บท
ตั้งค่า

บทที่๙...เข้าบ้าน (๑)

บทที่๙...เข้าบ้าน

เสียงไก่ขันตั้งฟ้ายังไม่ทันสว่างปลุกหญิงสาวให้ตื่นแต่ต้องชะงักเพราะตกอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวสูงแม้จะไม่ได้แน่นเหมือนเมื่อคืนแต่ก็ใกล้ชิดพอสมควรจนได้ยินเสียงลมหายใจ เป็นครั้งที่สองได้ตื่นมาเห็นหน้าเขาในตอนเช้า ตอนหลับภราดรเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาจนไม่อยากให้ตื่น เปมิกาค่อยๆ เอามือหนาออกจากเอวแล้วกระเถิบตัวออกห่างเขาโดยคนหลับไม่รู้เรื่องสักนิด

แสงแดดส่องกระทบเปลือกตาจนคนที่ยังคงหลับใหลต้องตื่นและอย่างแรกที่ทำคือเอามือควานหาร่างนุ่มนิ่มที่กอดเมื่อคืนแต่พบความว่างเปล่า ดวงตาเรียวเปิดขึ้นก็ไม่พบเปมิกาจนต้องลุกขึ้นมองหา

กลิ่นหอมโชยขึ้นมาถึงบนบ้านพร้อมเสียงหัวเราะของคุณป้าเจ้าของเรือนไม้หลังนี้ทำให้ต้องลุกขึ้นปิดพัดลมพับผ้าห่มของตนเองเพราะอีกฝืนถูกพับอย่างเรียบร้อยแล้ว เดินลงมาข้างล่างด้วยใบหน้าง่วงงุนจนคุณลุงที่เห็นต้องยื่นแปรงสีฟันให้บอกไปล้างหน้าล้างตาก่อน

“ทำอร่อยเหมือนกันนะนางหนู มีเสน่ห์ปลายจวักแบบนี้ผัวรักผัวหลงแน่”คำแซวนั้นสร้างความเขินอายให้กับเธอจนต้องหันไปสนใจอาหารที่กำลังทำ

“เสร็จแล้วก็เอาออกไปข้างนอกแล้วกัน เดี๋ยวข้าไปเตรียมของไว้”ร่างบางตั้งใจทำอาหารแล้วตักใส่จานเดินออกไปวางไว้บนแคร่โดยเห็นร่างสูงเดินมาจากทางไปห้องน้ำ ภาพเมื่อคืนผุดขึ้นทำให้แก้มนวลแดงปลั่งจนต้องหลบสายตาเขา

“ตื่นแล้วทำไมไม่ปลุก”ถามเสียงเรียบแต่เหมือนจะกล่าวโทษเธอในคำพูดนั้น

“เห็นคุณหลับสบาย ฉันก็ไม่อยากกวน”ไม่เคยหลับสบายแบบนี้มาก่อนทั้งที่อยู่ในช่วงหลบหนีผู้ร้าย แต่เขาทำตัวราวมาพักผ่อนเสียอย่างนั้น

“อ้าวพ่อหนุ่มตื่นแล้วเหรอ มากินข้าวกัน”คุณป้าเดินมาพร้อมผักที่ไปเก็บจากหลังบ้านเพื่อกินกับป่นปลาที่อุตส่าห์ตื่นมาทำแต่เช้า ทั้งสี่นั่งล้อมวงกินข้าวกันอีกครั้งในเวลาเจ็ดโมงตรงแต่พระอาทิตย์ส่องสว่างราวแปดโมงเช้า

“อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเดี๋ยวข้าจะให้ตาม่อนไปส่งในตัวอำเภอนะ พวกเอ็งค่อยขึ้นรถไปลงตัวจังหวัดแล้วต่อไปกรุงเทพอีกที”มองหน้ากันทันทีเพราะทั้งเธอและเขาต่างไม่ค่อยได้ขึ้นรถประจำทางบ่อยนัก สำหรับเปมิกาอาจจะขึ้นครั้งสองครั้งแต่กับภราดรไม่เคยเลยสักครั้ง

“ไปเป็นใช่ไหม”เห็นทำหน้าเหลอหลาจึงต้องถามย้ำ

“เป็น เป็นค่ะ”ตอบตะกุกตะกักพลางตักข้าวกิน หากใช้ขนส่งสาธารณะผู้คนที่รู้จักเธอคงมากต้องหาทางอำพรางตัวเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตเสียแล้ว

หลังกินข้าวเสร็จทั้งสองก็ไปอาบน้ำกลับมาใส่ชุดเดิมที่มา ภราดรมีเงินในกระเป๋าไม่มากนักแต่เพียงพอต่อค่าโดยสารแม้ใจจะอยากให้เงินค่าที่พักก็ทำได้เพียงไหว้ขอบคุณเท่านั้น คุณป้ายืนส่งหญิงชายสองคนก่อนรถของคุณลุงเคลื่อนออกไป บ้านไม้หลังนี้จะกลายเป็นความทรงจำที่ดีของเธอ

“เดี๋ยวถ้าเจอร้านค้าฉันจะเข้าไปซื้อแมสปิดปากให้เธอแล้วกัน”เพื่อป้องกันจากผู้คนรอบข้างเปมิกาก็พยักหน้าไม่เกี่ยงงอน

“กลับไปกรุงเทพฯ เธออย่าพึ่งไปนอนห้องตัวเองเข้าใจไหม”ระหว่างทางไปตัวอำเภอก็เป็นเวลาที่เขาจะต้องตกลงบางสิ่งกับอีกฝ่าย

“ทำไม”ไม่เข้าใจในข้อห้ามนั้นจึงต้องเอ่ยถาม

“เพราะพวกนั้นมันอาจไปดักรออยู่”เหตุผลของเขาทำให้ต้องพยักหน้าเข้าใจ ก็จริงดังว่าหากยังไม่ได้ตัวเธอมันคงไปดักรออยู่ใต้คอนโดเป็นแน่

“ฉันมีที่ปลอดภัยให้เธอแล้ว แค่ทำตามก็พอ”ใบหน้าคมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ซึ่งเปมิกาก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรอีกจนกระทั่งรถถึงตัวอำเภอ อาจจะเพราะเป็นช่วงเช้าจึงไม่ค่อยมีคนมากนักทั้งสองขอบคุณลุงที่อุตส่าห์มาส่งแล้วแยกย้ายกันไป ภราดรหาซื้อหน้ากากอนามัยให้พร้อมทั้งหมวกสีเข้ม

“ใส่ไว้คนจะได้จำไม่ได้”รับมาอย่างรวดเร็วระหว่างรอรถเข้าในตัวเมือง พวกเขาเลือกรถตู้เพราะแวะไม่บ่อยและน่าจะถึงเร็วกว่า ช่วงเช้าคนไม่เต็มไม่นานรถก็เคลื่อนตัวออก อาจจะเพราะง่วงเปมิกาจึงหลับโดยพิงไหล่หนาตลอดระยะเวลาการเดินทาง

“ถึงแล้ว”กระซิบเบาข้างหูคนตัวเล็กจึงค่อยลืมตาแล้วยืดตัวขึ้น มองโดยรอบเป็นบขส.ก็ลงไปจ่ายเงินแล้วหารถไปกรุงเทพฯ โดยมีร่างบางจัดการทุกอย่างเนื่องจากภราดรไม่เคยขึ้นและเขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้างจึงเป็นหน้าที่เธอ

ได้ตั๋วเรียบร้อยรถจะออกภายในสิบห้านาทีก็รีบขึ้นไปนั่งตามหมายเลขของตนเอง เงินที่ติดตัวมาเหลือเพียงสองร้อยเท่านั้นจนต้องสบถให้ความสะเพร่าของตนที่เอาเงินมาน้อยนัก ระยะไปถึงกรุงเทพฯ ใช้เวลานานหลายชั่วโมงจนกระทั่งไปถึงแดดก็ตรงศีรษะพอดี ร้อนจนเหงื่อชุ่มกาย

“เราจะไปไหนต่อคะ”ลงตรงหมอชิตสองก็เอ่ยถามเพราะไม่เคยมา เขาตัดสินใจขึ้นแท็กซี่แม้บ้านที่จะไปอาจไกลจนค่ารถไม่พอก็ช่างมันเพราะเขาสามารถไถ่เงินกับเจ้าของบ้านได้ มือหนาจูงมือนุ่มไปยังรถสีเหลือเขียวก่อนบอกปลายทาง จากอากาศร้อนข้างนอกพอเข้ามาในรถก็คลายความหงุดหงิดได้บ้างเพราะแอร์เย็นชุ่มช่ำ

รถเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงบ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่งแต่กลับดูร่มรื่นราวกับตั้งอยู่บนภูเขา รั้วสูงกั้นบ้านจากโลกภายนอกจนร่างบางที่ออกจากรถมาก่อนมองด้วยความฉงน ค่ารถไม่แพงดังที่คาดแต่ก็ทำเอาหมดตัวเหมือนกัน

“บ้านใครคะ”ไม่ได้รับคำตอบจากเขาเพราะคนตัวสูงเดินไปกดออดรอไม่นานก็มีแม่บ้านมาเปิดประตูให้

“อ้าวคุณดล”ป้าท่าทางใจดียิ้มให้เจ้านายแล้วเผื่อแผ่มาถึงคนข้างหลังด้วย แม้จะดูมีอายุแต่การเคลื่อนไหวกลับดูกระฉับกระเฉง

“ไอ้ดินอยู่ไหมครับป้ายวง”ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมจนต้องหันมามองเพราะไม่คิดว่าท่านรองประธานจะอ่อนโยนเป็นด้วย

“อยู่ค่ะ เข้ามากินข้าวเที่ยงกับคุณหนู”ได้ยินอย่างนั้นภราดรก็ยกยิ้มแล้วคว้ามือบางให้เดินตามเข้ามาในบ้านด้วยท่วงท่าราวกับเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ ชื่อรุ่นพี่ที่รู้จักก็ทำให้เกิดความกังวลแปลกๆ ด้วยไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครทั้งยังปฏิเสธกับนักข่าวไปอีก พสุธาจะมองเธออย่างไรนะ

“ไอ้ดิน”เข้ามาในบ้านที่ตกแต่งอย่างสวยงามก็เจอเจ้าของบ้านกำลังเล่นกับเด็กน้อยซึ่งคาดว่าจะเป็นลูกของเขาอยู่กลางบ้าน

“ไอ้ดล! โอ๊ยกูนึกว่ามึงตายแล้ว”ดีใจจนวางลูกสาวตัวน้อยไว้กับตุ๊กตาตัวโปรดแล้วเดินมาหาเพื่อนรัก จับตัวอีกฝ่ายเพื่อสำรวจว่าตกลงที่ยืนตรงหน้าเป็นคนหรือผีกันแน่

“ปากมึงอัปมงคลมาก”เมื่อแน่ใจแล้วพสุธาจึงผละออกแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“มึงรู้ไหมว่าลุงภมรไปแจ้งความกับตำรวจเอาไว้ ท่านกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเห็นแต่รถมึงจอดอยู่กลางถนนแล้วมีรอยถูกยิงอีก กูก็นึกว่ามึงจะตายเหลือแต่สมบัติไว้ให้กูแล้ว”เพื่อนจะตายก็ยังไม่วายเป็นห่วงสมบัติ รู้ว่าอีกฝ่ายก็พูดเล่นไปอย่างนั้นเพราะหากให้เลือกระหว่างเขากับสมบัติพสุธาก็ต้องเลือกเพื่อนอยู่แล้ว

...หรือเปล่านะ เริ่มไม่แน่ใจ

“เดี๋ยวนะ..นี่ใคร”อาจเพราะใส่หมวกและหน้ากากอนามัยไว้รุ่นพี่ที่รู้จักจึงไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร พสุธาผลักเพื่อนออกแล้วจ้องหน้าร่างเล็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ไอ้ดล อย่าบอกนะว่ามึงไปทำผู้หญิงท้องผัวเขาเลยตามฆ่า”ดูความคิดของพ่อลูกสี่ดีที่แม่บ้านพาเด็กน้อยทั้งหลายไปเล่นห้องเล็กแล้วจึงไม่ต้องฟังคำพูดของผู้เป็นพ่อ

“สมองมึงคิดได้ไง”อยากจะเลิกเป็นญาติกับมันเสียตั้งแต่ตอนนี้

“สมองกูทำไมครับ ถึงไม่เกียรตินิยมแบบมึงแต่กูก็จบมาแบบไม่ขายหน้าใครล่ะวะ”คุยโอ้อวดได้บ้างเพราะเกรดเฉลี่ยตอนจบก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรมากนัก พออวดใครได้บ้างแต่ส่วนมากก็เก็บไว้ไม่ให้คนรู้จะดีกว่า

“แล้วตกลงบอกกูได้ยังว่าใคร ไหนหนูลองบอกพี่สิคะว่าหนูเป็นใครมาจากไหน โดนมันล่อลวงมาใช่ไหม พี่พาไปแจ้งตำรวจได้นะ”ทนไม่ไหวจนต้องตบศีรษะเพื่อนไปเบาๆ หนึ่งทีแต่คนมันจะเล่นใหญ่ก็โอดครวญพร้อมนั่งลงราวกับเจ็บปวดนักหนา

“มึงอย่าเว่อ กูตีไม่ครึ่งเมียมึงตบหรอก”กระจ่างเลยครับ ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงทำทีเป็นเข้มแข็งไม่สะทกสะท้าน

“รู้ได้ไงว่าเมียกูตบ มึงเป็นขยะในบ้านกูเหรอ”เริ่มคิดแล้วล่ะว่าเขาคิดถูกหรือคิดผิดที่เอาเปมิกามาฝากไว้ในบ้านหลังนี้ ดูจากเจ้าของบ้านที่ไม่เต็มแล้วก็กลัวว่าเชื้อบ้าจะแพร่กระจายมาสู่หญิงสาวข้างกายตนเองได้

“จะเอาอีกไหม”แซวหน่อยพ่อรองประทานก็ทำเป็นกร่างจนเจ้าของบ้านต้องเชิญแขกทั้งสองมาที่ห้องรับแขก โดยเรียกมะปรางเอาน้ำท่ามาเสิร์ฟ

“มาเข้าเรื่อง ตกลงมึงหายไปไหนมา แล้วน้องคนนี้ใครดูท่าจะยังไม่เกินสิบแปด เดี๋ยวนี้มึงพรากผู้เยาว์แล้วเหรอ”การจะพูดกับพสุธาช่างเป็นเรื่องยากจนต้องถอนหายใจสกัดกั้นอารมณ์ที่ถูกตีขึ้นมาก่อนจะผ่อนลมหายใจ

“ดูยังไงเด็ก ยี่สิบแปดแล้วกูไม่เหมือนมึงหรอก แตกหนุ่มตั้งแต่เสียงยังไม่แตก”ว่าแล้วก็อดแดกดันเรื่องในอดีตไม่ได้แต่พสุธาไม่ได้เจ็บปวดทั้งยังยิ้มรับหน้าชื่นตาบาน ขึ้นครูตอนอายุสิบสองปีใครจะทำได้บ้างครับ

“ถอดหมวกได้แล้ว เธอไม่ร้อนหรือไง”ฟังทั้งสองคุยกันทั้งยังแอบหัวเราะก็ต้องกลับมาทำหน้านิ่ง ค่อยๆ ถอดหมวดและหน้ากากอนามัยออกจนช่างภาพหนุ่มต้องอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง มันเกินความคาดหมาย!

“เฮ้ย เปรม ทำไมมาอยู่กับไอ้นี่ได้ไหนบอกไม่รู้จักกันไง”คนอัพเดทข่าวสารอย่างพสุธาต้องอ่านข่าวที่ทั้งสองปฏิเสธว่าไม่รู้จักกันอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น

“กูโกหก”

“มึงตอแหลเหรอภราดร มึงโกหกใครก็ได้แต่มึงจะโกหกกูไม่ได้”ยืนยันเสียงหนักแน่นก่อนหันมาหาเปมิกาที่ยังคงทำหน้านิ่ง

“เปรมมีอะไรบอกพี่ได้นะ ไอ้ดลมันบังคับขืนใจใช่ไหม พี่เข้าใจว่าเราปฏิเสธไม่ได้ พี่เข้าใจ”ลุกมาจากโซฟาหวังจับมือน้องที่เอ็นดูแต่ก็โดนเพื่อนสกัดไว้ด้วยการลุกมาโอบบ่าพสุธาแล้วดึงนั่งลงที่เดิม

“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว กูจะเข้าเรื่องตั้งนานมึงก็ชวนคุยอยู่นั้น”ด้วยรำคาญเต็มทนจึงตัดบทและอีกใจก็ไม่อยากให้พสุธาได้แตะเนื้อต้องตัวเปมิกาแม้ว่ามันจะมีพันธะแล้วก็ตาม

“เรื่องอะไรของมึง ถ้าอย่างนั้นให้กูด่ามึงก่อน ไอ้ชั่วมึงรู้ไหมเมื่อวานกูไม่เป็นอันทำอะไรลุงภมรห่วงมึงมากกูต้องไปลากรถมึงมาจากโรงพัก จอดบ้าอะไรกลางถนนมึงปรึกษาสมองซีกซ้ายซีกขวารึยัง ไหนจะโทรศัพท์มันคือปัจจัยห้าทำไมไม่ถือไปด้วย กูกราบในความโง่ของมึงเลยนะ”ร่ายยาวราวอัดอั้นมานานจนภราดรฟังแทบไม่ทัน

“ยัง ยังไม่หมด กูจะไม่จบจนกว่ามึงจะสำนึกผิด เมื่อคืนแทนที่จะได้นอนกอดเมียต้องแหกตาไปตามหามึงอีกในขณะที่มึง ดูสิหน้าใสกิ๊กเหมือนไปพักร้อนมา ไหนความยุติธรรมของกู พอมาถึงเมียก็ไปทำงานแล้วมอร์นิ่งคิสก็ไม่ได้”ทำท่าราวคนไร้เรี่ยวแรงจะเป็นจะตาย

“เออกูขอโทษ”รู้สึกผิดกับเพื่อนจนต้องเอ่ยขึ้นทำให้พสุธาเริ่มงงว่าทำไมครั้งนี้มันเอ่ยออกมาง่ายจังทั้งที่ปกติต้องด่าเขาคืนไปรอบหนึ่งแล้ว เกิดกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า อาจจะเพราะเปมิกาอยู่ด้วย ต้องใช่แน่ๆ

เพื่อนเขากำลังมีความรัก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel