใช้ความรุนแรง”
“หือ มีปกป้อง...” เธอทำเป็นขันเล็กน้อย แววตาใสกิ๊กราวกับค่ำคืนนี้เป็นเพียงเรื่องสนุก ไม่ใช่เรื่องสำลักสำคัญอะไรนักหนา
ดนุพึงพอใจที่เธอไม่ได้พิศวาสอะไรเขาเลยสักนิด การหย่าขาดกันในภายหลังจึงเป็นเรื่องที่เขาคิดว่าคงจะพอเป็นไปได้ แต่ลึกๆ...ก็แอบรู้สึกหงุดหงิดและตงิดอยู่ในใจ
ทุกครั้งที่แววตาของเธอว่างเปล่า
เหตุอันใดที่เธอยอมแต่งงานกับเขา ตามคำขอของผู้เป็นมารดา เขาเองก็ยังไม่ทราบ
‘เรื่องเงินเหรอ?’ เขาเคยถามเธอเป็นรอบที่ร้อย ก่อนที่งานนี้จะได้มีขึ้น
‘หื้อ ก็บอกว่าไม่ใช่ไง’ เขาพยายามเสนอเงินให้เธอในจำนวนที่มากโข แต่เธอก็ไม่ยอมที่จะรับ แถมยังกวนเขากลับมาเสมอ
‘ไม่มีปัญญาหาสามีเองแล้ว ก็เลยชอบที่จะโดนคลุมถุงชนงั้นสิ?’ เขาไม่ทราบด้วยซ้ำ ว่าบิดาหรือมารดาของเธอ ข้องเกี่ยวอย่างไรกับมารดาของเขา
‘คุณนี่ก็สรรหาเนอะ บอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ไง’
‘คิดว่าการแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก มันสนุกมากนักหรือยังไง’
‘เอาอย่างนี้นะ...คุณอยากจะทำอะไรก็ทำได้ตามสบาย เอาให้เหมือนตอนที่คุณยังโสดได้เลย ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องเกรงใจ ได้ทุกอย่างจริงๆ ขอแค่...ไม่มาตั้งคำถามอะไรพวกนี้กับฉันอีกต่อไปแล้ว โอเค!’
และหลังจากวันนั้น ก็ไม่มีบทสนทนาใดๆ ระหว่างเธอกับเขา จนกระทั่งวันสำคัญอย่างวันนี้ ทั้งสองเพิ่งจะได้มาเจอกันในงานแต่ง โดยที่ไม่ได้ร่วมกันปรึกษาหรือเลือกเกี่ยวกับงานนี้เลยแม้แต่น้อย
ดนุถูกมารดายื่นคำขาดสำเร็จ เกือบจนวินาทีสุดท้าย
สุดท้าย ที่เขาก็ต้องจำยอมคนอย่างท่าน...
“ถามจริงเถอะนะ มีความสุขได้ยังไง...ยิ้มระรื่นเคียงข้าง ผู้ชายที่ไม่ได้รักตัวเอง” คำกล่าวอันเคร่งขรึมของดนุ ทำเอาคนที่กำลังกวาดยิ้มไปจนทั่วงาน เกิดอาการสะดุดเล็กน้อย และหันขวับมามองหน้าเขาในทันที ด้วยแววตาใสกิ๊ก
ไร้รอยความขุ่นข้องหรือมีความหมองแม้แต่น้อยให้เห็น
“จะเป็นไปไรไปคุณ ฉันก็ไม่ได้รักคนข้างๆ เหมือนกัน...ถ้าฉันรักมากแล้วคุณไม่รักฉันเลย ก็ว่าไปอย่าง” ตามมาด้วยถ้อยคำอันกระจ่างใส ไร้ความเคลือบแคลงใดติดมา
แต่ทว่ากลับทำให้แววตาของผู้ฟังขุ่นเคืองขึ้นมาได้
“แล้วยอมแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักเพื่ออะไร” คำถามทำนองนั้นของเขา ทำเอาหญิงสาวย่นคิ้วเข้าเชิงหงุดหงิดใส่บ้าง
“คุณนี่พูดไม่รู้เรื่องเนอะ ฉันไม่คุยกับคุณแล้ว...” เธอว่าพร้อมขยับเดินไปทักทายแขกเหรื่ออีกทางอย่างร่าเริงสดใส จนเขาจำต้องเดินตามไป เพราะไม่อยากให้คนผิดสังเกต
ถึงแม้จะไม่เต็มใจ ไม่ยินยอม แต่พอนึกถึงหน้าตาและชื่อเสียงของมารดา เขาก็ทำอย่างนั้นไม่ลง...ทำอย่างนั้นไม่ได้
‘คุณก็รักแต่แม่ คุณก็เชื่อแต่แม่...แบบนี้เมื่อไหร่ เราสองคนจะได้ลงเอยกันสักทีคะ’ ประโยคนี้ของแฟนเก่าแว่วเข้ามาในโสตประสาท
แฟนเก่าเมื่อเจ็ดปีก่อน ที่ทำเอาเขาเจ็บหนัก จนไม่กล้าที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ๆ กับใคร นอกจากเจ้าชู้เสเพลไปเรื่อยๆ
เขารักผู้หญิงคนนั้นมาก แต่มากไปกว่ามารดาไม่ได้...
ทุกอย่างก็เลยต้องจบลงในแบบที่ต่างฝ่าย ก็ไม่เคยได้หวนกลับเข้ามาในชีวิตของกันและกันอีกเลย
‘ถ้าจะมีแฟนอีกสักครั้ง กูก็ขอให้เขาเข้ากับแม่กูได้’ เขาเคยพูดแบบนี้เอาไว้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า..ผู้หญิงคนนั้น จะต้องเข้ากับมารดาของเขาได้อย่างเดียว โดยที่เข้าอะไรกับเขาไม่ได้เลยสักอย่าง เหมือนเจ้าสาวของเขาคนนี้!